เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา นิตยสาร The Economist เผยแพร่รายงานพิเศษโดยใช้ชื่อว่า The Envy of the World บอกเล่าเรื่องราว ‘ความน่าอิจฉา’ ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แม้จะเผชิญวิกฤติครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังสามารถกลับมายืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ เองก็เผชิญกับคู่แข่งคนสำคัญจากโลกตะวันออกที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา นั่นคือจีน รวมถึงดาวเด่นที่น่าจับตาอย่างอินเดีย นำไปสู่คำทำนายว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ย่อมไม่วายเดินหน้าสู่ขาลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในอีกไม่ช้า กระนั้นตัวเลขสถิติทางเศรษฐกิจในระดับมหภาคก็ยังฉายภาพในทางตรงกันข้าม เพราะมูลค่าผลผลิตต่อชาวอเมริกันหนึ่งคนยังมากกว่าชาวจีนและชาวอินเดียอยู่หลายเท่าตัว
ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกันเองในหมู่ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำอย่าง G7 ปัจจุบันตัวเลขจีดีพีของสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของทั้งกลุ่ม แม้แต่ในแง่ของค่าตอบแทนแรงงาน ในมิสซิสซิปปีซึ่งเป็นรัฐที่จ่ายค่าตอบแทนแรงงานต่ำที่สุดในสหรัฐฯ ชาวอเมริกันในรัฐนั้นยังได้รับค่าแรงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอังกฤษ แคนาดา และเยอรมนี
ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นนี้ชวนให้ฉงนสงสัยว่าอะไรกันนะคือเคล็ดลับเบื้องหลังความสำเร็จของสหรัฐอเมริกา ไซมอน ราบิโนวิตช์ (Simon Rabinovitch) หนึ่งในบรรณาธิการจาก The Economist ผู้ร่วมเขียนรายงานพิเศษชุดดังกล่าวให้สัมภาษณ์ในรายการ Planet Money โดยสรุปไว้เป็นสี่ประเด็นสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง คือ การเติบโตของผลิตภาพแรงงาน อิสรภาพด้านพลังงาน ตลาดทุนที่แข็งแกร่ง และสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
การเติบโตของผลิตภาพแรงงาน
เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตด้วยแรงผลักการจากการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพแรงงาน โดยตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมาผลิตภาพแรงงานของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 70 เปอร์เซ็นต์ นับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วแห่งอื่นๆ ที่เติบโตขึ้น 40-50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ปัจจัยแรกที่ผลักดันการเติบโตของผลิตภาพแรงงานคือพลวัตของตลาด เศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีพลวัตสูงลิ่ว ในแต่ละปีมีธุรกิจเกิดใหม่และล้มหายตายจากไปจำนวนมหาศาล ส่วนแรงงานก็มีความถี่ในการเปลี่ยนงานที่สูงกว่าประเทศอื่น นี่คือภาพสะท้อนของกระบวนการทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์ (creative destruction) ภายในเศรษฐกิจที่มีทรัพยากรอยู่จำกัด การที่บริษัทล้มหายตายจากไปหรือการที่คนเปลี่ยนงานก็คือการ ‘เคลื่อนที่’ ของทุนและแรงงานจากธุรกิจผลิตภาพต่ำไปสู่ธุรกิจที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้สูงกว่านั่นเอง
ปัจจัยที่สองคือความก้าวหน้าด้านนวัตกรรม รัฐบาลสหรัฐฯ มีหน่วยงานสร้างสรรค์นวัตกรรมระดับตำนานอย่างสำนักงานโครงการวิจัยขั้นสูงทางความมั่นคง (Defense Advanced Research Projects Agency) หรือที่คุ้นเคยกันว่า DARPA ผู้อยู่เบื้องหลังสารพัดเทคโนโลยีที่ใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เช่น อินเทอร์เน็ต ระบบจีพีเอส และโดรน เป็นต้น แต่ DARPA ก็เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง เพราะภาคเอกชนเองก็ลงทุนกับการวิจัยและพัฒนามหาศาล โดยรวมแล้วคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 3.5 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีซึ่งมากกว่าแทบทุกประเทศทั่วโลกยกเว้นเกาหลีใต้และอิสราเอล ส่วนประเทศไทยนั้นสัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ราว 1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีเท่านั้น โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 2 เปอร์เซ็นต์ต่อจีดีพีภายในปี 2570
อิสรภาพด้านพลังงาน
หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า ปัจจุบันสหรัฐฯ นั่งแท่นประเทศที่สามารถผลิตน้ำมันและก๊าซมากที่สุดในโลก และนับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา สหรัฐฯ ก็เปลี่ยนสภาพจากประเทศนำเข้าเชื้อเพลิงสู่การเป็นประเทศส่งออกเชื้อเพลิง โดยในปี 2023 มีการส่งออกเชื้อเพลิงสุทธิสูงถึง 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
จุดเปลี่ยนสำคัญของสหรัฐฯ คือการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีแฟรกกิง (Fracking) ที่ผสานสองนวัตกรรมคือ Hydraulic Fracturing และ Horizontal Drilling จนสามารถขุดเจาะแหล่งน้ำมันและก๊าซในชั้นหินดินดานซึ่งมีปริมาณมหาศาลในสหรัฐฯ ขึ้นมาจำหน่าย โดยอุตสาหกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นในจังหวะพอดิบพอดีกับวิกฤติซับไพรม์ในปี 2007-2008 คงไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่าเทคโนโลยีนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯ
อิสรภาพด้านพลังงานของสหรัฐฯ กลายเป็นไพ่ใบสำคัญในมือของสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะในห้วงเวลาที่เกิดความตึงเครียดในตะวันออกกลางและสงครามที่ยืดเยื้อระหว่างรัสเซียและยูเครน ความเสี่ยงเหล่านี้ทำให้ในรอบสามสี่ปีที่ผ่านมาราคาน้ำมันและก๊าซต่างผันผวนจนน่าใจหาย แต่สหรัฐฯ ไม่เดือดร้อนนักเพราะสามารถผลิตเชื้อเพลิงใช้เองภายในประเทศซึ่งเปรียบเสมือนโล่กำบังความผันผวนดังกล่าว
ที่สำคัญคือความได้เปรียบในข้อนี้ยากที่ประเทศคู่แข่งอย่างจีนและอินเดียจะเลียนแบบ เนื่องจากเป็นเรื่องของความโชคดีทางภูมิศาสตร์ล้วนๆ
ตลาดทุนที่แข็งแกร่ง
ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือมือเก๋า พวกเราต่างต้องการมองหาหุ้นที่ผลตอบแทนสูง สภาพคล่องสูง และโอกาสเติบโตสูง ซึ่งส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเหล่าหุ้นเทคโนโลยีล้ำสมัยซึ่งส่วนใหญ่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ อย่างเช่นหุ้นเจ็ด เทพที่เราคงคุ้นเคยกันดีคือ เอ็นวิเดีย (Nvidia) เมตา (Meta) แอมะซอน (Amazon) อัลฟาเบธ (Alphabet) ไมโครซอฟต์ (Microsoft) แอปเปิล (Apple) และเทสลา (Tesla)
หากพิจารณาผลตอบแทนในอดีตตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา หุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนหลังหักเงินเฟ้อเฉลี่ยปีละ 7 เปอร์เซ็นต์ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนตลาดหุ้นไทยผมเคาะตัวเลขเร็วๆ จะได้ผลตอบแทนหลังหักเงินเฟ้อเฉลี่ยที่ราว 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนทั่วโลกจนมีขนาดใหญ่ยักษ์โดยมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก
นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังนับเป็นแนวหน้าในการจัดหาแหล่งเงินทุนนอกตลาด โดยมีชุมชนของคนที่มองหาแหล่งทุนซึ่งทุกคนรู้จักกันดีอย่างเช่นซิลิคอนแวลลีย์ จึงไม่น่าแปลกใจที่สหรัฐฯ จะเป็นหมุดหมายสำคัญของบริษัทที่ต้องการระดมเงินทุน การได้เป็นศูนย์กลางที่ดึงดูดนักธุรกิจหน้าใหม่ไฟแรงผู้เฟ้นหานวัตกรรมเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดวัฏจักรแห่งความรุ่งโรจน์ และกลายเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
ประการสุดท้ายที่เปรียบเสมือนป้อมปราการสุดแกร่งคือเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่การล่มสลายของระบบเบรตตันวูดส์ ดอลลาร์สหรัฐ ยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศโดยมีสัดส่วนอยู่ที่ราว 56–59 เปอร์เซ็นต์ของทุนสำรองระหว่างประเทศทั่วโลกมากว่าสามสิบปี
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมีสภาพคล่องสูงลิ่วและเป็นที่ต้องการอย่างยิ่งในตลาดโลกเนื่องจากถูกใช้เป็นสกุลเงินหลักในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ แม้ว่าทั้งสองประเทศคู่ค้าจะไม่ได้ใช้เงินสกุลดอลลาร์เป็นหลักก็ตาม หลักทรัพย์สกุลดอลลาร์สหรัฐฯอย่างเช่นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ยังมีความต้องการอย่างล้นหลามเพราะนานาประเทศต่างมองว่าเป็นหลักทรัพย์ปราศจากความเสี่ยง รวมถึงความเชื่อมั่นต่อกลไกการกำกับดูแล ความโปร่งใส และหลักการเปิดเสรีทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการควบคุมการไหลเวียนของสกุลเงินอย่างเคร่งครัดและความลึกลับซับซ้อนทางนโยบายของคู่แข่งอย่างเงินหยวนของประเทศจีน
ความต้องการเงินสกุลดอลลาร์และหลักทรัพย์สกุลดอลลาร์ที่ดูราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุดนี้เองที่ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถระดมเงินทุนมูลค่ามหาศาลจากนานาประเทศเพื่อแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจได้ในเวลาอันสั้น แถมยังมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำอีกด้วย แม้ว่าสหรัฐฯ จะมีอัตราส่วนหนี้สาธารณะที่เกือบแตะ 100 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับจีดีพี อีกทั้งยังมีการใช้งบประมาณเกินดุลอย่างต่อเนื่อง
—–
ทั้งสี่ประการนี้ก็คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเป็นที่น่าอิจฉาของนานาประเทศ
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจที่ยอดเยี่ยมไม่ได้หมายความว่าประชาชนในสหรัฐฯ จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในโลกนะครับ เพราะตัวเลขจีดีพีกับคุณภาพชีวิตนั้นเป็นคนละเรื่องกัน อีกทั้งสหรัฐฯ เองก็เผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรงและเรื้อรังรวมถึงปัญหาสังคมอีกสารพัด ยังไม่นับปัจจัยเสี่ยงอีกหลายประการที่ปัจจุบันช่วยดันให้เศรษฐกิจเติบโต ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล การพึ่งพาธุรกิจเทคโนโลยีมากเกินไป ปัญหาหนี้สาธารณะ และความไม่แน่นอนทางนโยบายการเมืองที่อาจสั่นคลอนรากฐานทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้เช่นกัน
เอกสารประกอบการเขียน
Why the US economy is still the envy of the world
The American economy has left other rich countries in the dust
American productivity still leads the world
The shale revolution helped make America’s economy great
Why the American stockmarket reigns supreme
China’s yuan is nowhere close to displacing the greenback