การเลือกตั้งสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้จะเป็นการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ที่จะมีการพูดถึงและวิพากษ์วิจารณ์อีกนาน หากผลการเลือกตั้งออกมาอย่างที่สำนักโพลและสื่อมวลชนบางค่ายทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศคาดคะเน นั่นคือการกลับมาอีกครั้งของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ การเมืองอเมริกันก็จะก้าวรุดหน้าไปสู่ความแตกแยกระหว่างกลุ่มคนต่างๆ
ที่ผ่านมาแม้ในอเมริกาจะมีความหลากหลายแตกต่าง แต่ก็อาศัยสถาบันการเมืองและอุดมการณ์ที่ปรับตัวรับความขัดแย้งใหม่ๆ ให้ผ่านไปได้ด้วยดีตลอดเวลา แต่เมื่อถึงสมัยโลกาภิวัตน์และอำนาจนำในโลกกระจายไปหลายศูนย์ อเมริกาไม่อยู่ในฐานะของผู้นำโลกแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป ความระส่ำระสายจากเศรษฐกิจที่ไม่เป็นเจ้าคนเดียวอีกต่อไป เปิดโอกาสและช่องทางในการหาเสียงให้แก่โดนัลด์ ทรัมป์ว่าจะรื้อฟื้นให้ ‘อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง’ (Make America Great Again – MAGA)
วันก่อนได้ฟังคำบรรยายของไซมอน ชามา (Simon Schama) นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อดังซึ่งเชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ยุโรป และสหรัฐฯ โดยเฉพาะทางด้านวัฒนธรรม เขาวิจารณ์การเลือกตั้งอเมริกาที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ว่า มาถึงจุดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนคือ ‘สัจธรรมได้พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง’ (the unprecedented collapse of truth in America)
เมื่อผู้สื่อข่าวของไฟแนนเชียลไทม์ถามชามาว่า อเมริกามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร คำตอบของเขาคือการหวนไปหาคำพูดของฮันนาห์ อาเรนต์ในบทความเก่าชิ้นหนึ่งเรื่อง Truth and Politics ซึ่งอภิปรายถึงเรื่องสัจธรรมพอๆ กับการโกหก ประเด็นสำคัญของบทความนั้นคือ ประชาธิปไตยไม่อาจอยู่รอดได้เลยหากปราศจากฉันทมติของคนทั้งหมดที่ร่วมในกระบวนการนั้น นั่นคือการยอมรับในสัจธรรมหรือความจริง แต่สิ่งนี้ถูกทำลายลงไปโดยโดนัลด์ ทรัมป์เรียบร้อยแล้วในการเลือกตั้งปี 2020 นั่นคือการปลุกระดมให้คนฝ่ายเขาทั้งหมดไม่ยอมรับในชัยชนะของคะแนนเสียงเลือกตั้ง ทำให้ฉันทมติไม่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกัน
ข้อคิดอีกประการจากอาเรนต์คือการปกป้องรักษาสัจธรรมก็ยากอย่างยิ่ง มันเหมือนกับเดินบนหลังเท้า เป็นการเรียกร้องให้ทำการป้องกันสิ่งที่เป็นนามธรรม แม้จะเป็นนามธรรมที่มีความหมายและสำคัญยิ่งก็ตาม เช่น รัฐธรรมนูญ เหมือนกับการพูดในเรื่องที่อยู่ในวงเล็บ ตรงข้ามกับการกล่าวเท็จและโกหกที่เหมือนกับการกระทำที่ปลดปล่อยอารมณ์ความต้องการของตนเองออกไป คนที่ร่วมการโกหกก็มีอารมณ์ร่วมในการปลดปล่อยความต้องการของตนเองออกไปเช่นกัน ทำให้เกิดความตื่นเต้นสุขใจด้วยความฮึกเหิม (สังเกตบรรดา ‘นักร้อง’ ของเราที่ต่างคนต่างฮึกเหิมราวได้ออกศึกรักษาความเป็นชาติของพวกเขาได้สำเร็จ) เห็นได้จากสีหน้าของเจ ดี แวนซ์ที่ออกมาพูดบนเวทีด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แม้ในดวงตาของเขาจะบอกว่าเขารู้ว่าจริงๆ แล้วมันคือการโกหกมดเท็จทั้งเพ
ผู้อ่านจากเมืองไทยอาจนึกไม่ออกว่า มหกรรมการโกหกในอเมริกาที่กล่าวถึงนั้นมันร้ายแรงอย่างนั้นเจียวหรือ เอากรณีใกล้ๆ ตัว ได้แก่ เฮอริเคนเฮลีนที่พัดกระหน่ำทำลายบ้านเรือนอย่างหนักในมลรัฐนอร์ธแคโรไลนา ฝ่ายหาเสียงของทรัมป์ป้ายสีว่ารัฐบาลไบเดนไม่ให้การช่วยเหลือ มีการยักยอกเงินช่วยเหลือและสิ่งของ เป็นต้น จนประธานาธิบดีไบเดนและผู้ว่าการมลรัฐเหล่านั้นที่เป็นรีพับลิกันต้องออกมาปกป้องว่าเป็นการให้ร้ายและสร้างข้อมูลเท็จ จนถึงในการหาเสียงที่ทรัมป์ออกมาโจมตีใส่ร้ายคนอเมริกันที่เป็นผู้อพยพชาวเฮติว่าชอบกินสัตว์เลี้ยงของเพื่อนบ้านเช่นหมาและแมว ทำให้ชาวบ้านเชื้อสายเฮติในเมืองนั้นออกมาประท้วงและยืนยันผ่านเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองว่าไม่เป็นความจริง การรณรงค์หาเสียงในเวทีเข้าใจได้ว่ามักมีการอภิปรายเกินเลยด้วยความคึกคะนองและอยากเอาใจผู้ฟังที่ส่งเสียงเชียร์อยู่ด้านล่าง แต่เนื้อหาคำพูดและกิริยาท่าทางที่ทรัมป์และนักอภิปรายที่เขาเชิญมาขึ้นเวทีนั้น ได้ก้าวผ่านความเหมาะสมและมารยาทของการพูดในที่สาธารณะไปสู่การสร้างความเกลียดชัง ดูถูกเหยียดหยามทางเพศสภาพและเชื้อชาติ รังเกียจความเป็นผู้หญิง (misogynist)
จนถึงการรณรงค์ในเวทีใหญ่กลางมหานครนิวยอร์ก เมดิสันสแควร์ ที่นักแสดงตลกขึ้นมากล่าวเหยียดหยามชิงชังคนเปอร์โตริโกด้วยคำพูดว่า “มีเกาะอยู่แห่งหนึ่งที่เรียกว่ากองขยะลอยได้ มันคือเปอร์โตริโก” นั่นคือเหตุการณ์ที่ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่าอาจนับว่าเป็น ‘เรื่องคาดไม่ถึงเดือนตุลาคม’ (October surprise) ที่คนเฝ้ารอเพราะมันเป็นเดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งว่าพรรคไหนจะปล่อยไก่หรือกระทำในสิ่งที่คนคาดไม่ถึง อาจเป็นเรื่องดีหรือร้ายก็ได้ แต่จนเมื่อวันศุกร์ผ่านไปก็ไม่มีอะไรประหลาดเกิดขึ้น จนกระทั่งการปราศรัยของทรัมป์ในเมดิสันสแควร์การ์เดนในคืนวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาฯ ที่มีการผรุสวาทอย่างแรงต่อคนเปอร์โตริโก มีคนยกให้ว่าปราศรัยใหญ่อันนี้น่าจะเป็น ‘เรื่องคาดไม่ถึงเดือนตุลา’ ของทรัมป์ได้ เพราะหลังจากนั้นมีดารานักแสดงเปอร์โตริโกหลายคนเช่น Bad Bunny, Jennifer Lopez และ Ricky Martin ออกมาประท้วงต่อต้านทรัมป์เป็นการใหญ่ พร้อมกับแสดงความจำนงในการลงคะแนนเสียงให้กมลา แฮร์ริส
อีกคำถามหนึ่งที่ผมได้ยินบ่อยคือคำถามว่า บัดนี้อเมริกาพร้อมหรือยังที่จะมีประธานาธิบดีสตรีและเป็นคนผิวสีด้วย ตอบอย่างธรรมดาไม่คิดมากก็อาจตอบรับอย่างเชิงบวกได้ว่ามันถึงเวลาแล้วที่สตรีอเมริกันไม่ว่าผิวสีและเชื้อชาติใดควรได้รับฉันทนุมัติของสังคมในการขึ้นมาเป็นผู้นำของรัฐบาลและประเทศ หากมองออกไปอย่างกว้างก็จะเห็นว่าหลายประเทศในโลกมีการยอมรับและสนับสนุนให้สตรีขึ้นมาเป็นผู้นำการเมืองหมายเลขหนึ่งมากกว่าก่อนอย่างคาดไม่ถึง ทั้งที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมแนวหน้าและประเทศกลางๆ รวมกระทั่งประเทศที่ระบบการเมืองประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์ก็ยังสามารถมีนายกรัฐมนตรีสตรีได้ถึงสองคนในเวลาที่ห่างไม่นานนัก
หากพิจารณาจากประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อเสรีภาพและสิทธิทางการเมืองของพลเมือง สตรีผิวดำลงมือต่อสู้และถางทางเพื่อสร้างอนาคตและความมั่นคงให้แก่ความเป็นมนุษย์ที่เสรีและมีความเท่าเทียมของคนผิวดำตั้งแต่สมัยที่ระบบทาสยังไม่ถูกยกเลิก นั่นคือสตรีผิวดำต่อสู้มาตั้งแต่วันแรกๆ ของการตกเป็นทาสแรงงานในสังคมอาณานิคมอเมริกาและต่อสู้อย่างต่อเนื่องมาไม่ขาดสายเคียงข้างไปกับทาสผู้ชาย ทาสผู้หญิงทำงานหนักทั้งในไร่และทำงานในครัวเรือนเพื่อเลี้ยงดูแลครอบครัวอีกด้วย โอกาสในการหลบหนีไปสู่เสรีภาพก็ทำได้ยากและน้อยกว่าผู้ชาย กล่าวได้ว่าสตรีผิวดำมีพันธนาการทางครอบครัวและสังคมที่เป็นอุปสรรคในการบรรลุเสรีภาพของตนเองมากกว่าผู้ชาย
โทนี มอร์ริสัน นักเขียนสตรีผิวดำรางวัลโนเบลให้ข้อคิดในความแตกต่างระหว่างตัวตนของผู้หญิงกับผู้ชาย เมื่อพูดให้ถึงที่สุดคือการที่สตรีมีคุณลักษณะที่ให้การเลี้ยงดูผู้อื่นและสิ่งอื่นมากกว่าตัวเอง เธอกล่าวว่าผู้หญิงนั้นมักแสดงออกในคุณลักษณะดังกล่าวสามทาง ทางแรกคือในความรักที่มีต่อลูกๆ ทางที่สองคือในความรักแบบโรแมนติกระหว่างตัวเองกับคู่รัก และทางที่สามคือในความรักทางศาสนา กล่าวโดยรวมคุณลักษณะดังกล่าวของสตรีคือการคิดถึงและทำเพื่อผู้อื่นมากกว่าคิดถึงตัวเอง (สัมภาษณ์โดยวิทยุบีบีซีปี 2009) กระทั่งการต่อสู้เพื่ออนาคตและการคาดหวังถึงวันข้างหน้าก็ยังต้องคิดอาศัยผู้หญิงรุ่นต่อไป ในขณะที่ผู้ชายถูกสอนให้ต้องต่อสู้ด้วยตนเองและต้องเอาชนะให้ได้ด้วยตนเอง …คนหน้าล้ม คนหลังลุก… สู้เข้าไปอย่าได้ถอย… เลือดต้องล้างด้วยเลือด… ทุกอย่างในนามของสังคมและอุดมการณ์ล้วนเป็นสัญญะและการก่อสร้างความเป็นตัวตนของความเป็นผู้ชายที่ตรงข้ามกับของผู้หญิงโดยสิ้นเชิง
นี่คือจุดเปลี่ยนที่ผมคิดว่ามีความหมายสำคัญต่อการเลือกตั้งอเมริกาในปีนี้ เราได้ยินได้ฟังคำพรรณนาแบบที่ไร้อำนาจไร้ความได้เปรียบ เสนอตัวเองขึ้นมาให้ผู้ลงคะแนนเสียงได้วินิจฉัยว่าพวกเขาจะยินดีให้การรับรองและยอมรับพฤติการณ์และคำพูดที่ดูถูกผู้ลงคะแนนเพียงเพื่อสนองตอบความต้องการในอำนาจดิบและตัณหาทางโลกนานาประการอย่างไม่มีผู้นำระดับโลกคนไหนกล้าพูดและทำ หรือจะแสดงให้ประชาคมโลกได้รับรู้ว่าผู้ลงคะแนนเสียงอเมริกันยังเป็นคนที่มีวิญญาณของเสรีชนและความเป็นธรรมในกมลสันดาน เพื่อยืนยันตามที่ฮันนาห์ อาเรนต์ได้ให้ความกังวลว่า หากไร้ซึ่งฉันทมติของผู้ลงคะแนนเสียงทั้งหมดอย่างถูกต้อง ประชาธิปไตยในอเมริกาก็น่าจะถึงขอบเหวที่หลายประเทศได้ตกลงไปและกำลังจะตามลงไปอีก
จุดนี้เองที่ผมให้น้ำหนักต่อคำปราศรัยของกมลา แฮร์ริส ที่ตัดสินใจนำเอาอัตชีวประวัติของเธอในด้านที่เป็นตัวแทนของคนผิวสีและต่างเชื้อชาติจากคนผิวขาว ผ่านเรื่องเล่าของแม่ชาวอินเดียและพ่อจาเมกามาเป็นความทรงจำปัจจุบันที่สร้างความเป็นตัวตนของคนชั้นกลาง ความเป็นเจ้าของตัวตนและอนาคตของสังคมที่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งที่เท่าเทียมด้วย แน่นอน ในความรู้สึกและความรู้สึกร่วมของผู้ฟังที่เป็นบุรุษและเป็นผู้ทรงอำนาจย่อมไม่รู้สึกถึงพลังและความหมายอันซ่อนเร้นและรักษาความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีของพวกเขาสักเท่าไร ฟังแล้วไม่เห็นความเก่งกล้าสามารถของเธอเท่าไร ไม่เห็นว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างไร ไม่เห็น… ไม่เห็น… ไม่เห็นทุกอย่างที่บุรุษผู้ครองความเป็นเจ้าในโลกนี้ได้กระทำมาก่อนแล้วทั้งสิ้น
การต่อสู้ของกมลา แฮร์ริสและคณะผู้สนับสนุนไม่น้อยเป็นก้าวแรกของการยืนยันหลักการแห่งความเป็นเสรีชนและมนุษย์ผู้เท่าเทียม การต่อสู้ของสตรีอเมริกันได้ผ่านมาหลายก้าว ได้รับสิทธิในการเลือกตั้งเฉพาะคนผิวขาวก่อน และตามมาด้วยการได้สิทธิพลเมืองของคนผิวดำทั้งหญิงและชาย นั่นคือการปลดปล่อยตนเองจากการครอบงำและใช้อำนาจของรัฐที่เป็นผิวขาว ที่ยังไม่อาจนำไปสู่การให้ความเป็นเจ้าของในตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ การต่อสู้เพื่ออำนาจรัฐที่ไม่มีสีผิวจึงเป็นจุดหมายของการเลือกตั้งครั้งนี้ หนทางของการต่อสู้ของคนผิวสีในอเมริกาจึงยาวนานและยอกย้อนยิ่ง
ดังคำกล่าวของโทนี มอร์ริสันที่ว่า “การปลดปล่อยตัวเองเป็นเรื่องหนึ่ง การอ้างความเป็นเจ้าในตัวตนที่เป็นเสรีแล้วเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” (“Freeing oneself was one thing; claiming ownership of that freed self was another.” Beloved, Toni Morrison)