เป็นเวลากว่า 92 ปีแล้วที่ไทยเปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี เส้นทางประชาธิปไตยไทยอาจไม่สวยหรู ล้มลุกคลุกคลานด้วยการรัฐประหารกว่า 13 ครั้ง ราวกับว่าการเดินทางของอุดมการณ์มักจะเดินหน้าหนึ่งก้าว ถอยหลังหนึ่งก้าว สลับไปมาเช่นนี้ตลอดเกือบศตวรรษ
แต่ราษฎรไม่ได้กินแกลบกินหญ้า ประชาชนไทยเองก็มีความหวังและตื่นตัวทางการเมืองตลอดการล้มลุกคลุกคลานนี้โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาซึ่งมีการแสดงออกทางการเมืองอย่างเข้มข้นผ่านการชุมนุมและปลายปากกาในคูหาเลือกตั้ง โดยการเลือกตั้งครั้งล่าสุด (ปี 2566) เป็นปีที่มีคนออกมาใช้สิทธิมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ทันทีที่ผลเลือกตั้งออกมาว่าอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้านในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ 2 อย่างก้าวไกลและเพื่อไทยได้อันดับหนึ่งและสองตามลำดับ ใครหลายคนอาจรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งที่พรรค ‘ฝ่ายประชาธิปไตย’ กวาดคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ
แต่ผลการจัดตั้งรัฐบาลอาจไม่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น เพราะแทนที่ทั้งสองพรรคจะ ‘จับมือกันให้แน่น’ กลับกลายเป็นเกิดรัฐบาลข้ามขั้ว ผลักพรรคก้าวไกลให้กลับไปเป็นฝ่ายค้านเช่นเดิม แม้จะชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ สำหรับบางคนอาจรู้สึกว่า ภารกิจเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยของคณะราษฎรยังไม่ถึงฝั่งฝันเสียที
หากจะเข้าใจการเมืองไทยปัจจุบัน คงหนีไม่พ้นการทำความเข้าใจพลวัตพื้นฐานและความเป็นมา 101 สนทนากับไชยันต์ รัชชกูล เจ้าของหนังสืออาณานิคมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพื่อทำความเข้าใจการเมืองปัจจุบัน -รัฐบาลผสมข้ามขั้ว ความพยายามยุบพรรคอนาคตใหม่ การเคลื่อนไหวของประชาชน- ผ่านการปฏิวัติ 2475
ตอนที่หนังสือ ‘อาณานิคมสมบูรณาญาสิทธิราชย์’ ถูกแปลเป็นภาษาไทยในปี 2560 อาจารย์เขียนว่าหนึ่งในเหตุผลที่หนังสือถูกแปลเพราะ “การเปลี่ยนแปลงอย่างผันผวนในทางการเมืองและเศรษฐกิจในสังคมไทยนับตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 จนถึงปัจจุบัน และมีแนวโน้มว่าคงสืบต่อไปอีกหลายขวบปีในอนาคต ช่องทางหนึ่งในการทำความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ อยู่ที่การพิจารณาพลังความขัดแย้งที่สั่งสมสืบเนื่องมาในอดีต อันสามารถย้อนกลับไปได้ถึงช่วงสมัยดังกล่าว” ถ้าเราตั้งต้นจากข้อความนี้ อาจารย์ทำความเข้าใจการเมืองไทยใน 7 ปีหลังอย่างไร เพราะเรามีทั้งอนาคตใหม่ ม็อบคณะราษฎรใหม่ พรรคก้าวไกล มาจนถึงการเมืองข้ามขั้ว
การติดตามข่าวการเมืองที่เปลี่ยนแปลงวันต่อวันในปัจจุบันทำให้เราไม่มองในระยะยาว เปรียบได้กับการทำสวนจนออกดอกออกผลแล้ว แต่เรากลับสนใจเฉพาะแต่ละต้นหรือแต่ละฤดูกาลเท่านั้น ทั้งที่เราจำเป็นต้องมองย้อนไปเพื่อทำความเข้าใจพลังการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในมิติการก่อตัวของรัฐที่เป็นพื้นฐานและยังเป็นพลวัตอยู่ การเปลี่ยนแปลงทั้งในปัจจุบันหรือ 2475 จึงล้วนมาจากพื้นฐานที่มีก่อนหน้า ดังนั้นการทำความเข้าใจความเป็นมาจึงสำคัญมาก
92 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 อาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมสถานการณ์การเมืองไม่เป็นไปอย่างที่คิด แต่โดยรวมผมเห็นว่ามีการขยายฐานของความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เพียงแต่ว่าเชื่องช้าและเดินเหมือนเต่า ซึ่งการปราบปรามม็อบเสื้อแดง ม็อบเยาวชน หรือการยุบพรรคอนาคตใหม่เป็นหนึ่งในหลักฐานการเคลื่อนช้าของประชาธิปไตย เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนอยากพัฒนาประชาธิปไตยก็มักถูกเตะตัดขาและกำราบ
ในช่วงที่ผ่านมา การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างฝ่ายก้าวหน้าและอนุรักษนิยม คือการกลับไปช่วงชิงนิยาม 2475 ผ่านเรื่องเล่าหลายรูปแบบ เช่น สร้างแอนิเมชัน ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ โดยฝ่ายอนุรักษนิยม หรือการเขียนการ์ตูนถึง 2475 และการปรับปรุงบ้านปรีดี พนมยงค์ที่ฝรั่งเศสโดยฝ่ายก้าวหน้า ปรากฏการณ์การเมืองร่วมสมัยนี้สะท้อนอะไรบ้าง
ผมขออุปมาอุปไมยว่าการปฏิวัติ 2475 คือการพยายามเขียนแบบเปลี่ยนแปลนบ้านใหม่ กล่าวคือเรามีบ้านอยู่แล้ว แต่เป็นบ้านที่สุขสบายสำหรับบางชนชั้นเท่านั้น ขณะที่คนส่วนใหญ่อยู่อย่างลำบาก อย่างไรก็ดี กลุ่มคนที่อยู่สุขสบายกลับไม่ยอมให้ต่อเติมหรือเปลี่ยนแปลนบ้าน ปัญหาคือใครจะเป็นผู้ออกแบบว่าการต่อเติมบ้านควรเป็นอย่างไร หรือพูดอีกนัยคือ อำนาจในการตัดสินใจต่อเติมบ้านมาจากไหน มาจากกลุ่มดีเอ็นเอ กล่าวคือระบบกษัตราธิปไตยที่วางอยู่บนหลักการของดีเอ็นเอซึ่งเป็นการปกครองโดยยึดหลักการสืบเชื้อสาย หรือมาจากการพูดคุยของทุกคนในบ้านว่าบ้านที่สุขสบายควรเป็นอย่างไร
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ไม่ถึงปีก็เกิดการงัดข้อจากกลุ่มคนที่เชื่อในดีเอ็นเอซึ่งมองว่าบ้านแปลนเดิมดีอยู่แล้ว พวกเขาไม่พอใจจนก่อกบฏแต่ก็พ่ายแพ้แก่ฝ่ายคณะราษฎร อย่างไรก็ดี ความพยายามฉีกแปลนเพื่อล้มระบอบประชาธิปไตยยังคงเกิดขึ้นเรื่อยมา ไม่ว่าการวิจารณ์เค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ว่ามีลักษณะเป็นคอมมิวนิสต์ หรือการตั้งพรรคการเมืองเพื่อฉีกแปลนบ้านของคณะราษฎรโดยเฉพาะอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก่อตั้งพรรคขึ้นในวันจักรี
การที่แอนิเมชันเรื่อง ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ อ้างว่า 2475 คือการชิงสุกก่อนห่าม คณะราษฎรตัดหน้าเปลี่ยนแปลงการปกครองทั้งที่มีคนคิดจะทำอยู่แล้ว สมมติว่ารัชกาลที่ 7 เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองและต้องการพระราชทานรัฐธรรมนูญ ผมตั้งข้อสังเกตว่าท่านสามารถปรามพระองค์เจ้าบวชเดชไม่ให้ก่อกบฏได้ ท่านทรงสนิทกับพระองค์เจ้าบวชเดช ทรงอาศัยอยู่บ้านของพระองค์เจ้าบวชเดชในฝรั่งเศสหลายเดือนก่อนไปเรียนที่อังกฤษ แต่รัชกาลที่ 7 ทรงไม่มีพระราชดำรัสอะไรออกมา
การทำแอนิเมชัน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ จึงเป็นหนึ่งในความพยายามทำให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นเรื่องที่ใช้ไม่ได้ แปลนบ้านเดิมต่างหากที่ดีอยู่แล้ว โดยสรุปคือแต่ละฝ่ายมีความคิดเห็นต่อแปลนบ้านไม่ตรงกันและยังคงเห็นไม่ตรงกันจนกระทั่งปัจจุบัน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่แปลนไม่ตรงกับความต้องการของกลุ่มที่เชื่อในดีเอ็นเอ พวกเขามักฉีกแปลนทิ้งผ่านการรัฐประหาร
ที่วุ่นวายช่วงชิงกันขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแปลนของการปฏิวัติ 2475 มีปัญหาอะไรหรือเปล่า
ถามว่าแปลนของคณะราษฎรปี 2475 สมบูรณ์หรือไม่ ประการแรกคือคณะราษฎรผู้เขียนแปลนไม่ได้เห็นพ้องกันทั้งหมด บางคนก็ไม่เห็นด้วยกับบางส่วนของแปลน ประการที่สองคือแปลนไม่ได้เลิศเลอเพอร์เฟกต์ ขณะเดียวกัน ส่วนสำคัญของการสร้างบ้านไม่ได้อยู่ที่การออกแบบเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับคนงานก่อสร้างด้วย เพราะฉะนั้น การต่อเติมบ้านจึงมีทั้งปัญหาทั้งภายในและภายนอก ซึ่งปัญหาภายในคือคนงานยังเข้าใจแปลนอย่างกระท่อนกระแท่น ส่วนปัญหาภายนอกคือกลุ่มที่เชื่อในดีเอ็นเอต้องการทำลายหรือแก้ไขแปลนใหม่ ซึ่งการตกลงว่าใครจะเป็นผู้ออกแบบหรือกำหนดแปลนบ้านเป็นเรื่องที่ยังคงงัดข้อกันจนถึงปัจจุบัน
หากอิงตามประวัติศาสตร์ยุโรป กษัตริย์มีสิทธิปกครองและตัดสินใจเพราะมีความเชื่อว่าได้รับฉันทมติและความเห็นชอบจากพระเจ้า ขณะที่ประเทศไทยไม่มีความเชื่อเช่นนั้น เราเชื่อในดีเอ็นเอที่สืบทอด ซึ่งคณะราษฎรไม่สนับสนุนแนวคิดนี้ รัฐธรรมนูญฉบับแรกจึงระบุว่าอำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรชาวไทย แต่ในปัจจุบันจะเห็นว่ามาตรานี้มักถูกลบ สอดแทรก หรือต่อเติมใหม่จนกลายเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
หากประเมินว่าอำนาจยังไม่เป็นของราษฎรอย่างแท้จริง แปลว่าคณะราษฎรไม่ประสบความสำเร็จในการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยจวบจนปัจจุบันหรือเปล่า
จะพูดอย่างนั้นก็ได้ เพราะแปลนที่คณะราษฎรออกแบบไม่ถูกนำไปใช้ แต่ถูกเปลี่ยนและสร้างแปลนใหม่ขึ้นแทน กล่าวคือมีคณะต่างๆ ล้มแปลนเดิมและเอาแปลนใหม่มาเสนอ ดึงกันไปมาจนผ่านไป 92 ปี และคาดว่าคงจะดึงกันต่อไปอีกพักใหญ่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ละเลยไม่ได้คือบทบาทของมหาอำนาจที่มีผลต่อการก่อตัวของรัฐไทย อังกฤษมีสถานะเป็นพันธมิตรกับเจ้าและสร้างอิทธิพลมหาศาลต่อการขยายอำนาจของกรุงเทพฯ แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง อังกฤษก็หมดพลัง สหรัฐฯ กลายเป็นประเทศที่มีอำนาจและมีส่วนกำหนดการเมืองไทยอย่างมหาศาล ขณะที่ฝ่ายคณะราษฎรก็หมดแรง แตกแยกกันภายใน และแทบจบลงหลังการหลังการรัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป. โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
จากนั้นสหรัฐฯ ก็สนับสนุนทหารและกลุ่มที่เชื่อในดีเอ็นเอเรื่อยมา สหรัฐฯ จึงมีอิทธิพลต่อกองทัพไทยมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไทยเคยเป็นช่องทางให้การช่วยเหลือทางการทหารของสหรัฐฯ ในสมัยสงครามเวียดนาม กองทัพไทยจึงเติบโตขึ้นอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ผ่านการซ้อมรบร่วมกัน ส่งคนไปร่ำเรียนวิชา เป็นต้น ขณะที่กลุ่มทหารและกลุ่มที่เชื่อในดีเอ็นเอก็เป็นพันธมิตรกันจนถึงปัจจุบัน
หมายความว่าสหรัฐฯ มีส่วนให้เส้นทางประชาธิปไตยไทยไม่สำเร็จ?
อาจไม่ได้กระทำการโดยตรง แต่สหรัฐฯ สนับสนุนกองทัพไทยเพื่อประโยชน์ส่วนตนในช่วงสงครามเย็นและสงครามเวียดนาม ขณะที่ทหารไทยก็หยิบเอาสิ่งนี้มาเป็นประโยชน์ต่อการเปลี่ยนแปลงแปลนบ้าน ซึ่งที่ผ่านมาทหารมักถูกฟูมฟักสั่งสอนให้เชื่อในอำนาจของดีเอ็นเออยู่แล้ว โดยสื่อสารอย่างชัดเจนผ่านคำขวัญของกองทัพบก ‘เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน’ ซึ่งคำว่าเพื่อชาตินั้นนามธรรมมาก ขณะที่เพื่อศาสนาก็ไม่รู้ว่ากองทัพบำรุงศาสนาอย่างไร ผมคิดว่าเป็นคำขวัญที่หยิบยืมมาจากฝรั่งเศสด้วยซ้ำ ซึ่งในฝรั่งเศส คำว่า ‘เพื่อศาสนา’ คือการปกป้องคาทอลิก
หลายประเพณีในไทยไม่ใช่ของไทย นอกจากคำขวัญแล้ว ไทยยังรับการถอนสายบัวมาจากอังกฤษ กล่าวคือการถอนสายบัวไม่ใช่สิ่งที่กระทำกันตั้งแต่สมัยอยุธยาหรือจนกระทั่งรัชกาลที่ห้า เดิมทีการถอนสายบัวยังเป็นท่าที่ใช้ถวายความเคารพต่อทั้งพระมหากษัตริย์และในโบสถ์คาทอลิกที่คนทุกเพศสามารถกระทำได้ ซึ่งในส่วนนี้ผมแค่รู้สึกแปลกใจว่าทำไมหลายคนคิดว่าสิ่งที่เราลอกเขามาคือประเพณีอันดีงามของไทย
ตั้งแต่ปฏิวัติ 2475 อาจารย์เห็นการเปลี่ยนแปลงในด้านการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายอำนาจเก่ากับฝ่ายประชาธิปไตยก้าวหน้าอย่างไรบ้าง และเราเรียนรู้อะไรจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างขั้วเหล่านี้
อย่างที่อธิบายว่ามีทั้งศึกภายในและศึกภายนอก ศึกภายในคือคณะราษฎรไม่ได้เห็นในทิศทางเดียวกันเสมอไป แม้แต่จอมพล ป. กับอาจารย์ปรีดียังมีความขัดแย้งซึ่งก็เป็นธรรมดาของการเมืองที่ต้องสู้กันข้างในเพื่อไปสู้กับข้างนอก อย่างไรก็ดี มีคนในคณะราษฎรพึ่งแรงจากข้างนอกเพื่อต่อสู้กับข้างใน ซึ่งครั้งหนึ่งอาจารย์ปรีดีเคยกล่าวว่า “ข้าพเจ้ายังไม่มีประสบการณ์และมีความผิดพลาด” แต่ไม่ได้เจาะจงว่าผิดพลาดอะไร คงต้องเป็นหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์และนักสังคมศาสตร์ที่ต้องศึกษาว่าอะไรคือความผิดพลาดของอาจารย์ปรีดี ซึ่งผมมีสมมติฐานแต่ไม่อยากเสนอโดยที่ไม่ผ่านการศึกษาอย่างหนักแน่น
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง บางปีกในคณะราษฎรพยายามอิงกับกลุ่มที่เชื่อในดีเอ็นเอเพื่อคัดง้างกับอีกปีกหนึ่ง ถัดจากนั้นก็เกิดเหตุฆาตกรรมรัชกาลที่แปด ฝ่ายที่เชื่อในดีเอ็นเอจึงได้โอกาสจัดการเสี้ยนหนามของแผ่นดินจนอาจารย์ปรีดีหมดบทบาทและต้องนั่งกินขนมปังบาแก็ตอยู่ฝรั่งเศส แม้พยายามกลับเข้ามามีบทบาทแต่ก็ไม่สำเร็จ
ท้ายที่สุด ฝ่ายที่เชื่อในดีเอ็นเอสามารถช่วงชิงอำนาจคืนมาได้ แต่ประเด็นคือฝ่ายที่เชื่อในดีเอ็นเอพยายามช่วงชิงอำนาจตั้งแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และยังคงพยายามช่วงชิงอำนาจจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ ฝ่ายที่เชื่อในดีเอ็นเอยังผนึกกำลังกับฝ่ายทหารที่มีอาวุธ ซึ่งการผนึกกำลังทำให้การถ่วงดุลอำนาจไม่สมดุลยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากสิ่งที่ชี้ขาดการต่อสู้คืออาวุธ กล่าวคือการที่ฝ่ายใดจะชนะ ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายนั้นมีกำลังกำจัดอีกฝ่ายด้วยอาวุธหรือไม่
ปัญหาหลักของการต่อเติมบ้านด้วยแปลนประชาธิปไตยในไทยคือการที่แปลนมักถูกฉีกและทำลายเสมอ หากมองย้อนไปตอน 14 ตุลาคม 2516 จะพบว่าช่วงเวลานั้นประชาธิปไตยเฟื่องฟูมาก มีการก่อตั้งสหภาพแรงงาน ประชาชนตื่นตัวทางการเมือง แต่ฝ่ายที่เชื่อในดีเอ็นเอกลับไม่ยอมรับแปลนประชาธิปไตยนี้ สามปีผ่านไปจึงเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลาคม 2519
แม้ฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะเลือกตั้งครั้งล่าสุด แต่ดูเหมือนว่าชนชั้นนำก็ยังคงมีอำนาจทางการเมือง ตอนนี้เริ่มมีคนวิจารณ์ว่า การเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นผลมาจากความผิดพลาดหรือล้มเหลวของคณะราษฎร อาจารย์มองประเด็นนี้อย่างไร
ก็มาดูกันว่าแปลนของคณะราษฎรเป็นอย่างไร คณะราษฎรทำอะไรเพื่อให้คนส่วนใหญ่ของประเทศอาศัยอยู่ในบ้านอย่างสุขสบายและได้ประโยชน์ ผมเสนอว่ามาลองช่วยกันสร้างบ้านดีกว่าไหม ดีกว่าวิจารณ์และรอคอยเวลาฉีกแปลนบ้านหรือไม่ทำอะไรสักอย่าง ใช่ แปลนบ้านที่มีอาจต้องปรับปรุงแก้ไข คนงานอาจดีบ้างหรือไม่ดีบ้าง หรือสถาปนิกอาจขาดการมองอย่างทะลุปรุโปร่งจนต้องทำไปแก้ไป แต่หากใครบอกว่าต้องรื้อแปลนทิ้งเสีย คำถามที่สำคัญยิ่งกว่าคือแปลนของคุณเป็นอย่างไรและจะเอางบประมาณไปทำอะไร สร้างโรงเรียน พัฒนาสาธารณสุข หรือเอางบประมาณไปซื้ออาวุธ เช่น เรือดำน้ำที่จมไปก็ไม่มีปัญญากู้ เรือบรรทุกเครื่องบินอย่างเรือรบหลวงจักรีนฤเบศรที่ตั้งแต่ได้มาก็จอดอยู่สัตหีบจนเพรียงเกาะ หรือเครื่องบินรบ F-15 และ F-16 ทั้งที่ไทยไม่ได้ต้องทำสงครามกับใคร
หากบอกว่าแปลนของคณะราษฎรไม่ดี คำถามคือแปลนที่ดีของคุณเป็นอย่างไร คุณจะสร้างแปลนที่ทำให้ราษฎรสุขสบายหรือจะสร้างแปลนที่ซื้ออาวุธเพื่อความมั่นคงอันเป็นความมั่นคงของใครก็ไม่ทราบ ซึ่งหากไม่ใช้งบประมาณซื้ออาวุธมากขนาดนี้ รัฐอาจอุดหนุนให้ประชาชนรับการศึกษาฟรีในทุกมิติได้ด้วยซ้ำ คำถามถัดมาคือเราจะเลือกอะไร เราจะอยู่กับแปลนบ้านที่คนกลุ่มหนึ่งสุขสบายกว่าเพื่อนหรือ
การปฏิวัติ 2475 และการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างคณะราษฎรด้วยกันเองจนถึงขั้นต้องไปประนีประนอมกับอำนาจเก่า เราสามารถถอดบทเรียนและเทียบเคียงการประนีประนอมของพรรคเพื่อไทย ซึ่งนำไปสู่เป็นรัฐบาลผสมข้ามขั้วได้หรือไม่ อย่างไร
การที่เราเห็นว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คณะราษฎรที่ดูเป็นพวกเดียวกันก็ไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือแม้แต่พรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล ผมก็เชื่อว่าไม่ได้กลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเสมอ ภายในพรรคต้องมีความเห็นที่แตกต่าง พรรคเพื่อไทยเองก็เช่นกัน
เราคิดว่าสองพรรคนี้เป็นพวกเดียวกันในฐานะของฝ่ายประชาธิปไตย แต่นั่นเป็นสิ่งที่เราคิดหรือสื่อทำให้เราคิด ทั้งที่ระหว่างสองพรรคอาจไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแต่แรก ซ้ำยังต้องชิงคะแนนและต่อสู้กันในสนามเลือกตั้ง ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่พรรคก้าวไกลตกลงกับพรรคเพื่อไทยว่าจะแบ่งกันลงคนละเขตเพื่อไม่ตัดคะแนนกัน และเมื่อถึงเวลาจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นเช่นนั้น นี่คือหัวใจของการเมืองที่เรียกว่า realpolitik อย่างไรก็ตาม ฝ่ายก้าวไกลอาจเห็นว่าการตั้งรัฐบาลผสมเช่นนี้เป็นการเตะตัดขา จนกระทั่งบางกลุ่มรวมถึงสื่อมวลชนใช้คำว่า ‘ตระบัดสัตย์’ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะไม่ทำตามข้อตกลงที่ตั้งไว้
หากเปรียบเทียบกับคณะราษฎรจะพบว่ามีแพทเทิร์นสองปีก ซึ่งปีกของจอมพล ป. อิงกับทหารเยอะ ขณะที่อีกปีกหนึ่งก็พยายามอิงกับอีกกลุ่มหนึ่ง แพทเทิร์นนี้สะท้อนว่าคณะราษฎรก็ไม่ได้มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งในความเป็นจริงทางการเมืองก็มักจะไม่มีความสามัคคีเท่าไหร่นัก
มีคนเปรียบเทียบว่าพรรคก้าวไกลเหมือนฝ่ายอาจารย์ปรีดี ขณะที่พรรคเพื่อไทยเหมือนฝ่ายจอมพล ป. อาจารย์คิดเห็นอย่างไรกับประเด็นนี้
เปรียบเทียบอย่างนี้ไม่ได้เพราะเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่มีหลักการ หากเปรียบเทียบกันด้วยหลักการจึงจะพบหลักการทั่วไปของการเมืองในความเป็นจริง กล่าวคือเมื่อกลุ่มเดียวกันเกิดความขัดแย้งก็มักหาพันธมิตรต่างฝ่ายจนทำให้ข้างในแตกแยก
ผมไม่เห็นด้วยกับการเปรียบเทียบแบบก็อปปี้เช่นนั้น แต่หากเปรียบเทียบด้วยหลักการ สิ่งที่พบคือแพทเทิร์นโดยหลักการทั่วไปของการแตกแยกทางการเมือง ยกตัวอย่างเช่น การปฏิวัติรัสเซียที่ผู้ก่อการปฏิวัติเคยเป็นพวกเดียวกัน แต่ภายหลังขัดแย้งจนแตกออกเป็นฝ่ายบอลเชวิคและฝ่ายเมนเชวิค และมีฝ่ายเมนเชวิคที่ไปเข้าร่วมขบวนการขาวเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ หรืออีกตัวอย่างคือกลุ่มประเทศตะวันออกกลางก็ไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีบางประเทศที่ไม่สนับสนุนปาเลสไตน์แต่เลือกเข้าร่วมกับฝ่ายสหรัฐฯ เช่น ซาอุดิอาระเบีย จอร์แดน เป็นต้น
ถามใหม่ว่า มีคนเทียบพรรคก้าวไกลกับฝ่ายอาจารย์ปรีดีเพราะดูเหมือนมีภาพซื่อตรงกว่าฝ่ายของจอมพล ป. แต่สุดท้ายกลับเป็นแนวร่วมกับฝ่ายอนุรักษนิยม จนนำมาสู่ความพ่ายแพ้ทั้งหมดของขบวนการประชาธิปไตย อาจารย์มองประเด็นนี้อย่างไร
ประเด็นนี้ต้องระวังอย่างยิ่งและถือเป็นบทเรียนสำคัญ เนื่องจากอำนาจเก่าที่เชื่อในดีเอ็นเอมีพลังมาก ขณะที่ราษฎรจำนวนมากก็ยังเชื่อในดีเอ็นเอแม้ว่าความเชื่อนี้อาจทำให้เขาต้องอาศัยอยู่ใต้ถุนก็ตาม เพราะฉะนั้น สถานการณ์นี้จึงเหมือนการเล่นหมากรุกที่บางครั้งก็ต้องอาศัยหมากของคู่ตรงข้ามให้เป็นประโยชน์แก่เรา เช่น เราไม่กินเบี้ยนี้ของฝ่ายตรงข้ามเพราะยังมีประโยชน์ แต่หากเกมเปลี่ยนก็กินเพื่อชัยชนะ
ผมเปรียบเปรยผ่านการเล่นหมากรุกเพื่อให้เห็นว่าต้องมีการพิจารณาหมากของฝ่ายตรงข้ามระหว่างเดินเกมด้วย อย่างไรก็ตาม ผมไม่อยากเปรียบเทียบว่าก้าวไกลเป็นอย่างอาจารย์ปรีดี เพราะอย่างที่พูดไปว่าอาจารย์ปรีดีทิ้งโจทย์สำคัญเรื่องความผิดพลาดของตนเองไว้
การศึกษาประวัติศาสตร์ 2475 พูดถึงการโต้อภิวัฒน์ (counter-revolution) มาโดยตลอด สถานการณ์การเมืองทุกวันนี้ถือเป็นหนึ่งในการโต้อภิวัฒน์ด้วยหรือไม่
แล้วแต่ว่าใครให้คำอธิบาย พรรคเพื่อไทยคงอธิบายว่าต้องประนีประนอมและจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติเพื่อขับเคลื่อนนโยบายและสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวม ขณะที่อีกฝ่ายอาจอธิบายว่าการตั้งรัฐบาลข้ามขั้วคือการขัดขวางประชาธิปไตย คำอธิบายจากสองฝั่งเป็นการขว้างโคลนกันไปมา ซึ่งผมก็ไม่อยากให้น้ำหนักกับการขว้างโคลนนี้มากนัก ดังนั้น การมองว่าการเมืองปัจจุบันคือการโต้อภิวัฒน์หรือไม่ อาจขึ้นอยู่กับมุมมองหรือจุดยืนของแต่ละคน ยกตัวอย่างง่ายๆ หากคู่รักคู่หนึ่งเลิกกัน ลองไปฟังคำอธิบายของแต่ละฝ่ายสิ คงจะพูดกันคนละเรื่อง ทั้งสองข้างคงให้เหตุผลอย่างไรก็ได้ที่ทำให้ตัวเองดูดี
การปฏิวัติ 2475 สัมพันธ์เชื่อมโยงถึงรัฐบาลผสมเพื่อไทยอย่างไร
การปฏิวัติ 2475 คือความพยายามลงหลักปักเสาประชาธิปไตย หากไม่มีคณะราษฎรและ 2475 บ้านหลังนี้อาจออกแบบและปกครองโดยกลุ่มที่เชื่อในดีเอ็นเอมาโดยตลอด ซึ่งคงเป็นประโยชน์ต่อคนบางกลุ่ม แต่ไม่เป็นประโยชน์ต่อราษฎรส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อคณะราษฎรลงหลักปักเสาแล้ว ประชาธิปไตยจึงขึ้นอยู่กับการรับไม้ผลัดในการก่อสร้างระบอบให้เป็นประโยชน์แก่ราษฎร หรือก็คือการสร้างบ้านที่ทุกคนอยู่สุขสบายและไม่เอื้อประโยชน์แค่กับบางกลุ่ม ซึ่งพรรคเพื่อไทยอาจมองว่าตนกำลังรับไม้ผลัดนี้อยู่
อย่างไรก็ดี เราในฐานะผู้เสียภาษีสามารถวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลได้ ซึ่งผมไม่เห็นความพยายามของพรรคเพื่อไทยในการต่อเติมบ้านให้สำเร็จตามแปลนคณะราษฎรเท่าไหร่นัก อย่างที่เคยหาเสียงว่าจะปฏิรูปกองทัพและยกเลิกเกณฑ์ทหาร ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าคืบหน้าถึงไหนทั้งที่ครองเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ไหนจะเรื่องกัญชาที่ประกาศว่าจะนำกลับเข้าบัญชียาเสพติด ซึ่งเป็นประเด็นที่ไม่ต้องงัดข้อกับทหารและไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่ก็ยังทำไม่สำเร็จทั้งที่ผ่านมาแล้วหลายเดือน
ผมไม่สนใจหรอกว่าสองพรรคนี้ทะเลาะกันอย่างไร ผมสนแค่ว่าถ้าได้เป็นรัฐบาล คุณทำผลงานอะไรไปแล้วบ้าง ทั้งที่สมัยทักษิณยังสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่อย่างนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค หรือนโยบายกองทุนหมู่บ้านที่ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว แต่คำถามคือรัฐบาลชุดนี้ได้ทำเรื่องสำคัญอะไรไปแล้วหรือยัง
คณะราษฎรจบลงด้วยรัฐประหาร 2500 พลังประชาธิปไตยไทยในปัจจุบันจะจบลงแบบนั้นไหม อะไรคือความแตกต่าง
ปี 2535 พล.อ.สุจินดาเคยประกาศว่าขอให้รัฐประหาร 2534 เป็นการรัฐประหารครั้งสุดท้าย ผมได้ยินแล้วก็พูดกับเพื่อนที่ทำงานเลยว่าเอาที่ไหนมาพูดว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะผมเชื่อว่ารัฐประหารต้องเกิดขึ้นอีกและคงเกิดอีกหลายครั้ง มีใครกล้าพนันกับผมไหมล่ะว่าการรัฐประหารโดยประยุทธ์จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่เพราะอยากให้เกิดรัฐประหาร แต่สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคืออำนาจของการเมืองไทยอยู่ที่ใครหรืออยู่ตรงไหน
รัฐประหารอาจไม่เกิดขึ้นในวันนี้หรือพรุ่งนี้ แต่ก็พร้อมที่จะเกิดเพราะอำนาจทางการเมืองที่มีอยู่ ดูสิว่ากองทัพทหารอยู่ในกรุงเทพฯ เท่าไหร่ อยู่ตรงถนนราชดำเนินก็มี ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหมไม่มีแนวทางหรือนโยบายป้องกันการรัฐประหารในอนาคตอย่างเป็นรูปธรรม
ถึงอาจารย์จะเปิดให้พนัน แต่ก็คงจะไม่มีนักวิเคราะห์คนไหนพนันข้างที่เชื่อว่าจะไม่เกิดรัฐประหารขึ้นอีก คำถามคือ ทำไมทุกคนถึงเชื่อว่าอย่างไรก็เกิดอีกแน่ๆ ทำไมไม่มีนักวิเคราะห์ที่กล้าตัดการรัฐประหารออกจากตัวเลือกของชนชั้นนำเลย
เพราะการรัฐประหารขึ้นอยู่กับดุลอำนาจในความขัดแย้ง เปรียบเทียบกับการเตะฟุตบอลก็ได้ ระหว่างเตะฟุตบอล มือของผู้เล่นจะโดนลูกฟุตบอลไม่ได้ แต่การรัฐประหารทำแบบนั้น รับลูกฟุตบอลมาเล่นเป็นบาสเก็ตบอล จังหวะนั้นถนัดบาสเก็ตบอลพอดี ก็แค่จับลูกฟุตบอลมาทุ่มเข้าประตู หรือไม่ก็เอาผู้เล่นมาลงในเกมเยอะกว่าที่กติกากำหนด อย่างที่มีการเอา สว. ของตัวเองมาลงในสนามการเมือง
ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อบอกว่า ‘เห็นมั้ยกูบอกมึงแล้ว’ ในตอนที่รัฐประหารเกิดขึ้นอีก แต่เป็นการพูดเพื่อให้ทุกคนเตรียมร่างกายให้แข็งแรงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคและเพื่อให้มีภูมิคุ้มกัน ซึ่งสิ่งสำคัญที่เป็นภูมิคุ้มกันคือการที่ราษฎรตื่นตัวทางการเมืองและไม่หลงกลไปกับสื่อ คำพูดของผู้ที่มีอิทธิพล รวมถึงนักการเมืองเก่าและคนดีทั้งหลาย
ชวนคิดสนุกๆ ว่าถ้าอาจารย์ปรีดีหรือคณะราษฎรได้เห็นสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน คิดว่าอาจารย์ปรีดีจะมองสถานการณ์นี้อย่างไร
ถ้าให้เดาโดยดูจากข้อเขียน ‘จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน 14 ตุลาคม‘ ของอาจารย์ปรีดี ผมคิดว่าอาจารย์คงดีใจที่ประชาชนในปัจจุบันมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น เพราะย้อนไปเมื่อ 2475 กว่าจะเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ต้องแอบประชุม ขณะที่การปฏิวัติเกิดขึ้นแบบที่คนนอกเขตพระนครแทบไม่รับรู้ ไม่ต้องพูดถึงคนบึงกาฬ อุบลราชธานี เชียงใหม่ แพร่ หรือนครปฐม แต่ทุกวันนี้ประชาชนมีความตื่นตัวในเรื่องการออกแบบแปลนบ้านให้เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่มากขึ้น ประเด็นนี้ผมว่าอาจารย์ปรีดีต้องดีใจ
ทั้งนี้ มีคนวิจารณ์อาจารย์ปรีดีว่าทำไมการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ถึงไม่มีมวลชนเป็นฐานกำลัง ซึ่งผมอยากตอบแทนด้วยสำนวนของผมเองว่าจะบ้าเหรอ จะเรียกคนมาชุมนุมได้อย่างไร ขนาดคณะราษฎรมีไม่กี่สิบคนยังต้องแอบประชุมเพราะเสี่ยงตาย ในแง่นี้จึงถือว่าเราพัฒนามาเยอะ ส่วนในเรื่องที่เป็นศัตรูของประชาธิปไตย ผมเห็นว่าอาจารย์ปรีดีคงมองโลกสวยเกินไปและอาจคิดว่าการปฏิวัติเป็นหนังม้วนเดียวจบ จนกระทั่งมาพบว่าความจริงไม่เป็นเช่นนั้น
แล้วถ้าได้เห็นรัฐบาลข้ามขั้ว คิดว่าปรีดีจะเขียนบทความแบบไหนเพื่อสื่อสารกับประชาชน
อาจารย์ปรีดีคงจะเขียนบทความที่สื่อสารให้ฝ่ายประชาธิปไตยจับมือกันไว้ ให้ยอมเสียสละ และอย่าทะเลาะกันมากเสียจนเป็นประโยชน์แก่อีกฝ่าย ไม่ก็คงจะเขียนว่าให้ยอมเสี่ยงเดินหมากรุกทางการเมือง กล่าวคือรอให้วุฒิสภาหมดวาระและไม่มีอำนาจเลือกนายกฯ โดยที่ระหว่างรอก็ให้จับมือและคุยเรื่องนโยบายและการทำงานร่วมกัน แต่ท้ายที่สุดเหตุการณ์นี้คงไม่เกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นได้ยากเพราะหลายปีกในพรรคเพื่อไทยและก้าวไกล สุดท้ายก็ดึงกันไปมาจนจบลงเช่นนี้ นี่ถือเป็นบทเรียนครั้งใหญ่
จาก 2475 ถึงการเมืองไทยปัจจุบัน แปลนบ้านของเราเดินหน้าหรือถอยหลังมากน้อยแค่ไหน เรายังย่ำอยู่กับที่หรือเปล่า
เราก้าวหน้ามาเยอะ แต่ก็ใช้เวลานานถึง 92 ปีกว่าจะมาถึงจุดนี้ ใครบางคนจึงอาจไม่ทันเห็นความสำเร็จของการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยในช่วงชีวิตนี้ แต่หากมองในระยะยาวก็ถือว่าเป็นการพัฒนาที่เดินหน้ามาเยอะทีเดียว อาจมีถอยหลังกึกกักบ้าง แต่ทิศทางก็เอนเอียงไปทางประชาธิปไตยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเดินหน้าเท่านี้อาจยังไม่เพียงพอ เราจึงต้องช่วยกันสร้างบ้านและต่อเติมแก้ไขแปลนต่อไป
ท้ายที่สุดแล้ว อาจารย์อยากสรุปการถอดบทเรียน 2475 เพื่อมองการเมืองปัจจุบันอย่างไร
เราต้องระวังฝ่ายที่พยายามทำลายประชาธิปไตยด้วยแนวคิดต่างๆ เช่น แนวคิดที่เชื่อว่าผู้มีอำนาจการปกครองเพราะดีเอ็นเอนั้นดีอยู่แล้ว เป็นต้น อีกด้านหนึ่งผมเห็นว่าเราควรต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ในฐานะที่ชีวิตของคนสั้น แต่ชีวิตของประเทศชาตินั้นยืนยาว เราอาจไม่พอใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สถานการณ์อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวังจนทำให้หงุดหงิดและคับข้องใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจทดแทนได้ด้วยการมองระยะไกล เพราะตั้งแต่การปฏิวัติ 2475 ก็มีสิ่งที่สามารถปลอบประโลมใจได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าการศึกษาประวัติศาสตร์เป็นไปเพื่อการปลอบประโลมใจ แต่เราสามารถเอาประวัติศาสตร์มาเป็นฐานได้