พระอลงกต วัดพระบาทน้ำพุ วิกฤตศรัทธาสู่การสังคายนาวงการสงฆ์?

‘พระอลงกต’ กับข้อหาทุจริตเงินวัดพระบาทน้ำพุ ควรสังคายนาวงการสงฆ์แล้วหรือยัง?

ข่าวฉาวในวงการสงฆ์ กรณีตำรวจสอบสวนกลางนำกำลังบุกจับกุม ‘พระอลงกต’ เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ และ ‘หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ’ ตามมาตรา 147 มาตรา 157 และฟอกเงิน ที่บานปลายกลายเป็นวิกฤตศรัทธาครั้งใหญ่ หลังจากสังคมร่วมกันขุดคุ้ยโครงการรับบริจาค ลามถึงตรวจสอบประวัติส่วนตัวของหลวงพ่อจนพบพิรุธต่างๆ จำนวนมาก

บางคนรู้สึกตกใจและผิดหวังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเคยบริจาคเงินให้และเชื่อมั่นในความดีงาม แต่หลังจากเห็นการบริหารจัดการที่ไม่โปร่งใส เช่น การนำเงินไปซื้อที่ดินแทนที่จะนำไปช่วยผู้ป่วย ก็รู้สึกเหมือนถูกหลอก ขณะที่บางคนรู้สึกเห็นอกเห็นใจหลวงพ่อ และหวังว่าหน่วยงานรัฐจะรีบตรวจสอบเรื่องนี้เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ

อย่างไรก็ดี วิกฤตศรัทธาครั้งนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามอีกครั้งถึงกลไกการตรวจสอบเงินบริจาค และถึงเวลาหรือยังที่จะต้องปฏิรูประบบบริหารจัดการทรัพย์สินวัดในประเทศ


หลวงพ่อปลอมตัวนานเกือบ 40 ปี


เรื่องราวที่เขย่าสังคมไทย ซึ่งเพิ่งถูกเปิดโปงโดยทีมข่าวสามมิติ คือการปลอมแปลงตัวตนและประวัติของ ‘พระราชวิสุทธิประชานาถ‘ หรือหลวงพ่ออลงกต เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ที่พึ่งของผู้ติดเชื้อเอชไอวีมายาวนานเกือบ 40 ปี 

เอกสารประกาศเกียรติคุณ เนื่องในโอกาสที่สภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีมติถวายปริญญาสังคมสงเคราะห์ศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ในปีการศึกษา 2540 ได้รวบรวมประวัติส่วนตัว การศึกษา ตำแหน่งและสมณศักดิ์ รวมถึงหน้าที่การงาน เพื่อยกย่องพระอลงกตให้เป็นแบบอย่างแก่คนทั่วไป

เนื้อหาในเอกสารระบุว่า พระครูอาทรประชานาถ มีนามเดิมว่า อลงกต พลมุข เกิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2496 ที่อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี อุปสมบทเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2529 และได้รับฉายาว่า ‘ติกฺขปญฺโญ’ 

เอกสารนี้ระบุด้วยว่า พระอลงกตสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และปริญญาโทสาขาวิศวกรรมเครื่องกลจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ต่อมาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสาขาพยาบาลศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

พระอลงกตเป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี และเป็นผู้ก่อตั้งโครงการธรรมรักษ์นิเวศน์ในปี พ.ศ. 2535 สถานที่พักพิงและดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ระยะสุดท้าย โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยที่ถูกทอดทิ้งจากครอบครัวและสังคม ให้ได้ใช้ชีวิตในวาระสุดท้ายอย่างสงบสุข 

นอกจากงานด้านสังคมสงเคราะห์ พระอลงกตยังปฏิบัติหน้าที่ในงานคณะสงฆ์ โดยปกครองพระภิกษุสามเณรและเทศนาสั่งสอนประชาชน รวมทั้งจัดตั้งกองทุนสงเคราะห์นักเรียนและมอบทุนการศึกษาเป็นประจำทุกปี จากการอุทิศตนทำงานเพื่อสังคม ทำให้ได้รับรางวัลเกียรติยศมากมาย เช่น รางวัลมหิดลวรานุสรณ์ รางวัลเสมาธรรมจักร และรางวัลแสงเทียนส่องใจ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากเอกสารนี้ส่วนหนึ่งปรุงแต่งขึ้น พระอลงกตไม่เคยมีประวัติเรียนจบมหาวิทยาลัย และยอมรับว่าที่ผ่านมาไม่เคยไปศึกษาที่ออสเตรเลีย เพียงแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะไปเรียนเท่านั้น

สาเหตุที่พระอลงกตปิดบังตัวตน ก็เป็นไปได้ว่าอาจต้องการหลบหนีจากอดีตของ เกรียงไกร เพ็ชร์แก้ว (ชื่อเดิม) จึงระบุชื่อ ‘อลงกต พลมุข’ ลงในใบสุทธิ เอกสารประจำตัวของพระภิกษุ ซึ่ง ’อลงกต’ เป็นชื่อของข้าราชการนายหนึ่ง สังกัดกรมชลประทานที่ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว 

ต่อมาพระอลงกตนำเลขบัตรประชาชนของข้าราชการรายนี้เพิ่มเข้าไปในใบสุทธิ แล้วนำเอกสารนี้ไปใช้ทำธุรกรรมทางการเงิน ทั้งเปิดบัญชีธนาคารในปี 2540 เพื่อใช้ในกิจการของวัด รวมถึงสมัครบริการพร้อมเพย์ในชื่อ ‘กองทุนอาทรประชานาถ’ ในปี 2561 ตามข้อมูลจากธนาคารกรุงเทพ 

การสร้างประวัติลักษณะนี้ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้น่าเชื่อถือ ทั้งมีผลต่อชื่อเสียงของตัวเองและโครงการดูแลผู้ป่วยเอดส์ในยุคที่สังคมยังตีตราผู้ป่วยกลุ่มนี้ และอาจช่วยให้ได้รับเงินบริจาคมากกว่าการบอกเล่าว่าตัวเองเป็นอดีตนักฟุตบอลที่ไม่มีวุฒิการศึกษา


พระไร้วินัย ส่วนราชการละเลย

 

กรณีของวัดพระบาทน้ำพุถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างการจัดการเงินบริจาคที่ขาดความโปร่งใส และจำเป็นต้องปฏิรูปกลไกการบริหารจัดการวัดทั้งระบบ

ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการอาวุโส อธิบายผ่านรายการ มีเรื่อง Live กับจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ ว่ากรณีของวัดพระบาทน้ำพุเป็นตัวอย่างของปัญหาพระสงฆ์ที่ไร้ระเบียบวินัยและส่วนราชการที่ละเลยการกำกับดูแล

ปรเมศวร์ระบุว่าสังคมไทยมักมีอารมณ์ร่วมกับความทุกข์ยากของผู้อื่น จึงบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ แต่ปรากฏว่าพบเห็นสื่อรายงานว่าสิ่งของที่บริจาคไปถูกทิ้งขว้าง เช่น วอล์กเกอร์ รถเข็น และหน้ากากอนามัย ที่วางกองเต็มวัดไปหมด ไม่มีใครมาดูแลจัดการ ทำให้ต้องตั้งคำถามกับทางวัดถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการเปิดรับบริจาค 

ในทางกฎหมายและระเบียบปฏิบัติ วัดสามารถถือครองที่ดินธรณีสงฆ์ได้ไม่เกิน 50 ไร่ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกฎหมายนี้มีเจตนาไม่ต้องการให้พระสะสมทรัพย์สิน

ขณะที่วัดมีสถานะเป็นนิติบุคคล ต้องจัดทำบัญชีแสดงทรัพย์สินและงบแสดงฐานะการเงินตามระเบียบของสำนักพุทธฯ แต่ปัญหาคือในทางปฏิบัติ วัดเกือบทั้งหมดในประเทศไม่ได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีเหมือนบริษัททั่วไป 

นอกจากนี้ระเบียบการเปิดรับบริจาค เช่น เงินทอดกฐินเพื่อสร้างอุโบสถ วัดต้องนำเงินไปใช้ตามวัตถุประสงค์นั้น จะนำไปใช้เรื่องอื่นไม่ได้ หากต้องการจัดกิจกรรมเชิงพาณิชย์ เช่น สร้างตึกแถวให้เช่าหรือทำที่จอดรถเพื่อเก็บค่าบริการ ต้องเสนอแผนงานและขออนุญาตจากสำนักพุทธฯ ในจังหวัด และต้องได้รับอนุญาตจากมหาเถรสมาคมก่อน

กระบวนการจัดการทรัพย์สินที่ยุ่งยาก ทำให้วัดพยายามหลีกเลี่ยงด้วยการจัดตั้งมูลนิธิขึ้นมาเพื่อเปิดรับบริจาคแทน โดยแต่งตั้งไวยาวัจกรหรือผู้ที่สนิทกับเจ้าอาวาสเป็นประธานมูลนิธิ และเมื่อคนทั่วไปเห็นพระสงฆ์ร่วมเดินทางไปรับบริจาคด้วย ก็อาจเข้าใจว่าเงินนั้นเข้าวัดโดยตรง ใบเสร็จที่ออกให้ผู้บริจาคจะเป็นใบอนุโมทนาบัตร ซึ่งเงินควรจะเข้าวัด แต่กลับเข้าบัญชีของมูลนิธิ ทำให้เกิดคำถามว่าการเปิดรับบริจาคเช่นนี้ผิดวัตถุประสงค์และฉ้อโกงประชาชนหรือไม่

ปรเมศวร์ชี้ว่าการเปิดรับบริจาคควรได้รับใบอนุโมทนาบัตรจากวัด ไม่ใช่จากมูลนิธิ ปัจจุบันกรมสรรพากรเริ่มตระหนักถึงปัญหานี้แล้ว จึงออกนโยบายบริจาคเงินออนไลน์ (e-donation) โดยให้ผู้บริจาคสแกน QR Code โอนเงินเข้าบัญชีวัดโดยตรง เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการรับบริจาค

ข้อเสนอของปรเมศวร์ในเรื่องนี้คือ การบริหารจัดการวัดในประเทศไทยควรเปลี่ยนระบบใหม่ทั้งหมด ให้มีบริษัทจัดทำบัญชีทรัพย์สินเข้ามาช่วยจัดทำงบการเงินของวัด สำนักพุทธฯ ก็ควรมีบทบาทในการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน และมีผู้สอบบัญชี ไม่ใช่เน้นแค่เผยแพร่ศาสนา


แก้กฎหมายขอเงินบริจาคคืน


บทความของ นรา ถิ่นนัยธร ที่เผยแพร่ในวารสารผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงปัญหาเกี่ยวกับพระภิกษุที่ใช้อิทธิพลครอบงำจิตใจผู้คนเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน แม้ปัจจุบันจะมีกฎหมายกำกับดูแลพระภิกษุอยู่บ้าง เช่น มาตรา 1623 ของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยสิทธิครอบครองทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างอุปสมบท และมาตรา 208 ของประมวลกฎหมายอาญาที่มีไว้เอาผิดผู้ปลอมตัวเป็นพระ แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายใดคุ้มครองผู้บริจาค

หลายกรณีที่เกิดขึ้นในสังคมเกี่ยวข้องกับพระภิกษุที่ใช้อิทธิพลทางจิตใจหลอกเอาเงินบริจาค ทั้งจากพระจริงและผู้ที่แอบอ้าง เช่น กรณี ‘เณรคำ’ ที่อวดอ้างว่าตัวเองเป็นหลวงปู่กลับชาติมาเกิดและสามารถระลึกชาติได้ 

เณรคำเขียนหนังสือ ‘ชาติหน้าไม่ขอมาเกิด’ เพื่อบอกเล่าประวัติที่เหลือเชื่อและความสามารถในการแสดงอิทธิฤทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ซึ่งขณะที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เณรคำเปิดรับบริจาคเงิน อ้างว่าจะนำไปสร้างพระแก้วมรกตจำลองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้ผู้คนหลงเชื่อและร่วมบริจาคให้จำนวนมาก 

อย่างไรก็ตาม เงินบริจาคหลายร้อยล้านบาทถูกนำไปใช้สร้างภาพลักษณ์ให้สำนักสงฆ์ ซื้อรถให้พระชั้นผู้ใหญ่ และที่เหลือเข้ากระเป๋าตัวเอง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเณรคำมีบัญชีเงินฝากธนาคารมากถึง 41 บัญชี บ้านหรูสองหลัง และรถยนต์หรู เช่น โรลส์รอยซ์ เฟอร์รารี เบนซ์ รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 200 ล้านบาท

ในบทความจากวารสารผู้ตรวจการแผ่นดิน ยังยกตัวอย่างอีกกรณีหนึ่งคือวัดพระธรรมกาย ที่มักสอนให้คนทำบุญแบบ ‘มีเท่าไรทุ่มให้หมด‘ และ ‘ถ้าไม่มีก็ให้ไปขอยืมมา’ ทำให้ผู้ที่หลงเชื่อถึงขั้นต้องสิ้นเนื้อประดาตัว เช่น ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นอดีตวิศวกรวัย 62 ปี เปิดเผยว่าครอบครัวมีปัญหาหนี้สินจากการที่ภรรยามีพฤติกรรมเสพติดการทำบุญ และได้นำกิจการ บ้าน ที่ดิน และทองคำไปบริจาคให้กับวัดพระธรรมกาย

บทความนี้เสนอแนวทางแก้ปัญหาที่น่าสนใจ เช่น ประเทศอังกฤษจัดการกับปัญหาลักษณะนี้ โดยใช้กฎหมายเกี่ยวกับการใช้อิทธิพลที่ไม่เป็นธรรม (Undue Influence Law) ซึ่งให้สิทธิกับผู้เสียหายสามารถเรียกคืนทรัพย์สินได้ หากพบว่าการบริจาคเกิดขึ้นโดยถูกครอบงำ รวมทั้งยังเสนอให้เพิ่มบทลงโทษกับผู้แอบอ้างเป็นพระสงฆ์ และแก้กฎหมายให้ทรัพย์สินที่ได้มาขณะบวชต้องตกเป็นของวัดที่สังกัด ซึ่งจะช่วยลดแรงจูงใจในการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว

นอกจากนี้บทความเสนอว่าหน่วยงานที่ดูแลพระพุทธศาสนา เช่น มหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ควรควบคุมการจัดกิจกรรมในวัดให้เป็นไปตามหลักคำสอนที่ถูกต้อง รวมทั้งจัดทำบัญชีฐานข้อมูลประวัติพระภิกษุที่สามารถตรวจสอบได้ง่าย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เคยทำผิดกลับมาบวชซ้ำอีก

ขณะที่บทความ ‘หล่มกับดักที่ทำให้การเงินวัด อาจไปไม่ถึงความโปร่งใส ในสายตา ประกีรติ สัตสุต’ อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอมุมมองกรณีทุจริตเงินวัด โดยระบุว่าแม้จะมีกฎหมายและระเบียบจากมหาเถรสมาคม เช่น ห้ามวัดถือครองเงินสดเกิน 100,000 บาท แต่ในทางปฏิบัติแล้ว กฎเกณฑ์เหล่านี้มักไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและการดำเนินงานของวัด

ดร.ประกีรติชี้ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่การมีสถานะเป็นนิติบุคคลของวัด แต่เป็นเรื่องความไม่ชัดเจนระหว่างสถานะทางโลกและทางธรรม รวมถึงกลไกการบริหารจัดการ การตรวจสอบ และการลงโทษที่ไม่เหมาะสม การแก้ไขจึงควรเน้นไปที่การสร้างระบบบริหารจัดการเงินและทรัพย์สินของวัดให้ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมกับวัดแต่ละแห่ง และทุกฝ่ายทั้งพระสงฆ์ ฆราวาส และหน่วยงานรัฐ มีส่วนร่วมกำกับดูแลอย่างสมดุล 

ทั้งนี้ มาตรการต่างๆ มีเป้าหมายเพื่อปกป้องชาวพุทธ และทำให้ศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจ ไม่ใช่เครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง


ข้อมูลอ้างอิง

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Law

20 Aug 2023

“ยิ่งจริง ยิ่งไม่หมิ่นประมาท”: ความผิดฐานหมิ่นประมาทกฎหมายเยอรมัน

ดิศรณ์ ลิขิตวิทยาวุฒิ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาของกฎหมายหมิ่นประมาทไทย และยกตัวอย่างกฎหมายหมิ่นประมาทเยอรมันเป็นแนวทางหนึ่งในการปรับปรุงกฎหมายต่อไป

ดิศรณ์ ลิขิตวิทยาวุฒิ

20 Aug 2023

Law

25 Aug 2022

กฎหมายยาเสพติดใหม่: 8 เดือนของการบังคับใช้ในภาวะที่ยังไร้กฎหมายลูก กับ ภูวิชชชญา เหลืองธีรกุล

101 คุยกับอัยการ ภูวิชชชญา เหลืองธีรกุล ถึงประโยชน์และช่องว่างที่พบในการบังคับใช้กฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา

วงศ์พันธ์ อมรินทร์เทวา

25 Aug 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save