‘กฎอัยการศึกในรอบ 45 ปีของเกาหลี’ ยุนซอกยอลกับหลุมลึกทางการเมืองที่ขุดเอง

กฎอัยการศึก

문열어! 문열어!

(เปิดประตู! เปิดประตู!)

คือเสียงตะโกนของฝูงชนที่รวมตัวกันหน้ารัฐสภาเกาหลี ณ เกาะยออีโด กรุงโซล ภายในระยะเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังประธานาธิบดียุน ซอกยอล ประกาศกฎอัยการศึกเมื่อเวลาราว 22.45 น. ของคืนวันที่ 3 ธันวาคม 2024 ตามเวลาเกาหลี การประกาศฯ ตามมาด้วยการปิดประตูทางเข้ารัฐสภาไม่ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าสู่สภาเพื่อทำการลงมติยกเลิกกฎอัยการศึกดังกล่าว พร้อมเหตุการณ์ที่รถถังเคลื่อนเข้าสู่ถนนในกรุงโซล ทหารในชุดพร้อมรบเคลื่อนสู่ทำเนียบ และเฮลิคอปเตอร์ที่บินวนอยู่เหนือรัฐสภา ตามมาด้วยภาพที่ สส.ฝ่ายค้านปีนข้ามรั้วกั้น จับปลายกระบอกปืนทหาร และช่วยกันดันทหารออกจากพื้นที่

การประกาศกฎอัยการศึกดังกล่าวนำมาซึ่งความประหลาดใจของคนทั้งแผ่นดินโสมขาวและทั้งโลก ท่าทีอันสั่นเครือของผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์ข่าวยอนฮับ (YTN) ซึ่งเป็นช่องที่ถ่ายทอดการแถลงประกาศกฎอัยการศึกของยุนซอกยอลสะท้อนความงงงวยและตกใจของผู้คนได้เป็นอย่างดี เนื่องจากไม่มีสถานการณ์ใดที่บ่งชี้ว่าเกาหลีใต้กำลังอยู่ในสภาวะสงครามหรือมีเหตุการณ์ความไม่สงบถึงขั้นที่ต้องใช้กฎอัยการศึก และนี่ถือเป็นการประกาศใช้กฎอัยการศึกเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 45 ปี

แถลงการณ์ของยุนซอกยอลได้เน้นย้ำถึงการกระทำของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โดยเฉพาะพรรคประชาธิปไตยแห่งเกาหลี (DKP) ซึ่งครองเสียงข้างมากในสภา (170 จาก 300 ที่นั่ง) ที่ได้ทำการยื่นถอดถอนเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลไปแล้วกว่า 22 คนนับตั้งแต่ยุนขึ้นสู่ตำแหน่ง อีกทั้งมีคดีความอีกหลายกรณีเกิดขึ้นกับรัฐมนตรี ผู้พิพากษา อัยการ และเจ้าหน้าที่อื่นๆ และเมื่อไม่นานมานี้ก็มีการสกัดการผ่านร่างงบประมาณของรัฐบาล ประธานาธิบดียุนกล่าวว่าการกระทำเช่นนี้ทำให้ฝ่ายบริหารและตุลาการเป็นอัมพาต เป็นการกระทำที่เป็นการ ‘ต่อต้านรัฐ’ ซึ่งผลักประเทศเข้าสู่วิกฤต ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากใช้กฎอัยการศึกเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตามรัฐธรรมนูญ

กฎอัยการศึกของยุนซอกยอลมีอายุอยู่ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังสภาแห่งชาติเรียกประชุมกลางดึก เพื่อลงมติเรียกร้องให้ประธานาธิบดียกเลิกกฎอัยการศึกทันที ตามรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐเกาหลี มาตรา 77 (5) บัญญัติไว้ว่าหากเสียงข้างมากในสภาแห่งชาติลงมติให้ยกเลิก ประธานาธิบดีจะต้องยกเลิกทันที ผลการลงมติปรากฏว่า สส. 190 คนโหวตลงมติยกเลิกกฎอัยการศึกแบบไม่แตกแถว (ในจำนวนนี้มี สส. 18 คนจากพรรคอนุรักษนิยม PPP ของยุนซอกยอล) ต่อมาเมื่อเวลา 4.27 น. ประธานาธิบดียุนซอกยอลได้มีประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกอย่างเป็นทางการ ทำให้กฎอัยการศึกนี้มีอายุอยู่ได้เพียง 6 ชั่วโมง

สถานการณ์ที่ชวนให้ใจหายใจคว่ำ แต่ก็จบเร็วเสียก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น ทำให้เห็นทั้งความเข้มแข็งและความอ่อนแอของประชาธิปไตยเกาหลีในคราวเดียวกัน หลายคนบอกว่าการมีสภาเดี่ยว (Unicameral Assembly)  ทำให้มีความรวดเร็วในกระบวนการนิติบัญญัติ หลายคนบอกว่าประชาชนและ สส.พรรคฝ่ายค้านตอบสนองไวและสู้ไม่ถอย แต่หนึ่งในประเด็นถกเถียงใหญ่คือ “ปี 2024 แล้ว เหตุการณ์แบบนี้ยังเกิดขึ้นได้อย่างไร” ท่ามกลางคำถามมากมายว่าประเทศที่สู้ด้วยเลือดเนื้อจนหลุดพ้นจากเผด็จการมาได้ หวนกลับมาสู่มวลบรรยากาศแบบยุคเผด็จการได้อย่างไร

วันโอวัน ชวนย้อนมองการใช้กฎอัยการศึกในประวัติศาสตร์การเมืองเกาหลีและมองปัจจุบันว่าเหตุการณ์ 3 ธันวาฯ จะนำไปสู่จุดจบทางการเมืองของยุนซอกยอลหรือไม่

‘กฎอัยการศึกในเกาหลี’ ประวัติศาสตร์ของเครื่องมือกดปราบในนามของความไม่สงบ

คงไม่เกินจริงนักหากจะกล่าวว่ากฎอัยการศึกเป็นเรื่องใหม่ในสังคมเกาหลีปัจจุบัน อย่างน้อยที่สุดก็สำหรับคนในช่วงวัยต่ำกว่า 30 ปี ที่ไม่เคยอยู่ในสภาวะที่มีการบังคับใช้กฎอัยการศึก ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ประกาศใช้ ถูกยกเลิกไปพร้อมๆ กับการสิ้นสุดยุคเผด็จการทหารในปลายทศวรรษ 1980

การประกาศกฎอัยการศึกในเกาหลีมีขึ้นครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม ปี 1948 เพื่อเป็นการตอบสนองต่อเหตุการณ์ ’กบฏยอซู-ซุนชอน’ (Yeosu-Suncheon Rebellion; 여수-순천 사건) การก่อกบฏครั้งนั้นเกิดขึ้นจากความไม่พอใจของทหารในกองทัพเกาหลีที่มีแนวความคิดของฝ่ายซ้าย ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการกดปราบผู้ที่มีความคิดฝ่ายซ้าย หรือ ‘คอมมิวนิสต์’ ของรัฐบาลอีซึงมัน ทหารเหล่านี้จึงลุกขึ้นมาตอบโต้โดยการปฏิเสธที่จะปราบปรามการลุกฮือของฝ่ายซ้าย การก่อกบฏครั้งนี้นำมาสู่ความสูญเสียของทหารและพลเรือนกว่าพันราย และเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้ขั้วอุดมการณ์ในสังคมเกาหลีชัดขึ้นภายใต้บริบทยุคก่อนสงครามเย็น ก่อนจะปะทุไปสู่สงครามเกาหลีในปี 1950 ที่แบ่งเหนือ-ใต้ออกจากกันจนถึงปัจจุบันนี้

หลังจากนั้น กฎอัยการศึกก็ถูกประกาศใช้และขยายพื้นที่บังคับใช้ในเกาหลีอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะในภาวะสงคราม แต่หลังจากมีข้อตกลงสงบศึกระหว่างสองเกาหลีในปี 1953 แล้ว สาธารณรัฐเกาหลีใต้ก็ตกอยู่ภายใต้รัฐบาลหน้าเดิมแต่มีลักษณะอำนาจนิยมมากขึ้น ความเปราะบางของสังคมที่มีภัยคุกคามร่วมกันคือคอมมิวนิสต์ทำให้รัฐบาลอีซึงมันมีการใช้มาตรการปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างหลากหลาย เมื่อจัดเลือกตั้ง พรรคของอีซึงมันก็มีการยัดไส้บัตรเลือกตั้งเพื่อให้ฝ่ายตัวเองชนะ ท้ายที่สุดยุคสมัยของอีซึงมันก็จบลงด้วยการประท้วงเรียกร้องของประชาชนในปี 1960 และตัวอีซึงมันเองต้องลี้ภัยไปฮาวาย สหรัฐฯ

แต่ก็ใช่ว่าคนเกาหลีจะได้สัมผัสอิสรภาพอย่างแท้จริง กฎอัยการศึกถูกนำมาใช้ปราบปรามประชาชนและรักษาฐานอำนาจอย่างต่อเนื่องในสมัยพักจองฮี (บิดาของอดีตประธานาธิบดีพักกึนฮเย) ผู้นำคนถัดมา หนึ่งในเหตุการณ์การประกาศใช้กฎอัยการศึกที่อื้อฉาวที่สุดคือการประกาศใช้เมื่อเดือนตุลาคม ปี 1972 เป็นตอนที่พัคจุงฮีเพิ่งชนะการเลือกตั้งมาแบบเฉียดฉิว และมีข้อครหาว่ามีการโกงเลือกตั้งขึ้น ทำให้มีผู้คนจำนวนหนึ่งออกมาประท้วง จากนั้นเขาก็ประกาศใช้กฎอัยการศึก แต่อ้างสถานการณ์ที่เป็นอันตรายในระดับระหว่างประเทศภายใต้ความตึงเครียดของสงครามเย็น ในการประกาศใช้กฎอัยการศึกครั้งนั้น พักจองฮีใช้อำนาจยุบสภา แก้ไขรัฐธรรมนูญเดิม และประกาศใช้ ‘รัฐธรรมนูญยูชิน’ (Yushin Constitution; 유신헌법) ที่มีบทบัญญัติให้สามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ตลอดชีวิต

รัฐธรรมนูญยูชินยังให้อำนาจประธานาธิบดีในการแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติ ซึ่งจะทำให้เขารักษาเสียงข้างมากในสภาไว้ได้ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญยูชินยังเปิดทางให้พักจองฮีสามารถออกกฤษฎีกาได้อีกหลายฉบับ เพื่อใช้มาตรการปราบปรามสื่อมวลชนหรือพลเมืองผู้เห็นต่างผ่านหน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงานข่าวกรองเกาหลี

กฎอัยการศึกถูกประกาศใช้อีกครั้งหลังการลอบสังหารพักจองฮีในปี 1979 ถือเป็นการสิ้นสุดยุคสมัยอันยาวนานกว่า 18 ปี ภายใต้การปกครองอันเป็นเผด็จการของประธานาธิบดีพัก การประกาศใช้กฎอัยการศึกครั้งนั้นถือเป็นครั้งล่าสุดก่อนที่ประธานาธิบดียุนจะประกาศใช้ในรอบ 45 ปี

การเสียชีวิตของพักไม่ได้นำไปสู่การหลุดพ้นจากวังวนเผด็จการแต่อย่างใด เพราะหนึ่งเดือนถัดจากนั้น ชอนดูฮวานก็ได้ทำรัฐประหาร ยึดอำนาจจากประธานาธิบดีชเวกยูฮา (รับตำแหน่งหลังพักจองฮีถูกลอบสังหาร) และมีการขยายพื้นที่บังคับใช้กฎอัยการศึกทั่วทั้งประเทศ

การรัฐประหารที่ตามมาด้วยมาตรการกดปราบและจำกัดเสรีภาพประชาชน ซึ่งอาศัยอำนาจจากกฎอัยการศึกสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง การประท้วงและเรียกร้องการปฏิรูปค่อยๆ ขยายตัวไปในหลายเมือง เหตุการณ์ซึ่งเป็นที่จดจำมากที่สุดคือ ‘การเรียกร้องประชาธิปไตยที่ควังจู’ (광주 민주화 항쟁) ในปี 1980 ที่มีการสลายการชุมนุมอย่างรุนแรง มีคำสั่งให้ทหารระดมยิงผู้ชุมนุมอย่างไม่ละเว้น

การปราบปรามอย่างป่าเถื่อนเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ เพราะในสถานการณ์ฉุกเฉินขณะนั้น กองทัพได้ตัดช่องทางสื่อสารของผู้คนในควังจูจากพื้นที่อื่น สถานีวิทยุและโทรทัศน์ออกอากาศแค่เนื้อหาโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาล สร้างความเข้าใจว่าการปราบปรามเป็นไปเพื่อขจัด ‘เหล่าคอมมิวนิสต์’ และบรรดา ‘ผู้ฝักใฝ่เกาหลีเหนือ’ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในควังจูถูกจดจำในนามของการสังหารหมู่ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากถึง 2,000 คน

หลังจากเกาหลีเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยในช่วงปลายทศวรรษ 1980 กฎอัยการศึกก็ถูกยกเลิก จากนั้นก็มีกระบวนการแสวงหาความจริงและนำผู้เกี่ยวข้องมาลงโทษ

ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การเรียกร้องประชาธิปไตยในเกาหลีนี้เป็นกระจกสะท้อนว่าที่ผ่านมากฎอัยการศึกถูกใช้ในฐานะเครื่องมือทางการเมืองมากกว่าจะรักษาความสงบของบ้านเมือง ในทางหนึ่งความสงบของบ้านเมืองในทัศนะของผู้ถือครองอำนาจก็คือการเงียบเสียงต่อต้านของประชาชน เพื่อให้ตนยังอยู่ในอำนาจต่อไปได้ ตลอดสายธารการต่อสู้อันยาวนานนี้ การหวนคืนสู่ยุคสมัยเผด็จการที่เลวร้ายคงเป็นภาพสุดท้ายที่ประชาชนชาวเกาหลีปรารถนาจะให้เกิดขึ้น

‘กฎอัยการศึกในปี 2024’ หรือนี่คือการขุดหลุมฝังตัวเองของยุนซอกยอล?

หากย้อนมองจุดจบทางการเมืองของผู้นำเผด็จการเกาหลีใต้ หลายคนมักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ไม่ตายก็ติดคุก’ พักจองฮีถูกลอบสังหารและเสียชีวิต ชอนดูฮวานและโนแทอู[1]ได้รับโทษจำคุกจากการดำเนินคดีย้อนหลังบุคคลที่ก่อรัฐประหารและเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ประชาชน ซึ่งเป็นการกระทำอันขัดต่อรัฐธรรมนูญ

รุ่งเช้าหลังผ่านค่ำคืนอันโกลาหลในการเมืองเกาหลี สื่อ นักการเมือง นักวิชาการ นักกฎหมาย และผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์มีการถกเถียงถึงการดำเนินคดีกับประธานาธิบดียุนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อคืนวันที่ 3 ธันวาคม อันเป็นการกระทำที่เรียกได้ว่าลุแก่อำนาจ และมีเป้าหมายทางการเมืองมากกว่าจะปกป้องรักษาความสงบให้กับบ้านเมือง พรรคฝ่ายค้านถึงกับเรียกการกระทำครั้งนี้ว่า ‘รัฐประหาร’ เลยทีเดียว

เช้านี้ (4 ธันวาคม) พรรค DPK ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านออกแถลงการณ์ต่อกรณีนี้ว่า “แม้กฎอัยการศึกจะถูกยกเลิก แต่อาชญากรรมจากการก่อกบฏไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ เหตุการณ์นี้แสดงให้ทั้งประเทศเห็นแล้วว่า ประธานาธิบดียุนไม่สามารถบริหารประเทศอย่างปกติได้อีกต่อไป ประธานาธิบดียุนควรลงจากตำแหน่ง” ข้อความในแถลงการณ์ยังลงท้ายอย่างหนักแน่นว่า “ลาออกในทันที นี่คือคำสั่งของประชาชน!” (즉시 하야하라! 국민의 명령이다!)

ตลอดวันนี้จึงมีความพยายามจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการยื่นถอดถอนยุนซอกยอลจากตำแหน่ง และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงลาออก อีกทั้งยังพูดคุยถึงการดำเนินคดีอาญาจากการประกาศกฎอัยการศึกในสถานการณ์ที่ไม่ใช่สงครามและไม่ได้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ การขัดขวางการเข้าไปใช้อำนาจของสมาชิกรัฐสภา ฯลฯ ซึ่งเป็นการกระทำที่เข้าข่ายกบฏ แม้มาตรา 84 ในรัฐธรรมนูญจะระบุถึงความคุ้มกันว่าประธานาธิบดีจะไม่ถูกดำเนินคดีอาญาขณะดำรงตำแหน่ง แต่ก็มีข้อยกเว้นในกรณีที่กระทำความผิดฐานกบฏ

นักวิเคราะห์และนักรัฐศาสตร์ในเกาหลีใต้มองว่าเหตุการณ์นี้สะท้อนทั้งความเข้มแข็งและอ่อนแอของระบอบประชาธิปไตยเกาหลีใต้ในคราวเดียวกัน ความรวดเร็วของสื่อ ความไม่เพิกเฉยของประชาชนและ สส.ที่รุดหน้าไปยังสภาอย่างรวดเร็วคือฐานรากอันเข้มแข็งของระบบ ขณะที่บทบัญญัติของกฎอัยการศึกในรัฐธรรมนูญยังมีช่องโหว่ให้ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ด้านนักวิชาการตะวันตกอย่าง John Nilsson-Wright จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ให้สัมภาษณ์กับ The Guardian ว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะประธานาธิบดียุนหวนคิดถึงการปกครองแบบเผด็จการ แต่มาจากบุคลิกส่วนตัวของเขาเอง

อีกแง่มุมที่น่าสนใจคือท่าทีของสมาชิกพรรคอนุรักษนิยมซึ่งเป็นพรรคของยุนซอกยอล หลังมีประกาศกฎอัยการศึก ฮันดงฮุน หัวหน้าพรรคฯ ได้แสดงออกว่าไม่เห็นด้วย ยิ่งไปกว่านั้น สำนักข่าวเมอิล (매일경제) ได้เปิดเผยว่าแม้แต่ที่ปรึกษาหรือผู้ช่วยของยุนซอกยอลก็ไม่รู้แผนการการประกาศกฎอัยการศึก จึงเป็นที่น่าตั้งคำถามว่านี่คือการตัดสินใจด้วยตัวเองคนเดียวโดยไม่ผ่านการเห็นชอบของพรรคและคณะทำงานหรือไม่ และก็น่าตั้งคำถามต่อว่าเมื่อการประกาศกฎอัยการศึกลงเอยด้วยการที่คนทั้งประเทศต่อต้าน ปธน.ยุนจะถูกพรรค PPP ของตัวเอง ‘ตัดหางปล่อยวัด’ หรือไม่

พัคชางฮวัน อาจารย์จากมหาวิทยาลัยจางอัน ให้ความเห็นว่าการประกาศกฎอัยการศึกของยุนซอกยอลคือ “ความพยายามอันบ้าคลั่งสุดท้าย” หลังจากเจอหลายปัญหาถาโถม อีกทั้งคะแนนนิยมและผู้สนับสนุนยังลดลงอย่างต่อเนื่อง พัคยังชวนมองว่าการที่ประธานาธิบดียุน ประกาศกฎอัยการศึกโดยไม่ปรึกษาที่ปรึกษา แสดงให้เห็นถึงการโดดเดี่ยวตัวเองออกมา และเมื่อเขารู้สึกจนมุม ก็มักจะตัดสินใจอย่างสุดโต่งแบบนี้

อย่างไรก็ตาม ยังมีสมาชิกพรรคอนุรักษนิยมจำนวนหนึ่งที่สนับสนุนการประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดียุน อาทิ ฮวังคโยอัน นายกรัฐมนตรีในสมัยประธานาธิบดีพัคกึนฮเย โดยหลังยุนแถลงประกาศผ่านทีวี เขาได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า “กวาดล้างพวกต่อต้านรัฐ” ตามมาด้วย “จับกุมประธาน (รัฐสภา) อูวอนชิก จับกุมหัวหน้าพรรค (PPP) ฮันดงฮุน พวกเขาขัดขวางคำสั่งประธานาธิบดี”

ท่ามกลางคะแนนนิยมที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ ข่าวฉาวกระเป๋าดิออร์ของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ‘คิมกอนฮี’ และสถานการณ์ภายในพรรคที่ดูเหมือนจะมีความระส่ำระส่าย อาจเรียกได้ว่ายุนซอกยอลอยู่กำลังตกที่นั่งลำบากจากหลายเรื่องที่ถาโถม การประกาศกฎอัยการศึกแบบช็อกโลกจึงอาจซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก เพราะประชาชนเกาหลีคงไม่ปล่อยให้การกระทำใดที่ทำให้หวนถึงอดีตอันอันเลวร้าย งอกเงยจนอาจสกัดไว้ไม่อยู่ เป็นที่น่าจับตามองต่อไปว่าประธานาธิบดีผู้สร้างชื่อจากการเป็นอัยการที่ตรวจสอบกรณีการประพฤติมิชอบของพักกึนฮเย จนนำไปสู่การถอดถอน จะพบจุดจบทางการเมืองแบบเดียวกันหรือไม่ และสังคมเกาหลีจะลบรอยด่างพร้อยทางประชาธิปไตยนี้ได้อย่างไร


[1] ชอนดูอวานและโนแทอูจำคุกไม่ถึงหนึ่งปี ก็ได้รับการอภัยโทษ ในปี 1997

เอกสารอ้างอิง

Borger, J. (2024, December 3). Yoon Suk Yeol’s gamble on nostalgia for authoritarianism proves foolhardy. The Guardian. https://www.theguardian.com/world/2024/dec/03/declaration-of-martial-law-awakens-ghosts-south-koreans-thought-were-laid-to-rest

In-Bum, C. (2024, September 4). Democracy under pressure: unpacking fears of martial law in South Korea. Koreatimes. https://www.koreatimes.co.kr/www/opinion/2024/11/137_381847.html

Jeong-Yoon, C. (2024, December 4). Why did President Yoon Suk Yeol resort to martial law?. The Korea Herald. https://www.koreaherald.com/view.php?ud=20241204050104

Ji-Hye, S. (2024, December 4). The six-hour shambles that showed Korean democracy’s strength. The Korea Herald. https://www.koreaherald.com/view.php?ud=20241204050105

Korea’s dark history of martial law. (2024, December 4). Asia Media Centre. https://www.asiamediacentre.org.nz/korea-s-dark-history-of-martial-law

Minji, L. (2024, October 19). Remembering Yeosu-Suncheon uprising. Yonhap News Agency. https://en.yna.co.kr/view/PYH20241019020100315

Min-Sik, Y. (2024, December 4). Ex-PM and other politicians accused of “supporting” martial law. The Korea Herald. https://www.koreaherald.com/view.php?ud=20241204050106

Rashid, R. (2024, December 4). South Korea’s president, Yoon Suk Yeol, facing impeachment after martial law shock. The Guardian. https://www.theguardian.com/world/2024/dec/04/south-korea-martial-law-president-yoon-suk-yeol-calls-to-resign-ntwnfb

[속보]정진석 비서실장·수석비서관 일괄 사의표명. https://n.news.naver.com/article/009/0005407605?type=breakingnews&cds=news_edit

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save