fbpx

ประเมินนโยบายเด่นพรรคการเมืองใหญ่ เตรียมไปเลือกตั้ง’66

ในการเลือกตั้งระดับชาติ 2566 พรรคการเมืองต่างหาเสียงด้วยนโยบายหลากหลาย ทุกพรรคต่างจูงใจและให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

แต่ละพรรคก็มีนโยบายเด่นที่เป็นจุดขายเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน ซึ่งมาจากอุดมการณ์ ฐานคิด และวิถีการดำเนินงานที่แตกต่างกัน บ้างก็แยกประเด็นเศรษฐกิจออกจากการเมือง บ้างก็มองว่าเป็นเนื้อเดียวกัน บ้างก็พยายามจัดการปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ในวันนี้ และบ้างก็พยายามวางฐานสู่การปรับปรุงในภาพใหญ่

ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้งใหญ่ 14 พฤษภาคม 2566 นี้ 101 PUB ขอร่วมหยิบ 2 นโยบายเด่นของ 6 พรรคการเมืองใหญ่มาประเมิน ดูว่านโยบายเหล่านี้ช่วยแก้ปัญหาหรือไม่ เหมาะสมบริบทประเทศไทยมากเพียงใด และวิธีการที่ใช้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพแล้วหรือยัง เพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจใช้สิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้ง โดยพิจารณาจากนโยบาย บนฐานคิดทางวิชาการ

พรรคพลังประชารัฐ

‘ลดราคาน้ำมัน’ รัฐต้องเสียงบประมาณเดือนละ 3 หมื่นล้านบาท แต่ครัวเรือนยิ่งรวยยิ่งได้ประโยชน์

นโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่มีการพูดถึงในเวทีดีเบตต่างๆ คือการประกาศลดราคาน้ำมัน ทั้งเบนซินและดีเซล เป็นเวลา 1 ปี เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน โดยจะลดราคาน้ำมันเบนซินลงลิตรละ 18 บาท และลดราคาน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 6.3 บาท ด้วยการยกเว้นการเก็บภาษีสรรพสามิต ภาษีบำรุงท้องถิ่น และการหักเงินส่งกองทุนน้ำมันและกองทุนอนุรักษ์พลังงาน

มาตรการอุ้มราคาน้ำมันดีเซลที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ซึ่งรัฐบาลประกาศใช้ในช่วงต้นปี 2565 ใช้งบประมาณ (ซึ่งรวมถึงการสูญเสียรายได้ภาษีของรัฐ) มากถึง 764 ล้านบาทต่อวัน หรือ 23,252 ล้านบาทต่อเดือน[1] โดยคำนวณจากอัตราการใช้น้ำมันโดยเฉลี่ยของประเทศในปี 2564 ซึ่งอยู่ที่ 47.6 ล้านลิตรต่อวัน[2]

แต่ตัวเลขเงินอุดหนุนนี้จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นหากดำเนินนโยบายอุดหนุนที่ครอบคลุมมากกว่าเดิม ลดราคามากกว่าเดิม และมีการใช้งานมากกว่าเดิม เพราะในปี 2565 อัตราการใช้น้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3.9% คิดเป็นปริมาณเฉลี่ย 30.2 ล้านลิตรต่อวัน ในขณะที่น้ำมันดีเซลมีปริมาณการใช้งานสูงขึ้นถึง 15.7% หรือเฉลี่ย 73.1 ล้านลิตรต่อวัน[3]

หากคำนวณเงินอุดหนุนที่จะต้องใช้ โดยอิงจากข้อเสนอของพลังประชารัฐที่ตั้งเป้าลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาทต่อลิตร และลดราคาน้ำมันดีเซลลง 6.3 บาทต่อลิตร และอัตราการใช้น้ำมันเฉลี่ยในปี 2565 พบว่า จะต้องใช้เงินอุดหนุนมากถึง 1,011 ล้านบาทต่อวัน หรือ 30,763 ล้านบาทต่อเดือน ตัวเลขดังกล่าวมีขนาดใหญ่ถึง 12% ของงบประมาณประจำปี แต่พรรคพลังประชารัฐกลับอ้างว่านโยบายนี้ไม่ต้องใช้งบประมาณรัฐในการดำเนินนโยบาย

การลดอัตราการเก็บภาษีและจำนวนเงินที่เก็บเข้ากองทุนเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรัดกุม เนื่องจากปัจจุบันเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลงก็ยังอยู่ในสถานะติดลบ 79,327 ล้านบาท รวมถึงรายได้ของรัฐที่จะหายไปยังกระทบกับการใช้จ่ายภาครัฐในส่วนอื่น หรือกระทั่งกระทบต่อประสิทธิภาพทางการคลังและโอกาสในการกู้ยืมในอนาคตที่จะลดน้อยลง

ประเภทน้ำมันปริมาณการใช้ต่อวัน (ล้านลิตร)ปริมาณการใช้ต่อเดือน (ล้านลิตร)ภาระงบประมาณต่อวัน (ล้านบาท)ภาระงบประมาณต่อเดือน (ล้านบาท)
เบนซิน30.2918.6545.716,599.1
ดีเซล73.12,223.5465.614,163.7
รวม1,011.330,762.8
ปริมาณการใช้น้ำมันเฉลี่ยในปี 2565 และภาระงบประมาณของนโยบายลดราคาน้ำมันของพรรคพลังประชารัฐ

โดยทั่วไป มาตรการอุ้มราคาน้ำมัน โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล มักจะมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนของภาคขนส่งและลดค่าครองชีพให้กับประชาชน โดยมักอ้างถึงกลุ่มผู้มีรายได้น้อยเป็นหลัก อย่างไรก็ดี แนวทางการลดราคาน้ำมันทั้งหน้ากระดานกลับทำให้ครัวเรือนร่ำรวยได้รับประโยชน์มากที่สุด

จากข้อมูลสำรวจสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของไทย สัดส่วนผู้ใช้น้ำมันเบนซินค่อนข้างคงที่อยู่ที่ราวร้อยะ 80-85% ในทุกกลุ่มรายได้ แต่สัดส่วนผู้ใช้งานน้ำมันดีเซลมักเพิ่มขึ้นตามรายได้ต่อหัวของครัวเรือน โดยในกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยที่สุด 20% มีสัดส่วนผู้ใช้น้ำมันดีเซล 20% เท่านั้น ขณะที่กลุ่มครัวเรือนรายได้มากที่สุด 20% มีสัดส่วนผู้ใช้น้ำมันดีเซล 30%

ในด้านค่าใช้จ่ายพบว่า ครัวเรือนรายได้สูงจ่ายค่าน้ำมันเบนซินเฉลี่ย 1,300-2,100 บาท/เดือน ขณะที่ครัวเรือนรายได้น้อยมีค่าใช้จ่ายราว 490-515 บาท/เดือนเท่านั้น สำหรับน้ำมันดีเซล ครัวเรือนรายได้สูงมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 600-800 บาทต่อเดือน แต่ครัวเรือนรายได้น้อยมีค่าใช้จ่ายน้ำมันดีเซลเพียง 220-270 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน ดังนั้น ครัวเรือนรายได้น้อยมีการใช้น้ำมันน้อยกว่าครัวเรือนรายได้สูงถึงราว 3-4 เท่า

ด้วยโครงสร้างการใช้พลังงานเช่นนี้ การใช้งบประมาณเพื่อลดราคาน้ำมันจึงเป็นนโยบายถดถอย (regressive) กล่าวคือ ยิ่งรวยยิ่งได้รับประโยชน์ การใช้เงินอุดหนุนค่าน้ำมันทุกๆ 100 บาท จะลงไปที่ครัวเรือนรายได้น้อยที่สุด 20% เพียง 11 บาท แต่จะไปลงกับครัวเรือนรายได้สูงสุด 20% ถึง 36 บาท

เนื่องจากการดำเนินนโยบายย่อมกระทบต่อการจัดสรรงบประมาณส่วนอื่น จึงมีค่าเสียโอกาสในการดำเนินนโยบายที่มีลักษณะก้าวหน้า ที่ทำให้คนยากจนได้ประโยชน์มากกว่าคนรวย ดังเช่นนโยบายการคุ้มครองทางสังคม นโยบายเงินโอนสำหรับผู้มีรายได้น้อย รวมถึงการสร้างสินค้าสาธารณะของรัฐ ดังนั้น การจูงใจประชาชนด้วยนโยบายอุดหนุนราคาน้ำมันจะไม่ตอบโจทย์การใช้งบประมาณภาครัฐ

‘ปฏิรูปที่ดิน คืนสิทธิให้ประชาชน’ นโยบายเก่า แต่ก็ยังไม่ชัดเจน

หนึ่งในนโยบายเด่นที่พรรคพลังประชารัฐนำเสนอในสนามการเลือกตั้งครั้งนี้คือ การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในที่ดิน โดยเฉพาะการคืนความยุติธรรมให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาข้อพิพาทในที่ดิน ซึ่งหลายพรรคการเมืองมองเห็นปัญหานี้ตรงกัน แต่นโยบายปฏิรูปที่ดินของพลังประชารัฐก็ยังค่อนข้างคลุมเครือว่าจะสามารถช่วยแก้ปัญหาอันซับซ้อนอย่างการถือครองที่ดินได้จริงหรือไม่

พลังประชารัฐเสนอนโยบายแก้ปัญหาข้อพิพาทที่ดินระหว่างรัฐและประชาชนในหลายพื้นที่ ทั้งป่าอนุรักษ์ ป่าสงวนแห่งชาติ ที่ราชพัสดุ และที่ดิน ส.ป.ก. ผ่านการจัดสรรที่ดินทำกินให้ชุมชน พิสูจน์สิทธิและเร่งรัดออกเอกสารสิทธิ์ให้กับประชาชน ซึ่งนับว่าไม่ใช่นโยบายใหม่ เพราะได้มีการตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เพื่อมาทำหน้าที่ดังกล่าวตั้งแต่ปี 2558 โดยมีคณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน ซึ่งพลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐก็นั่งตำแหน่งประธานคณะอนุกรรมการฯ มาโดยตลอด

อย่างไรก็ตาม หากประเมินจากผลงานที่ผ่านมาพบว่า คณะกรรมการที่ดินแห่งชาติยังไม่สามารถทำงานได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน คณะกรรมการที่ดินฯ ตั้งเป้าออกหนังสืออนุญาตครอบครองและใช้ที่ดินอย่างถูกต้องจำนวน 1.589 ล้านไร่ แต่ในเวลา 6 ปี (ปี 2558-2564) ดำเนินการสำเร็จไปเพียง 687,000 ไร่ หรือยังไม่ถึงครึ่งของเป้าหมายที่ตั้งไว้ หากนับเป็นจำนวนคน มีเกษตรกรได้รับการช่วยเหลือในระยะเวลานี้เพียง 60,000 รายจากทั้งหมด 1.1 ล้านรายที่ประสบปัญหาที่ดินทับซ้อนกับรัฐและขาดแคลนที่ดินทำกิน[4]

หากพรรคพลังประชารัฐที่เคยมีผลงานในคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติยังคงดำเนินการจัดสรรที่ดินและพิสูจน์สิทธิด้วยประสิทธิภาพในการทำงานเช่นนี้ กระบวนการคืนสิทธิในที่ดินให้กับประชาชนอาจต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปี

นอกจากนี้ พรรคพลังประชารัฐก็นำเสนอนโยบายเปลี่ยนเอกสารสิทธิ์ให้กลายเป็นโฉนดด้วย ซึ่งมีหลายพรรคการเมืองที่นำเสนอนโยบายคล้ายคลึงกัน ที่จริงแล้ว นโยบายดังกล่าวถือเป็นแนวทางที่ดี เพราะเอกสารสิทธิ์ อาทิ ส.ป.ก. เป็นเหมือน ‘เอกสารสิทธิ์ชั้นสอง’ ที่สร้างข้อจำกัดหลายประการให้กับเกษตรกร ทั้งไม่สามารถเปลี่ยนพื้นที่ทำกินไปทำการเกษตรประเภทอื่นได้ ไม่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือ (ยกเว้นถ่ายโอนตามมรดกให้กับทายาทตามกฎหมาย) ไม่สามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งทำให้เกษตรกรไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ ส่งผลให้สิทธิในการถือครองที่ดินของเกษตรกรไทยอยู่บนความไม่แน่นอน

ทว่า พรรคพลังประชารัฐไม่ได้นำเสนอแนวทางการเปลี่ยนเอกสารสิทธิ์เป็นโฉนดอย่างเป็นรูปธรรม โดยไม่ทราบว่าจะออกแบบกระบวนการเปลี่ยนโฉนดอย่างไรให้รัดกุมและรับประกันได้ว่าสิทธิในการถือครองที่ดินจะตกอยู่ที่เกษตรกรยากจนที่ประสบปัญหาในการถือครองที่ดินจริงๆ

หากจะเปลี่ยนที่ดิน ส.ป.ก. ให้เป็นโฉนดได้จริง จำเป็นต้องพิจารณาถึงเกณฑ์และเงื่อนไขหลายประการ โดยเฉพาะในกรณีที่ที่ดิน ส.ป.ก. ถูกเปลี่ยนมืออย่างผิดกฎหมายมาก่อน คือผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินในปัจจุบันเป็นคนละคนกับผู้ถือเอกสารสิทธิ์ กรณีนี้ พรรคยังมีการบ้านหลายเรื่องที่ต้องคิดให้จบว่าจะเอาอย่างไร เช่น จะกำหนดให้ผู้มีสิทธิในการเปลี่ยนโฉนดต้องยังคงใช้ประโยชน์ในที่ดินของตนเองในระยะเวลาหนึ่งหรือไม่ หรือจะกำหนดเกณฑ์พิจารณาทรัพย์สินของผู้มีสิทธิเปลี่ยนโฉนดหรือไม่ อย่างไร รวมถึงว่าจะกำหนดเงื่อนไขให้โฉนดที่ดินที่ถูกเปลี่ยนมาแล้วสามารถซื้อขายได้ภายในระยะเวลากี่ปี เพื่อป้องกันไม่ให้การเปลี่ยนโฉนดที่ดินตกไปอยู่ในมือของนายทุนหรือเกษตรกรร่ำรวย

พรรครวมไทยสร้างชาติ

บัตรสวัสดิการพลัส’ ยกระดับสวัสดิการผู้มีรายได้น้อยเป็นเรื่องดี แต่ต้องแก้ปัญหารั่วไหล+ไม่เข้าเป้าให้ได้

พรรครวมไทยสร้างชาติ มีนโยบาย ‘บัตรสวัสดิการพลัส’ ซึ่งจะเพิ่มวงเงินใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคให้แก่สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากเดิม 200-300 บาท/คน/เดือน เป็น 1,000 บาท/คน/เดือน พร้อมให้สิทธิวงเงินฉุกเฉินอีก 10,000 บาท/คน[5] ขณะที่พรรคพลังประชารัฐก็เสนอนโยบายคล้ายคลึงกัน โดยเพิ่มวงเงินใช้จ่ายเป็น 700 บาท/เดือน และให้ประกันชีวิต 200,000 บาท/คน[6]

ความตั้งใจในการเพิ่มวงเงินโดยมุ่งเป้าให้กลุ่มผู้ยากจนเป็นเรื่องที่ดี ถ้าทำได้จะเป็นการใช้งบประมาณที่ตอบโจทย์และตรงจุด เพราะสามารถช่วยลดระดับความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในสังคมลงได้ และจะยังช่วยยกระดับรายได้ให้พวกเขาอย่างได้น้ำได้เนื้อ ให้สามารถตั้งตัวและหลุดจากกับดักความยากจนได้

ปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนคนจนอยู่ประมาณ 4.4 ล้านคนเท่านั้น (5.8 ล้านคน หากหักยอดเงินโอนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) ขณะที่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐถูกแจกจ่ายออกไปจริงมากถึง 14.6 ล้านใบและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

หากบัตรจำนวนมากนี้สามารถโอบอุ้มครอบคลุมกลุ่มผู้ยากจนทั้งหมดของสังคมได้ ก็ยังถือว่านโยบายมีความสามารถในการช่วยเหลือผู้ยากจน แต่การคัดกรองในโครงการนี้ยังมีปัญหา ‘การรั่วไหลและไม่เข้าเป้า’ สูงมาก

เมื่อพิจารณาตามเกณฑ์การรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 101 PUB พบการรั่วไหลไปสู่ผู้ไม่เข้าข่ายราว 20% ของบัตรที่แจกจ่ายออกไป และมีผู้เข้าข่าย 57% ที่ยังไม่ได้รับบัตร

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาด้วยเกณฑ์ความยากจน จะพบว่า 78% ของผู้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่ใช่ผู้ยากจน และ 46% ของผู้ยากจนยังไม่ได้รับบัตร ซึ่งผู้ที่ยากจนที่สุดมักจะเป็นผู้ไม่สามารถเข้าถึงได้จริง เนื่องจากต้องจัดทำเอกสาร เดินทางไปยื่นใบสมัคร และเข้ารับการคัดกรอง

ภายใต้โครงสร้างการให้บัตรสวัสดิการแบบเดิมที่ยังมีการรั่วไหลและไม่เข้าเป้าเช่นนี้ จะทำให้การใช้งบประมาณไม่มีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือคนกลุ่มเฉพาะดังที่เคยวาดหวังไว้ การเพิ่มวงเงินค่าใช้จ่ายเป็น 700-1,000 บาท/เดือน ทำให้งบประมาณภาครัฐจากระดับ 40,000-50,000 ล้านบาท/ปี เป็น 130,000-180,000 ล้านบาท/ปี นอกจากนี้ ข้อสังเกตหนึ่งคือเอกสารนโยบายที่รายงานต่อ กกต. พรรครวมไทยสร้างชาติรายงานตัวเลขเพียง 71,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งผิดไปมากกว่า 2 เท่า (ขณะที่เอกสารของพรรคพลังประชารัฐคำนวณภาระงบประมาณไว้ถูกต้อง)

หากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะมีตำแหน่งแห่งที่ในระบบสวัสดิการของไทย จะต้องมีการคัดกรองมุ่งเป้าสู่กลุ่มผู้ยากจนให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังควรใช้เป็นเครื่องมือในการปฏิรูปการทำงานของราชการ ในการเชื่อมต่อฐานข้อมูลที่กระจัดกระจาย เพื่อค้นหา คัดกรอง และติดตามให้ความช่วยเหลือในการประกอบอาชีพ โดยเฉพาะการคัดผู้ที่มีรายได้เกินเกณฑ์ออกให้ได้อย่างแม่นยำที่สุด (คลิกเพื่ออ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็มของ 101 PUB)

‘คนละครึ่ง ภาค 2’ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มาผิดจังหวะ

พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอจะทำนโยบาย ‘คนละครึ่งภาค 2’ ต่อเพื่อกระตุ้นการบริโภคและเสริมกำลังซื้อให้กับร้านค้าขนาดเล็ก โดยภาครัฐร่วมจ่ายครึ่งหนึ่งสำหรับการบริโภคสินค้าและบริการทั่วไปวันละไม่เกิน 150 บาทแก่ประชาชนทั่วไปยกเว้นผู้มีรายได้น้อยที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งโครงการภาค 2 นี้จะให้เงินอุดหนุนทั้งหมด 26 ล้านสิทธิ์ เฉลี่ยประมาณสิทธิ์ละ 1,500 บาท เป็นวงเงินรวม 4 หมื่นล้านบาท[7]

อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของนโยบายเช่นนี้จะแปรผกผันกับสภาวะเศรษฐกิจในขณะที่ดำเนินการ ในช่วงที่ประชาชนขาดรายได้และต้องจำกัดการใช้จ่าย ดังเช่นตอนที่ใช้มาตรการควบคุมโรคอย่างเข้มข้น มาตรการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายมีศักยภาพในกระตุ้นการจับจ่ายและเศรษฐกิจได้จริง (เมื่อเทียบกับการไม่มีมาตรการ ซึ่งจะช่วยพยุงเศรษฐกิจให้ไม่ตกต่ำจนเกินไป) ทว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวหรืออยู่ในภาวะปกติ แม้ว่าผู้บริโภคจะยังใช้จ่ายผ่านโครงการเหล่านี้อยู่ แต่ก็จะไปลดการใช้จ่ายในส่วนอื่นลง ในแง่หนึ่งก็ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้บริโภค แต่ถือว่าไม่ได้ผลในการกระตุ้นการบริโภคและเศรษฐกิจ

ตัวคูณทางการคลัง (Fiscal Multiplier) เป็นเครื่องมือมาตรฐานในการวัดประสิทธิภาพการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยวัดว่าการใช้งบประมาณกระตุ้นทุกๆ 1 บาทจะทำให้มูลค่าเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจริงกี่บาท หากตัวคูณทางการคลังมีค่ามากกว่า 1 ถือว่าการใช้จ่ายมีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง แต่หากมีค่าน้อยกว่า 1 หมายความว่ามาตรการดังกล่าวไม่อาจกระตุ้นเศรษฐกิจได้[8]

ตัวคูณทางการคลังของมาตรการคนละครึ่งเป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่านโยบายนี้จะไม่สามารถกระตุ้นการบริโภคและเศรษฐกิจได้จริง ค่าตัวคูณทางการคลังของมาตรการคนละครึ่งรอบที่ 1-2 (ต.ค. 2563 – มี.ค. 2564) มีค่า 1.0 หมายความว่ามาตรการไม่ได้มีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจแม้ว่าจะเป็นช่วงเศรษฐกิจซบเซาอย่างมากก็ตาม และในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวเบื้องต้น แนวโน้มตัวคูณทางการคลังมีค่าลดลงต่อเนื่อง จนเหลือเพียง 0.8 ในรอบที่ 5 (ก.ย.-ต.ค. 2565)[9]

ยิ่งไปกว่านั้น โครงการคนละครึ่งในรอบที่ 5 ได้ลดวงเงินอุดหนุนต่อคนเหลือแค่ 800 บาทจากที่เคยสูงถึง 3,500-4,500 บาท แต่ผู้รับสิทธิ์ก็ยังใช้เงินอุดหนุนไม่เต็มวงเงิน (เฉลี่ยคนละ 757 บาท) และมีสิทธิ์ที่ไม่ถูกใช้อีกราว 2.48 ล้านสิทธิ์หรือร้อยละ 9.4 ของสิทธิ์ทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากรอบก่อนๆ

ดังนั้น ในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวเข้าสู่สภาวะปกติ[10] ความจำเป็นและประสิทธิภาพของมาตรการย่อมลดลงไปอีก ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่ามาตรการเหล่านี้มีต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะไม่ได้ใช้งบทำโครงการอื่นและต้นทุนทางการเงินที่สังคมต้องจ่ายคืนในอนาคต งานศึกษาของสำนักงานประมาณของรัฐสภา พบว่ามาตรการเงินโอนแก่ประชาชนทั่วไปมีตัวคูณ 0.94 เท่า น้อยกว่านโยบายเงินโอนสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่มีค่าอยู่ที่ 1.35 เท่า ซึ่งทำให้เห็นค่าเสียโอกาสที่ค่อนข้างชัดเจน[11]

พรรคประชาธิปัตย์

‘ประกันรายได้เกษตรกร’ มีส่วนฉุดรั้งเกษตรกรให้ติดในวงจรความยากจน

นโยบายประกันรายได้เกษตรกรถือว่า DNA ของพรรคประชาธิปัตย์[12] ซึ่งดำเนินโครงการนี้ตลอด 4 ปีที่ร่วมรัฐบาล และประกาศจะทำต่อเพื่อช่วยเติมรายได้ให้เกษตรกร ด้วยการจะจ่ายเงินอุดหนุนเท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาตลาดกับราคาเป้าหมายให้เกษตรกรตามปริมาณผลผลิตเกษตร 5 ชนิด ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมันและข้าวโพด ครอบคลุมเกษตรกรทั่วประเทศ กว่า 8.16 ล้านครัวเรือน ซึ่งคาดว่าจะใช้งบราว 7 หมื่นล้านบาทต่อปี[13]

ทว่า นโยบายการประกันรายได้มีส่วนฉุดรั้งเกษตรกรในการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพสินค้า เช่น บางรายขาดทุนจากการปลูกข้าวคุณภาพต่ำ แต่ยังทำต่อเพราะได้รับเงินส่วนต่าง และไม่เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นนอกการเกษตรกรทั้งที่มีกำไรเฉลี่ยจากการเกษตรแค่ 202.7 บาท/วัน น้อยกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรติดอยู่กับการผลิตรายได้ต่ำและจำต้องพึ่งพิงเงินอุดหนุนของรัฐในระยะยาว โดยธนาคารโลกรายงานว่าในปี 2017-2019 การทำเกษตรเป็นปัจจัยเร่งให้สัดส่วนคนจนในชนบทไทยเพิ่มขึ้น 0.3%[14]

ยิ่งไปกว่านั้น เงินอุดหนุนส่วนใหญ่ของนโยบายนี้กลับตกถึงมือเกษตรรายใหญ่ที่มีผลผลิตและที่ดินมากกว่ารายย่อย ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ภาครัฐจ่ายเงินอุดหนุนตามปริมาณผลผลิต ผลการคำนวณของ 101 PUB พบว่าโครงการประกันรายได้ข้าว ไม่เกินรายละ 30 ตันในรัฐบาลที่ผ่านมา กลุ่มครัวเรือนชาวนาที่มีผลผลิตมากที่สุด 20% แรก (กลุ่ม 5) ได้รับเงินอุดหนุน 57.4% ของงบทั้งหมด ในขณะที่ชาวนาที่มีผลผลิตต่ำสุด 20 % ท้าย (กลุ่ม 1) ได้รับอุดหนุนแค่ 2.5% เท่านั้น

การกระจายผลประโยชน์ของนโยบายอุดหนุนการเกษตร กรณีศึกษาข้าว คำนวณโดย 101 PUB

ประสิทธิภาพการช่วยเหลือของโครงการนี้ยังมีแนวโน้มลดลงด้วย เพราะการประกันรายได้จะใช้เงินอุดหนุนเพิ่มขึ้น แต่จะบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรได้น้อยลง ในช่วงปี 2555-2564 สินค้าเกษตรในโครงการยกเว้นปาล์มน้ำมันมีราคาลดลง เช่น ราคายางพาราและข้าวเปลือกลดลง 41.5% และ 24.9% ตามลำดับ หากมีการกำหนดราคาเป้าหมายไว้เท่าเดิม ก็จะต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่มขึ้นซึ่งช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ตามเป้าหมายเดิม แต่เกษตรกรจะมีความเป็นอยู่แย่ลงจากค่าครองชีพในประเทศที่สูงขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 6.4%

หากจะเพิ่มราคาเป้าหมายให้ทันกับค่าครองชีพ ก็จำเป็นต้องใช้งบประมาณและก่อหนี้สาธารณะเพิ่มเติม โดยในช่วงปี 2562-2565 รัฐบาลที่ผ่านมามีการกู้เงินสำหรับโครงการอุดหนุนเกษตรเฉลี่ยปีละ 1.5 แสนล้านบาท แต่จ่ายคืนหนี้แค่ปีละ 7.1 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้มีหนี้เพิ่มขึ้นปีละ 8.1 หมื่นล้านบาท

นโยบายที่จะช่วยให้เกษตรกรหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างยั่งยืน ควรจูงใจให้เกษตรกรปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพสินค้า หรือแม้แต่เอื้อให้เปลี่ยนไปสู่อาชีพใหม่ พร้อมกับการช่วยเหลือระยะสั้น ที่มุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มคนจนผ่านสวัสดิการพื้นฐานตามความจำเป็น โดยไม่ต้องอ้างอิงกับอาชีพเกษตร

‘เรียนฟรีถึงป.ตรี สาขาที่ตลาดต้องการ’ นโยบายหลงทิศ แก้ปัญหาไม่ตรงจุด

อีกหนึ่งนโยบายน่าสนใจที่ถูกนำเสนอโดยพรรคประชาธิปัตย์ คือ การให้เรียนฟรีถึงระดับปริญญาตรีในสาขาที่ตลาดต้องการ ต่อยอดจากนโยบายเดิมที่ให้เรียนฟรี 15 ปี โดยมุ่งเน้นผลิตแรงงานทักษะสูงราว 1.5 แสนคน เข้าสู่อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับอุตสาหกรรมดิจิทัล พร้อมกับแก้ไขปัญหาการว่างงานของบัณฑิตจบใหม่ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์รายงานว่านโยบายนี้จะใช้งบประมาณ 500 ล้านบาท[15]

อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้น่าจะหลงทิศและแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ประการแรก ภาครัฐไม่มีความจำเป็นต้องนำทรัพยากรของสังคมไปอุดหนุนค่าเรียนเต็มจำนวนในสาขาที่ตลาดต้องการ เพราะโดยปกติแล้ว หากบริษัทเอกชนขาดแคลนแรงงานในสาขาใด ก็จะเพิ่มค่าตอบแทนในสาขาเหล่านั้น ทำให้การเรียนในสาขาขาดแคลนมีผลตอบแทนส่วนตัวสูงสำหรับทั้งผู้เรียนและบริษัทเอกชน หากภาครัฐจะมีการอุดหนุน ก็ควรเป็นแค่บางส่วนตามแต่สัดส่วนประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับสังคมโดยรวม   

ในความเป็นจริงแล้ว การขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะสาขาที่มักพูดถึงกัน ไม่ได้มีสาเหตุมาจากปริมาณผู้จบการศึกษาน้อย แต่เป็นผลมาจากปัญหาเชิงคุณภาพของสถาบันอุดมศึกษาทำให้ผู้เรียนได้ใบปริญญา แต่ไม่มีทักษะตามที่ตลาดต้องการ จึงทำให้ไม่ได้งานที่คาดหวัง

ตัวอย่างเช่น ในปี 2564 มีกำลังแรงงานอายุต่ำกว่า 26 ปีเกือบ 5 หมื่นคน ที่จบปริญญาตรีสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นสาขาที่ตลาดต้องการสูง อย่างไรก็ตาม มีเพียงร้อยละ 13 เท่านั้นที่ทำงานตรงสาย ส่วนที่เหลือทำงานไม่ตรงสาย ตกงาน หรืออยู่นอกตลาดแรงงาน ในขณะที่การสำรวจโดยบริษัทจัดหาคนและงานพบว่าบริษัทเอกชนก็ยังขาดแคลนบุคลากรด้านไอทีอย่างหนักเพราะไม่สามารถหาคนที่มีทักษะที่ต้องการได้[16]

ปัญหาถัดมาของนโยบายนี้คือ การวางแผนกำลังคนโดยใช้ข้อมูลความต้องการแรงงานในปี พ.ศ. 2563-2567[17] ซึ่งถือว่าล้าสมัยสำหรับการวางแผนสร้างคน ที่ใช้เวลาอย่างน้อย 4 ปีเพื่อให้เรียนจบระดับปริญญาตรี หากพรรคประชาธิปัตย์ได้ร่วมรัฐบาล โครงการนี้น่าจะเริ่มได้ในปีหน้าซึ่งเป็นปีสุดท้ายของข้อมูลความต้องการและมีผู้จบการศึกษารุ่นแรกในปี 2571 ซึ่งความต้องการแรงงานในตลาดอาจเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว

สุดท้าย แม้ว่านโยบายนี้มีชื่อว่าเรียนฟรีถึงป.ตรีสาขาที่ตลาดต้องการ แต่กลับไม่ได้แตะโจทย์พื้นฐานอย่าง ‘เรียนฟรี 15 ปีไม่มีจริง’ อันเป็นสาเหตุหนึ่งให้นักเรียนยากจนจำนวนมากหลุดออกจากระบบศึกษาก่อนถึงระดับป.ตรี

ในปี 2564 นักเรียนยากจนระดับชั้นประถมและมัธยมต้นมีค่าใช้การศึกษาเฉลี่ยต่อปีราว 2-4 พันบาท และเด็กในครัวเรือนยากจนมีเพียงอัตราการเรียนต่อมัธยมปลายแค่ร้อยละ 18 ต่ำกว่าอัตราโดยรวมทั้งประเทศที่ร้อยละ 64.1[18] หากปัญหานี้ยังคงมีอยู่ การให้เรียนป.ตรีฟรีในสาขาที่ตลาดต้องการก็จะเป็นการอุดหนุนให้ประโยชน์กับเด็กจากครอบครัวฐานะปานกลางและดีเป็นหลัก ยิ่งเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามากขึ้น

พรรคภูมิใจไทย

‘พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอก’ ยาชาราคาแพง ที่ทุกคนต้องร่วมจ่าย

นโยบายพักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอกคนละไม่เกิน 1 ล้านบาท ของพรรคภูมิใจไทยเป็นนโยบายแก้หนี้ครัวเรือนที่ถูกพูดถึงมากที่สุด นโยบายดังกล่าวเป็นการพักหนี้รายคน โดยจ่ายดอกเบี้ยให้สถาบันการเงินแทนผู้กู้เงินเป็นระยะเวลา 3 ปี กำหนดเพดานวงเงินเข้าโครงการไม่เกินคนละ 1 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งสินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงิน สหกรณ์ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กองทุนหมู่บ้าน บัตรเครดิต ไฟแนนซ์ และลีซซิ่ง ทั้งนี้ รัฐบาลจะต้องออกพันธบัตรกู้ยืมเงิน (ซึ่งก็มีดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายคืนภาคการเงิน) เพื่อนำมาใช้จ่าย

ปัญหาหนี้ครัวเรือนถือเป็นปัญหาใหญ่ที่นักเศรษฐศาสตร์พูดถึงกันมาต่อเนื่องยาวนาน เพราะปริมาณหนี้ครัวเรือนของไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีค่ามากถึง 15.4 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน[19] คิดเป็นร้อยละ 87 ของ GDP ซึ่งสูงเป็นอันดับต้นในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับบน ทำให้ครัวเรือนต้องนำรายได้ไปใช้คืนหนี้มากขึ้น จำกัดกำลังซื้อของผู้บริโภค ทำให้เศรษฐกิจไม่อาจเติบโตจากภายในได้อย่างแข็งแกร่ง หนี้ภาคครัวเรือนขนาดใหญ่เกินไปยังสามารถทำลายเสถียรภาพของระบบการเงินหรือการคลังได้จนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจได้

แม้ว่าจะเป็นปัญหาสำคัญที่ควรได้รับการแก้ไข แต่แนวทางนโยบายพักหนี้เช่นนี้เป็นเพียงยาชาราคาแพง ช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในระยะสั้นด้วยงบประมาณภาครัฐค่อนข้างสูง และเมื่อหมดฤทธิ์ ครัวเรือนก็ต้องกลับมาจ่ายคืนดอกเบี้ยและเงินต้นที่ไม่ได้ลดลงไปในช่วง 3 ปีนี้ดังเดิม

101 PUB จำลองภาระงบประมาณที่ใช้ จากจำนวนผู้มีหนี้ทั้งหมด 25 ล้านคนในปัจจุบัน โดยใช้สมมติฐานที่ใกล้เคียงยอดหนี้คงค้างรายบุคคลตามค่ามัธยฐาน (128,000 บาท เมื่อปี 2563) และค่าเฉลี่ย (527,000 บาท ในปี 2565) ร่วมกับอัตราดอกเบี้ยครัวเรือนเฉลี่ย (9.5%) ตลอดจนดอกเบี้ยขั้นสูง (15%) ให้สะท้อนความเป็นไปได้ที่ผู้กู้อาจนำหนี้ดอกเบี้ยสูงเข้าสู่การพักหนี้ก่อน

ในกรณีที่มีหนี้เข้าโครงการน้อย (เฉลี่ย 150,000 บาท/คน) และดอกเบี้ยเป็นไปตามค่าเฉลี่ยของดอกเบี้ยสินเชื่อปัจจุบัน (ร้อยละ 9) รัฐจะต้องชดเชยดอกเบี้ยแก่เจ้าหนี้ปีละ 345,938 ล้านบาท คิดเป็น 13.9% ของรายรับของรัฐบาล ในกรณีที่มีหนี้เข้าโครงการปานกลาง (เฉลี่ย 350,000 บาท/คน) และมีเฉพาะคนบางส่วนที่เลือกพักหนี้ดอกเบี้ยสูงแทนหนี้ดอกเบี้ยต่ำ (ร้อยละ 12) รัฐจะต้องชดเชยดอกเบี้ยแก่เจ้าหนี้รวมกับจ่ายผลตอบแทนพันธบัตรเพื่อกู้เงินมาดำเนินนโยบายปีละ 1,076,250 ล้านบาท คิดเป็น 43.2% ของรายรับของรัฐบาล ส่วนกรณีที่มีหนี้เข้าโครงการมาก (เฉลี่ย 550,000 บาท/คน) และมีคนจำนวนมากเลือกพักหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงเพื่อที่จะได้ใช้สิทธิ์การพักหนี้ให้มากที่สุด รัฐอาจต้องต้องจัดสรรงบประมาณมากถึง 2,114,063 ล้านบาทต่อปี คิดเป็น 84.9% ของรายรับรัฐบาล

แม้จะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่นโยบายดังกล่าว ไม่ ถูกกล่าวถึงในเอกสารนโยบายที่รายงานต่อ กกต. เลย

นอกจากภาระงบประมาณที่สูงมากแล้ว นโยบายดังกล่าวยังอาจมีผลข้างเคียงต่อระบบการเงินอีกด้วย เนื่องจากการพักหนี้อาจทำให้เกิดปัญหาวินัยทางการเงิน หรือ Moral hazard ที่ผู้มีความสามารถชำระคืน ไม่ยอมจ่ายคืนหนี้ โดยหวังรอเข้าโครงการพักหนี้ ซึ่งผลักภาระค่าใช้จ่ายพวกเขาออกไปในอนาคตโดยไม่มีความจำเป็น

กัญชาเสรี’ เพื่อการแพทย์? การปลดล็อคผิดพลาดที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้

นโยบายกัญชาเสรีเพื่อการแพทย์เป็นนโยบายที่พรรคภูมิใจไทยชูธงตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 2562 และถูกผลักดันอย่างต่อเนื่องตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ในสนามการเลือกตั้ง 2566 พรรคภูมิใจไทยยังคงรายงานนโยบายดังกล่าวต่อ กกต. เช่นเดิม[20] แต่ไม่ค่อยนำมาหาเสียงเรียกคะแนนเท่าใดนัก และได้กลายเป็นเป้าโจมตีของพรรคการเมืองอื่นจำนวนมาก

สิ่งหนึ่งที่ต้องยืนยันคือ ‘กัญชาไม่ใช่ผู้ร้าย’ เพราะมีงานวิจัยจำนวนมากยืนยันประโยชน์ทางการแพทย์ของสารสกัดกัญชา ทั้งช่วยผ่อนคลายจากอาการวิตกกังวล บรรเทาอาการอักเสบ และแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจปลดล็อคที่ไม่ถูกจังหวะและไม่รอบคอบมากพอ ทำให้กัญชากลายเป็นภาระของแพทย์และสร้างต้นทุนทางด้านสาธารณสุขในระยะยาว

ความผิดพลาดสำคัญของนโยบายกัญชาเสรีโดยพรรคภูมิใจไทยคือ การเทน้ำหนักไปที่หลักเสรีภาพ โดยเร่งรัดนำกัญชาออกจากบัญชีรายชื่อยาเสพติด ในวันที่ 9 มิถุนายน 2565 โดยยังไม่มีมาตรการควบคุมเพื่อการันตีหลักความปลอดภัย ส่งผลให้การผลิต จำหน่าย และใช้งานกัญชาทั้งเพื่อรักษาโรคและนันทนาการเป็นไปอย่างเสรี จนเรียกได้ว่าเสรีที่สุดในโลก ยิ่งกว่าประเทศที่เปิดให้ใช้กัญชาเสรีเพื่อนันทนาการ ในขณะที่บทลงโทษยาเสพติดชนิดอื่นในประเทศไทยยังสูงถึงประหารชีวิต

แม้ในอนาคตอาจมีการผ่าน พ.ร.บ. กัญชาฯ ก็ไม่สามารถควบคุมความเสี่ยงทั้งหมด และไม่อาจจำกัดการใช้เพื่อการแพทย์ดังที่หาเสียงได้อีกต่อไป

สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันคือการปลูก ผลิต จำหน่าย และใช้งานกัญชาได้เกินจากการวัตถุประสงค์เพื่อการแพทย์ไปมาก และทุกขั้นตอนยังทำได้สะดวกยิ่งกว่าสินค้าประเภทใกล้เคียงกันที่ถูกควบคุมเข้มงวดกว่าอย่างเหล้าและบุหรี่ (คลิกลิงก์เพื่ออ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็ม)

ทุกครัวเรือนสามารถปลูกต้นกัญชาได้ไม่จำกัด โดยไม่ต้องขออนุญาตปลูกและยังไม่มีระบบตรวจสอบความเหมาะสมของสถานที่ปลูก (เช่น ครัวเรือนที่มีเด็กควรปลูกห่างจากตัวบ้านเท่าไร ปลูกได้มากแค่ไหน) การจำหน่ายสินค้ากัญชาก็เป็นไปอย่างไร้กฎเกณฑ์ คือสามารถวางขายปะปนกับสินค้าบริโภคอื่นๆ ได้ในร้านสะดวกซื้อ โดยไม่มีป้ายคำเตือนที่ชัดเจน ส่วนร้านที่จำหน่ายกัญชาโดยเฉพาะก็ตั้งอยู่กระจัดกระจายในละแวกชุมชนหรือใกล้สถานศึกษาจนเสี่ยงที่เด็กและเยาวชนจะเข้าถึงได้ง่าย เนื่องจากไม่มีมาตรการโซนนิ่ง อีกทั้งมีร้านอาหารหลายแห่งที่ผสมกัญชาในสินค้าโดยไม่ได้แจ้งลูกค้าอย่างละเอียด

แม้พรรคภูมิใจไทยจะอ้างว่ามีประกาศกฎกระทรวงสาธารณสุขที่ควบคุมการใช้งานแล้ว แต่เมื่อไม่มีกฎหมายที่ชัดเจนมากพอ ก็เกิดปัญหาเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทราบว่าควรดำเนินการอย่างไร

หากจะฝันไกลให้เกิดอุตสาหกรรมธุรกิจกัญชาที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ ต้องอาศัยการวางแผนนโยบายอย่างรอบด้าน ส่วนหนึ่งก็เพื่อปิดความกังวลของสังคมและสร้างแรงสนับสนุนในวงกว้าง ซึ่งจะทำให้เกิดสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ชัดเจนด้วยว่าอะไรทำได้และอะไรทำไม่ได้ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถคาดการณ์การปริมาณการผลิตที่เหมาะกับความต้องการของตลาดได้ ไม่เช่นนั้นร้านจำหน่ายสินค้ากัญชาอย่างน้อย 4,496 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงผู้ที่กำลังตัดสินใจเข้าสู่ตลาดดังกล่าว ก็เสี่ยงได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบในอนาคต

พรรคเพื่อไทย

‘เงินดิจิทัล 10,000 บาท’ นโยบายกระตุ้นใหญ่ ที่จะไม่ได้ผลมากอย่างที่หวัง

พรรคเพื่อไทยเสนอนโยบาย ‘ปั๊มหัวใจ’ กระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่เฉพาะหน้า ด้วยการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้แก่ประชาชนทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ผูกกับบัตรประชาชนของแต่ละคน ผู้ได้รับเงินสามารถนำไปใช้จ่ายได้ในรัศมี 4 กิโลเมตรจากที่อยู่ตามบัตรประชาชน ภายในระยะเวลา 6 เดือน โดยทั้งหมดนี้ทำบนระบบบล็อกเชน ซึ่งตั้งใจจะเขียนเงื่อนไขการใช้งานลงในตัวเงิน เช่น ระบุว่าสามารถซื้ออะไรได้บ้าง กำหนดแต้มต่อสำหรับการซื้อสินค้าจากรายย่อย และยังใช้ติดตามเส้นทางการเงินได้ด้วย

พรรคเพื่อไทยประเมินว่านโยบายดังกล่าวจะใช้งบประมาณ 560,000 ล้านบาท แต่ทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย มีเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจ 2-3 เท่าของเงินที่ใช้ไป (เอกสารไม่เป็นทางการระบุว่ามากถึง 6 เท่า) เศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นนี้ก็จะทำให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น ซึ่งงบประมาณที่ใช้จริงต่ำกว่างบประมาณก้อนแรกที่อัดฉีดลงไป นอกจากนี้ จะยังได้ประโยชน์ในฐานะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน เพื่อเตรียมความพร้อมประชาชนสู่เศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต และนำประเทศเป็นศูนย์กลาง FinTech ด้วย

นโยบายดังกล่าวเป็นการประเมินผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในแง่ดีมากเกินไป งานศึกษาในอดีตพบว่ามาตรการเงินโอนของไทยมักจะมีตัวคูณทางการคลังเพียง 0.4 – 0.9 เท่า[21] หมายความว่าเศรษฐกิจไม่ได้โตขึ้นเท่ากับรายจ่ายทางการคลัง การให้ใช้เงินเป็นระยะเวลาสั้นเพียง 6 เดือนก็ยังทำให้การหมุนรอบของเงินยังไม่เต็มที่ ซึ่งปกติจะเห็นผลในระยะเวลา 1-2 ปี งานศึกษาระหว่างประเทศยังพบว่าปัจจัยแวดล้อมมีส่วนสำคัญต่อตัวคูณทางการคลังอย่างมาก การเป็นเศรษฐกิจเปิดที่มีอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวดังเช่นประเทศไทยทำให้เกิดการรั่วไหลของเงินออกไปต่างประเทศแทนที่จะหมุนในระบบเศรษฐกิจ และตัวคูณทางการคลังจะมีค่ามากเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจถดถอย[22] นอกจากนี้ การกระตุ้นขนาดใหญ่ยังมักจะมีตัวคูณขนาดเล็กกว่าการให้เงินก้อนเล็ก[23] และการกำหนดให้ผู้ได้รับเงินสามารถนำเงินไปใช้จ่ายคืนเงินกู้ก็จะลดรอบการหมุนในเศรษฐกิจลงด้วยเช่นกัน

101 PUB มองว่านโยบายเงินดิจิทัลจะสมบูรณ์ขึ้นได้อีก ถ้าพรรคเพื่อไทยอธิบายเงื่อนไขของการใช้เงินให้ครบถ้วน อาทิ การใช้จ่ายต้องอยู่ในรัศมี 4 กิโลเมตรสำหรับกรณีทั่วไป แต่จะมีพื้นที่ห่างไกลที่อาจมีการปรับเปลี่ยน ที่ไม่ทราบว่าเป็นที่ใดบ้างและเปลี่ยนเป็นเท่าไหร่, การใช้จ่ายของผู้บริโภค (มือ 1) นั้นจะต้องทำในขอบเขตรัศมีที่กำหนด แต่เมื่อต้องการให้เกิดการหมุนเวียนในระบบ ผู้ขายสินค้าหรือบริการ (มือ 2-3-4-…) จะต้องทำธุรกรรมในรัศมีดังกล่าวด้วยหรือไม่, เงื่อนไขการจดทะเบียนเป็นผู้ขาย และการนำเงินดิจิทัลไปแลกเป็นเงินจริงเป็นอย่างไร

นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยยังต้องการใช้เทคโนโลยีบล็อคเชนในการทำเหรียญดิจิทัล ซึ่งยังก่อให้เกิดคำถามในทางเทคนิกเนื่องจากสามารถใช้ระบบการเงินดิจิทัลบนฐานเทคโนโลยีอื่นในการบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้ ด้วยประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว และความคุ้นชินของประชาชนที่มากกว่า การพัฒนาบล็อกเชนเพื่อทำธุรกรรมยังอาจติดข้อกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ไม่อนุญาตให้ใช้ทำธุรกรรม จนอาจทำให้การดำเนินการล่าช้า จนยิ่งหมดความจำเป็นและประสิทธิภาพของการกระตุ้นเศรษฐกิจไป

‘ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท’ สอดคล้องค่าจ้างเพื่อชีวิต แต่ต้องไม่ปรับแบบก้าวกระโดดเกินไป

‘นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท/วัน ภายในปี 2570’ เป็นนโยบายที่เรียกเสียงฮือฮาอย่างมากตั้งแต่ตอนที่ประกาศเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เว็บไซต์และเอกสารนโยบายของพรรคเพื่อไทยระบุว่าจะทำให้เศรษฐกิจโตขึ้น แล้วจึงแบ่งผลกำไรเหล่านี้กลับไปให้ภาคแรงงาน ตามกลไกเจรจา 3 ฝ่าย คือ รัฐ นายจ้าง และลูกจ้าง โดยมีหลักการพิจารณาเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจาก 3 ปัจจัย คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ผลิตภาพแรงงาน และอัตราเงินเฟ้อ

แนวทางของพรรคเพื่อไทยแตกต่างจากพรรคก้าวไกล โดยพรรคก้าวไกลต้องการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำทันทีเป็น 450 บาท/วัน แล้วหลังจากนั้นจะปรับอัตโนมัติทุกปีโดยใช้สูตรคำนวณจากค่าครองชีพและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะลดบทบาทของการเจรจาลง[24]

101 PUB เห็นว่าการปรับฐานค่าแรงขั้นต่ำถือเป็นเรื่องจำเป็น เนื่องจากฐานค่าแรงขั้นต่ำเดิมมีปัญหาตั้งแต่นิยามที่ให้แรงงานดูแลตนเองได้เพียงคนเดียวตามมาตรฐานการครองชีพ ซึ่งในโลกความเป็นจริง แรงงานจะต้องดูแลครอบครัวด้วย นอกจากนี้การปรับค่าแรงขั้นต่ำที่ผ่านมาโดยทั่วไปไม่สามารถไล่ทันสภาพเศรษฐกิจจริง ค่าแรงขั้นต่ำจึงไม่อาจรักษามาตรฐานคุณภาพชีวิตของแรงงานและครอบครัว (คลิกเพื่ออ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็ม)

101 PUB เห็นว่าค่าแรงขั้นต่ำจะต้องใช้ฐานคิดอื่นมาร่วมพิจารณา เช่น ‘ค่าจ้างเพื่อชีวิต’ ที่ทำให้แรงงานเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีตามมาตรฐานสังคม เมื่อคำนวณด้วยข้อมูลการใช้จ่ายรายครัวเรือนของไทย พบว่าค่าจ้างเพื่อชีวิตเพื่อเลี้ยงดูตนเอง คู่สมรสและลูก 1 คนมีค่า 563 บาท/วัน ในกรณีที่เลี้ยงดูตนเอง คู่สมรสและลูก 2 คนมีค่า 686 บาท/วัน ดังนั้น ตัวเลขข้อเสนอของพรรคเพื่อไทยจึงค่อนข้างสอดคล้องกับมาตรฐานการครองชีพที่ควรจะเป็นจริง

แม้ตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นจากเดิมค่อนข้างมาก แต่เศรษฐกิจโดยเฉลี่ยของไทยยังสามารถรับอัตราดังกล่าวได้ เนื่องจากยังมีค่าน้อยกว่าผลิตภาพแรงงานนอกภาคเกษตร (774 บาท/วัน) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการใช้ค่าแรงขั้นต่ำเป็นหลัก (ผลิตภาพแรงงานนี้คำนวณเฉพาะอัตราการสบทบของแรงงานต่อ GDP เท่านั้น ไม่ได้รวมผลจากทุน)

อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตามข้อเสนอของพรรคเพื่อไทยยังมีปัญหาในการดำเนินการจริง เพราะแนวทางการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตามปัจจัยทางเศรษฐกิจก็เหมือนกับแนวทางการคำนวณที่ใช้อยู่เดิม หากดำเนินการตามที่ชี้แจงก็ไม่อาจยกระดับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นจากฐานค่าแรงเดิมที่ไล่ไม่ทันสภาพเศรษฐกิจมาก่อน และยังไม่ได้คำนึงถึงครอบครัวของแรงงาน

การใช้เสียงของรัฐเป็นตัวตัดสินในการเจรจาค่าแรงขั้นต่ำ ตามตัวเลขที่ตนประกาศ จึงเป็นแนวทางบรรลุเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมที่สุด อย่างไรก็ดี การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่ควรทำอย่างก้าวกระโดด การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจากปัจจุบันที่วันละ 328-354 บาทสู่ระดับ 600 บาท ในเวลา 5 ปี หมายความว่าจะต้องมีการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 50-55 บาท หรือราว 15% จากฐานเดิม ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีศักยภาพเติบโตได้ 3% (และอาจเพิ่มขึ้นได้เป็น 5% ตามที่หาเสียง) ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในกรอบ 1-3% ความเร็วในการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำนี้สามารถสร้างปัญหาต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ จนอาจกลับมากระทบต่อผู้ใช้แรงงานเสียเองในท้ายที่สุด (ซึ่งสามารถใช้ตรรกะเดียวกันสำหรับแนวทางของพรรคก้าวไกลได้เช่นกัน)

พรรคก้าวไกล

‘หวยใบเสร็จ’ ประโยชน์ 3 เด้ง แต่อาจคิดเล็กไป

นโยบายหวยใบเสร็จของพรรคก้าวไกลเป็นการให้สิทธิ์แก่ผู้บริโภคนำใบเสร็จที่ซื้อสินค้าจาก SME สะสมรวมกันตั้งแต่ 500 บาทไปแลกสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ จำกัดไม่เกิน 2 ใบ/คน/เดือนและไม่เกินจำนวน 10 ล้านคน/เดือน และให้สิทธิ์ผู้ประกอบการในโครงการได้สลากกินแบ่งรัฐบาล 1 ใบเมื่อมียอดขายสะสมรวมกัน 5 พันบาท[25] ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณทั้งสิ้น 2.4 หมื่นล้านบาทต่อปี[26]

นโยบายนี้น่าจะให้ประโยชน์ 3 เด้งที่ตอบโจทย์ปัญหาของเศรษฐกิจไทย

  1. เพิ่มแต้มต่อให้ SME โดยจูงใจให้ผู้บริโภคซื้อของจาก SME แทนธุรกิจขนาดใหญ่ เป็นการพยุงชีวิต SME หลายแห่งที่ฟื้นตัวได้ช้าจากวิกฤตโควิดและมีปัญหาการชำระหนี้[27]
  2. ดึง SME เข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยจูงใจให้ผู้บริโภคขอใบเสร็จจากร้านค้าซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีและลดความเหลื่อมล้ำระหว่าง SME ที่อยู่ในและนอกระบบภาษี VAT
  3. สร้างฐานข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริม SME เช่น การปล่อยเงินกู้แก่ SME ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันโดยพิจารณาจากข้อมูลยอดขาย ซึ่งปัจจุบันทำไม่ได้เพราะขาดข้อมูล

เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมชอบลุ้นโชคของคนไทย นโยบายหวยใบเสร็จมีโอกาสประสบความสำเร็จพอสมควร เพราะมีคนไทยราว 24.6 ล้านคนที่ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลอยู่เดิม[28] สูงกว่าตัวเลขเป้าหมายของนโยบาย อีกทั้ง การเปลี่ยนมาซื้อสินค้าจากร้านค้า SME ก็ไม่น่าจะเพิ่มภาระต้นทุนให้แก่ผู้บริโภคมากนัก โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปยี่ห้อเดียวกัน ซึ่งร้านโชห่วยและร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ขายในราคาแทบไม่ต่างกัน

แม้ว่าการขอใบเสร็จจากร้านที่ปัจจุบันอยู่นอกระบบภาษี VAT จะก่อให้เกิดต้นทุนภาษีเพิ่มขึ้น แต่การขอใบเสร็จแลกสลากก็ยังคุ้มค่าสำหรับผู้บริโภคที่ชอบลุ้นโชค ซึ่งน่าจะเป็นกรณีทั่วไปสำหรับการซื้อสินค้ากับร้านค้าขนาดเล็ก เนื่องจากคนในชุมชนส่วนใหญ่ซื้อสินค้ากับร้านโชห่วยไม่เกิน 900 บาทต่อสัปดาห์[29] ถึงผู้ประกอบการจะโอนภาระภาษี VAT ทั้งหมดให้ผู้ซื้อ ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้น 63 บาท ยังต่ำกว่าราคาสลาก

อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ก็มีข้อจำกัดบางประการที่อาจทำให้ไม่ประสบผลสำเร็จตามที่คาดหวัง  เช่น หากผู้บริโภคที่ชอบเล่นหวยส่วนใหญ่มียอดซื้อสินค้ารายเดือน 1 พันบาทกับร้านค้ารายเล็กอยู่แล้ว นโยบายก็จะไม่ได้เพิ่มกำลังซื้อให้ร้านเหล่านี้ตามที่คาดหวัง ผู้ซื้ออาจจะไม่ขอใบเสร็จเพิ่มหลังซื้อครบ 500 บาทและได้รับหวยใบเสร็จแล้ว ทำให้การเก็บภาษีและข้อมูลไม่ครบถ้วน หรือร้านค้าหลายแห่งอาจไม่เข้าร่วมโครงการหากต้องรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นมาก แม้ว่าพรรคก้าวไกลจะตระหนักถึงเรื่องนี้และออกนโยบายลดภาษีเงินได้แก่ SME ควบคู่กัน แต่ก็ต้องติดตามดูว่าเพียงพอจะจูงใจร้านค้าให้เข้าสู่ระบบภาษีได้หรือไม่

จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ลดประสิทธิภาพของนโยบายนั้นมาจากข้อเสนอของพรรคก้าวไกลเอง ที่จำกัดสิทธิ์การแลกสลากกินแบ่งรัฐบาลไว้ที่ไม่เกิน 2 ใบ/คน/เดือน ทั้งที่การขยายสิทธิ์แลกสลากไม่น่าจะใช้งบประมาณเพิ่มมากนัก และที่จริงแล้วจะมีรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้นด้วย ถ้าหากรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นมากพอ ก็จะไม่จำเป็นต้องพึ่งงบประมาณก้อนเดิมแถมยังเป็นการสร้างรายได้เข้ารัฐด้วย ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือประเทศไต้หวันที่เปลี่ยนให้ใบเสร็จทุกใบเป็นหวยและนำเงินรายได้จากการเก็บภาษีได้มากขึ้นมาจ่ายเป็นเงินรางวัล[30]

‘นโยบายสวัสดิการ’ รองรับอดีต แต่ไม่มุ่งเป้าสู่ ‘อนาคต’

นโยบายสวัสดิการเป็นจุดขายหนึ่งของพรรคก้าวไกลที่นำเสนอการสร้างระบบสวัสดิการแบบถ้วนหน้าและครอบคลุมคนทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็กแรกเกิด แรงงาน และผู้สูงอายุ ส่งผลให้งบประมาณที่ถูกตั้งไว้สำหรับนโยบายสวัสดิการทั้งหมดสูงถึง 6.5 แสนล้านบาทต่อปี

ในบรรดานโยบายสวัสดิการตลอดช่วงอายุ พรรคก้าวไกลจัดสรรงบประมาณให้กับบำนาญผู้สูงวัยมากที่สุด โดยเสนอให้ปรับเงินผู้สูงวัยจาก 600-1,000 บาท ขึ้นเป็น 3,000 บาท/คน/เดือน ในขณะที่เสนอเพิ่มเงินอุดหนุนสำหรับเด็กแรกเกิดถึง 6 ปี จาก 600 บาท เป็น 1,200 บาท/คน/เดือน แต่ก็มีคูปองให้พ่อแม่เด็กเกิดใหม่ 3,000 บาท เพื่อนำไปแลกซื้อสิ่งของสำหรับพัฒนาการเด็ก

แนวสวัสดิการของพรรคก้าวไกลนี้ตั้งคำถามถึง ‘การจัดสรรทรัพยากรข้ามรุ่น’ เพราะจัดงบประมาณสำหรับสวัสดิการช่วงเกิด 50,000 ล้านบาท/ปี ในขณะที่จัดสวัสดิการสูงอายุ 500,000 ล้านบาท/ปี ต่างกันถึง 10 เท่า

เงินจำนวน 3,000 บาท/เดือนมักจะเป็นจุดตั้งต้นในการถกเถียงต่อรองเรื่องสวัสดิการ เพราะสอดคล้องกับเส้นความยากจน ที่ไม่อยากให้ใครต้องใช้ชีวิตต่ำกว่ามาตรฐานขั้นต่ำนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุนั้นมีโอกาสได้ทำงานมาแล้วเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเกือบครึ่งมีเงินออมหรือสินทรัพย์พอสำรับการเกษียณ และที่เหลือก็น่าจะพอมีเงินออม/สินทรัพย์ที่ร่วมใช้จ่ายในการดูแลตนเองได้ จึงไม่จำเป็นต้องให้เงินเต็มจำนวนดังกล่าวก็ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่พ้นเส้นความยากจน

นอกจากนี้ เงินบำนาญผู้สูงวัยจะกลายเป็นภาระผูกพันก้อนใหญ่ในอนาคต เนื่องจากมีผู้เกษียณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากปัจจุบันที่มีราว 11-12 ล้านคน อาจกลายเป็น 28 ล้านคนในเวลา 10 ปี[31] การเพิ่มเงินบำนาญผู้สูงวัยเป็น 3,000 บาท/เดือนที่จะใช้งบประมาณ 5 แสนล้านบาทในปี 2570 ก็สามารถทะลุ 1 ล้านล้านบาทต่อปีได้ในอนาคตอันใกล้ งบประมาณสำหรับเงินบำนาญผู้สูงวัยที่พรรคก้าวไกลตั้งไว้จะเป็นงบประมาณผูกพันจำนวนมหาศาลที่อาจสร้างภาระทางการคลังได้

ขณะที่การเลี้ยงดูเด็กเล็กมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 3,373 บาท/เดือน โดยที่เด็กเล็กนั้นยังไม่มีสินทรัพย์ และคนในวัยพ่อแม่ก็มีเวลาเก็บออมไม่มากเท่าผู้สูงอายุ การจัดสรรสวัสดิการถ้วนหน้า 1,200 บาท/เดือน จึงอาจยังไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงดูเด็กให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ มีงานวิจัยชี้ชัดว่าการลงทุนในมนุษย์นั้นยิ่งเร็วยิ่งคุ้มค่า ซึ่งเด็กเล็กเหล่านี้จะต้องเติบโตขึ้นในสังคมสูงวัย และจะต้องเป็นกำลังหลักในการดูแลครอบครัวตลอดจนจ่ายภาษีหล่อเลี้ยงสวัสดิการ ยิ่งเรียกร้องให้เด็กเหล่านี้มีศักยภาพสูงจึงจะทำให้ประเทศไทยโดยรวมอยู่รอดได้ในอนาคต

การจัดสรรเช่นนี้จึงเหมือนเป็นการทำสวัสดิการเพื่อรองรับอดีต มากกว่าสวัสดิการเพื่อพาประเทศมุ่งสู่อนาคต

โจทย์ของการออกแบบสวัสดิการผู้สูงวัยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอาจต้องขยับไปให้ไกลกว่าการให้เงินบำนาญแก่ผู้สูงวัย เช่น การยกระดับระบบประกันสังคมให้สามารถจ่ายเงินบำนาญเมื่อถึงวัยเกษียณได้มากขึ้นกว่าในปัจจุบัน โดยต้องพิจารณาปรับขึ้นจำนวนเงินสมทบทั้งจากฝ่ายลูกจ้างและนายจ้าง ซึ่งจะเป็นภาระทางการคลังน้อยกว่าสวัสดิการแบบเงินบำนาญ นอกจากนี้ ควรพิจารณาถึงการปรับปรุงสวัสดิการในรูปแบบบริการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น เนื่องจากการให้เงินก็ไม่อาจแก้ปัญหาสินค้า/บริการที่ขาดหายไปในตลาด โดยเฉพาะปัจจัยพื้นฐานที่สุดอย่างที่อยู่อาศัย ปัจจุบันพรรคก้าวไกลมีข้อเสนอนโยบายพัฒนาระบบดูแลผู้ป่วยติดเตียงอยู่แล้ว แต่นโยบายนี้ก็ยังไม่ครอบคลุมถึงผู้สูงวัยกลุ่ม ‘กึ่งพึ่งพิง’ ที่ยังดูแลตัวเองได้บ้างแต่ยังขาดทางเลือกเข้าถึงที่พักอาศัยราคาถูก โดยควรเพิ่มบริการที่พักสำหรับผู้สูงวัยให้หลากหลายและคำนึงถึงความเปราะบางในหลายระดับของผู้สูงวัย โดยอาจพิจารณาการพัฒนาที่พักสำหรับผู้สูงอายุในรูปแบบของบ้านโอบอุ้ม (assisted living housing)[32] ที่มีราคาถูกกว่าสถานดูแลขนาดใหญ่

References
1 ดูเพิ่ม ฉัตร คำแสง, “5 คำถาม-คำตอบเรื่องวุ่นๆ ของการอุ้มดีเซล,” 16 มีนาคม 2022.
2 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน. 2564. สถานการณ์การใช้น้ำมันและไฟฟ้าของปี 2564.
3 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน. 2566. สถานการณ์การใช้น้ำมันและไฟฟ้าของปี 2565.
4 https://greennews.agency/?p=24238
5 พรรครวมไทยสร้างชาติ. เอกสารนโยบายในการเลือกตั้งปี 2566. และ พรรครวมไทยสร้างชาติ. นโยบายพรรค. (เข้าถึงเมื่อ 7 พฤษภาคม 2566)
6 พรรคพลังประชารัฐ. เอกสารนโยบายในการเลือกตั้งปี 2566. และ พรรคพลังประชารัฐ. “อุตตม” ชูนโยบาย พปชร.เพิ่มประกันชีวิตบัตรประชารัฐ วงเงิน 200,000 บาทต่อราย เดินหน้าตั้งกองทุนประชารัฐ ปลดภาระ สร้างรายได้ แก้หนี้ ให้ทุกคน. (เข้าถึงเมื่อ 7 พฤษภาคม 2566)
7 พรรครวมไทยสร้างชาติ. เอกสารนโยบายในการเลือกตั้งปี 2566. (เข้าถึงเมื่อ 7 พฤษภาคม 2566)
8 ทั้งนี้ เนื่องจากมูลค่าเศรษฐกิจเป็นผลรวมของการบริโภค การใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุน และการส่งออกสุทธิ การใช้จ่ายภาครัฐควรทำให้เศรษฐกิจโตขึ้นแบบ 1:1 หากไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆ
9 แนวโน้มดังกล่าวสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศ ที่พบว่าตัวคูณทางการคลังในภาวะเศรษฐกิจปกติมีค่าน้อยกว่าในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่ อาทิ Ramey, V. A. and Sarah Zubairy. “Government Spending Multipliers in Good Times and in Bad: Evidence from US Historical Data,” Journal of Political Economy, vol. 126(2): 850-901. 2018
10 ธนาคารแห่งประเทศไทย. การบรรยายภาวะเศรษฐกิจในงานพบปะสื่อมวลชน 24 เดือนเมษายน 2023. (เข้าถึงเมื่อ 30 เมษายน 2566)
11 สำนักงานประมาณของรัฐสภา. คู่มือการวิเคราะห์ผลกระทบของการใช้จ่ายภาครัฐต่อ GDP โดยตัวคูณทางการคลัง (Fiscal Multipliers). 2564. (เข้าถึงเมื่อ 3 พฤษภาคม 2566)
12 กรุงเทพธุรกิจ. “ปชป.ลั่นเดินหน้าประกันรายได้ ชาวนารับ 30,000 บาท”. 9 เมษายน 2566. (เข้าถึงเมื่อ 29 เมษายน 2566)
13 พรรคประชาธิปัตย์. เอกสารนโยบายในการเลือกตั้งปี 2566. (เข้าถึงเมื่อ 29 เมษายน 2566) และนโยบาย 01 ประกันรายได้ “จ่ายเงินส่วนต่าง” ข้าว มัน ยาง ปาล์ม ข้าวโพด. (เข้าถึงเมื่อ 29 เมษายน 2566)
14 World Bank Group, Thailand Rural Income Diagnostic, 2022.
15 พรรคประชาธิปัตย์. เอกสารนโยบายในการเลือกตั้งปี 2566. และนโยบาย 05 เรียนฟรี ถึงปริญญาตรี สาขาที่ตลาดต้องการ. (เข้าถึงเมื่อ 29 เมษายน 2566)
16 ประชาชาติธุรกิจ. “มนุษย์ไอที “ไทย” ขาดแคลนหนัก รุมจีบอินเดีย-มาเลย์-ฟิลิปปินส์ทดแทน”. 29 มีนาคม 2566. (เข้าถึงเมื่อ 28 เมษายน 2566)
17 การสำรวจนี้ทำโดยสํานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)
18 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. รายงานวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของประเทศไทย ปี 2564. 2565.
19 101 PUB รวมข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ไตรมาส 4/2022 แต่เนื่องจากข้อมูลของ ธปท. ยังไม่ได้รวมหนี้ในระบบอื่น เช่น สินเชื่อเพื่อการศึกษาของกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) สินเชื่อจากกองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น 101 PUB จึงนำปริมาณสินเชื่อของ กยศ. มารวมด้วย
20 พรรคภูมิใจไทย. เอกสารนโยบายพรรคการเมือง.
21 ธิติ เกตุพิทยา, ชิดชนก อันโนนจารย์ และทศพล ต้องหุ้ย. 2015. แรงกระตุ้นของนโยบายการคลังปี 2558-2559. FAQ Issue 106.
สำนักงานประมาณของรัฐสภา. คู่มือการวิเคราะห์ผลกระทบของการใช้จ่ายภาครัฐต่อ GDP โดยตัวคูณทางการคลัง (Fiscal Multipliers). 2564.
22 Nicoletta Batini, Luc Eyraud, Lorenzo Forni, Anke Weber. Fiscal Multipliers: Size, Determinants, and Use in Macroeconomic Projections. International Monetary Fund.
23 Paolo Surico, Michele Andreolli. Smaller economic stimulus payments could boost consumer spending more. 2021. VOXEU Column.
24 พรรคก้าวไกล. ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทุกปี เริ่มทันทีวันละ 450 บาท.
25 พรรคก้าวไกล. เพิ่มแต้มต่อให้ SME: หวยใบเสร็จ ซื้อของร้านค้ารายย่อย ทั้งคนซื้อคนขายได้หวย ลุ้นรวยเงินล้าน. (เข้าถึงเมื่อ 29 เมษายน 2566)
26 ศิริกัญญา ตันสกุล. The Special คุยกับทีมเศรษฐกิจ ‘ก้าวไกล’ รายการฟังหูไว้หู (25 เม.ย. 66). (เข้าถึงเมื่อ 29 เมษายน 2566)
27 “สสว.เผยผลสำรวจ SME ไตรมาสแรก เอสเอ็มอีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น ความสามารถชำระหนี้ลดลง,” ผู้จัดการออนไลน์, 2 พฤษภาคม 2566. (เข้าถึงเมื่อ 4 พฤษภาคม 2566)
28 ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน. รายงานศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน ประจำปี 2565. (เข้าถึงเมื่อ 3 พฤษภาคม 2566) 
29 สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์. ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในช่วงเดือน ต.ค.64. (เข้าถึงเมื่อ 3 พฤษภาคม 2566)
30 Hemels, Sigrid, and Marco Fabbri. “‘Do You Want a Receipt?’ Combating VAT and RST Evasion with Lottery Tickets”. Intertax: International Tax Review 41, no. 8 (January 2013): 430–443.
31 United Nations. World Population Prospect 2022.
32 สรัช สินธุประมา, “‘บ้านโอบอุ้ม’ ทางเลือกใหม่ที่พักอาศัยให้คนไทยสูงวัยในชุมชน,

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

101PUB

2 Feb 2023

เปิดใต้พรมหนี้สาธารณะไทย ‘หนี้’ อะไรซุกซ่อนอยู่บ้าง ?

101 PUB ชวนสำรวจว่าตัวเลข ‘หนี้สาธารณะ’ ที่ถูกรายงานทุกเดือน มีความครบถ้วนและสะท้อนหนี้ของประเทศที่แท้จริงหรือไม่

กษิดิ์เดช คำพุช

2 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save