“พวกเขากำลังบอกว่า พวกเขากำลังกินอาหารกลางวันของเรา”
เคลลี วิกเกอร์ (Kellee Wicker)
ผู้อำนวยการโครงการนวัตกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
Wilson Center[1]
หากถาม ณ เวลานี้ว่าอะไรคือสินค้าส่งออกของสหรัฐอเมริกาบ้าง สิ่งที่ทุกคนนึกอาจมีตั้งแต่สินค้าของแอปเปิ้ล โปรแกรมออฟฟิศของไมโครซอฟท์ รถยนต์เทสลา เครื่องบินโบว์อิ้ง และบริษัทผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างล็อกฮีท มาร์ติน เห็นลิสต์แบบนี้ คุณคิดว่าสหรัฐอเมริกายังคงรักษาความเป็นอันดับหนึ่งของประเทศที่มีนวัตกรรมล้ำหน้าได้อยู่หรือเปล่า? สหรัฐอเมริกาจะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนกับที่โดนัลด์ ทรัมป์ขายฝันไว้ได้หรือไม่?
สิ่งนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะในสายตาของผม สหรัฐฯ กำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านนวัตกรรมไปทีละนิด ทีละนิด
เรื่องนี้ไม่ได้มีแต่ผมที่คิด เพื่อนชาวอเมริกันหลายคนแชร์กับผมว่า เขารู้ตัวดีว่าประเทศเขากำลังตกที่นั่งลำบาก อย่างน้อยๆ คำพูดของเคลลี วิกเกอร์ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความคิดและทัศนคติของอเมริกาที่กังวลต่อภัยคุกคามใหม่ นั่นคือการเป็นคู่แข่งทางนวัตกรรมของจีน เพราะนอกเหนือจากธุรกิจยุโธปกรณ์ทางทหารที่สหรัฐอเมริกาค่อนข้างผูกขาดแล้ว นวัตกรรมอย่างอื่นเหมือนจะเริ่มตามคนอื่นไม่ทัน โดยเฉพาะกับคู่แข่งคนสำคัญอย่างจีน หลักฐานที่ชัดเจนคือความพยายามขัดแข้งขัดขาให้จีนเดินลำบากขึ้นบนเวทีโลกนั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆ
สัญญาณแรกที่เราเห็น เริ่มจากการจับกุมเมิ่ง หว่านโจว (Meng Wanzhou) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทหัวเว่ย (Huawei) ในปี 2018 ที่สนามบินนานาชาติแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ตามคำร้องขอของสหรัฐอเมริกา และแจ้งข้อกล่าวหาว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงธนาคารและการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน ตามมาด้วยการแบนเทคโนโลยี 5G ของหัวเว่ย โดยอ้างว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงในปีถัดมา (2019)
ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ในขณะนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าหัวเว่ยอาจเป็น ‘ภัยต่อความมั่นคงของชาติ’ เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน ซึ่งอาจเปิดช่องทางให้เกิดการสอดแนมข้อมูลหรือใช้อุปกรณ์หัวเว่ยเป็นเครื่องมือรุกล้ำความปลอดภัยทางไซเบอร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เพิ่มหัวเว่ยเข้าไปใน ‘Entity List’ หรือบัญชีดำของรัฐบาล บริษัทอเมริกันถูกห้ามไม่ให้ขายหรือส่งออกเทคโนโลยีให้หัวเว่ยโดยไม่ได้รับอนุญาต และกดดันประเทศพันธมิตร เช่น อังกฤษและออสเตรเลียให้ลด (หรือเลิกใช้ไปเลยยิ่งดี) อุปกรณ์หัวเว่ย ในปี 2020 รัฐบาลสหรัฐฯ มีการเพิ่มข้อจำกัดให้เข้มงวดขึ้น เช่น ห้ามบริษัทต่างชาติที่ใช้เทคโนโลยีของสหรัฐฯ ผลิตชิปให้หัวเว่ย ไม่ว่าจะเป็นไต้หวัน เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น โดยเอาเรื่องความมั่นคงทางทหารมาเป็นข้อต่อรอง
ถึงสถานการณ์จะดูบีบคั้น เแต่ปัจจุบันบริษัทหัวเว่ย (และจีน) ก็ยังเป็นผู้นำเทคโนโลยี 5G ของโลก (ตามมาด้วยเกาหลีใต้) จีนเป็นประเทศเดียวที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยี 5G ให้เข้าถึงประชาชนในประเทศกว่า 500 ล้านคน มีเสาสัญญาณหนาแน่นที่สุด เร็วที่สุด นำหน้าทุกบริษัทในโลกรวมถึงสหรัฐอเมริกา
อีกหนึ่งธุรกิจที่ถูกพูดถึงอย่างมาก และสหรัฐฯ ดูจะเป็นกังวลสุดๆ คือการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ ชิปเล็กๆ เหล่านี้มีความจำเป็นสำหรับการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าแทบทุกชนิด รถยนต์อย่างเทสลาเองก็เช่นกัน ทุกวันนี้สินค้าไฮเทคต่างๆ ล้วนต้องการเซมิคอนดักเตอร์ในการควบคุมการทำงาน
หากย้อนกลับไปในปี 1990 สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์ เคยครองการผลิตคิดเป็น 37% ของการผลิตของโลก โดยมีบริษัทอย่างอินเทล (Intel) เท็กซัส อินสทรูเมนทัล (Texus Instrumental) โมโตโรล่า (Motorolla) เป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมด้านนี้ แต่ปัจจุบัน สัดส่วนการผลิตเหลือเพียง 12% เท่านั้น โดยสูญเสียความสามารถไปให้กับ ไต้หวัน ซึ่งมีบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตามมาด้วยเกาหลีใต้ (ส่งซัมซุงและ SK Hynix เข้าประกวด) และจริงๆ แล้ว ความเป็นไปได้ที่จะมีบริษัทของจีนติดมาด้วยก็ไม่ใช่เรื่องเกินฝัน หากว่าพวกเขาไม่โดนการสกัดดาวรุ่งของสหรัฐอเมริกาเสียก่อน
สิ่งที่เราเห็นเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงสามทศวรรษเท่านั้น แม้ปัจจุบันสหรัฐอเมริกากำลังพยายามหาทางกลับมามีส่วนแบ่งในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น แต่ก็ถือเป็นงานที่ยากมาก
รายงานจากมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม ของสหรัฐอเมริกา (Information Technology and Innovation Foundation-ITIF) ชื่อว่า ‘Wake Up America: China Is Overtaking the United States in Innovation Output’ (ตื่นได้แล้วอเมริกา จีนกำลังแซงหน้าสหรัฐอเมริกาในเรื่องนวัตกรรม) ซึ่งเผยแพร่ออกมาเมื่อปี 2023 เตือนว่าจีนอยู่ในตำแหน่งที่จะพัฒนาจากผู้เลียนแบบไปสู่ผู้สร้างนวัตกรรม ความสามารถในการแข่งขันของจีนนั้นสูงไม่น้อย ด้วยความสามารถในการผลิตและราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า สิ่งนี้กำลังคุกคามส่วนแบ่งการตลาดของสหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตรในอุตสาหกรรมขั้นสูง รวมถึงกำลังทำให้จีนแซงหน้า กลายเป็นปัญหาความมั่นคงของสหรัฐฯ
ผู้เขียนบทความ คือเอียน เคลย์ (Ian Clay) และโรเบิร์ต แอตคินสัน (Robert Atkinson) ได้เปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าในปี 2010 หรือสองปีหลังจากโอลิมปิกเกม (มหกรรมอันยิ่งใหญ่ที่จีนใช้ประกาศว่า ‘ฉันมาแล้วชาวโลก’ แก่นานาอารยประเทศ) ความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและอุตสาหกรรมขั้นสูงของจีนคิดเป็นประมาณ 58% ของศักยภาพของสหรัฐฯ และคิดเป็น 78% ของผลผลิตของสหรัฐฯ เมื่อพิจารณาตามสัดส่วนของประชากร ขนาดเศรษฐกิจ และปัจจัยหลักทางสังคม
10 ปีผ่านไป ตัวเลขนี้เปลี่ยนไปพอสมควร ในปี 2020 ศักยภาพของจีนเพิ่มขึ้นจาก 58% มาเป็น 75% ของศักยภาพของสหรัฐฯ และเพิ่มขึ้นเป็น 139% เมื่อพิจารณาตามปัจจัยต่างๆ ที่ว่ามา
อันที่จริง สหรัฐอเมริกายังมีประสิทธิภาพดีในด้านการพัฒนานวัตกรรมนะครับ สหรัฐฯ ยังเป็นประเทศที่ลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนามากที่สุดในโลก รวมถึงเป็นประเทศที่มีคนได้รับรางวัลโนเบลมากที่สุด นอกจากนี้ ยังมีระบบการเงินที่ได้รับความน่าเชื่อถือที่สุดในโลก แต่สิ่งที่เป็นข้อด้อยของสหรัฐอเมริกาคือความล้าหลังในด้านการประยุกต์ใช้ ITIF ระบุว่าสหรัฐอเมริกาไม่มีการวางระบบนวัตกรรมแห่งชาติที่ประสานงานกัน และถึงขั้นกล่าวว่าระบบนวัตกรรมโดยรวมของสหรัฐฯ กำลังเสื่อมถอยมานานหลายทศวรรษแล้ว เพราะขาดตัวเชื่อมประสาน
ในขณะที่จีน เรียกได้ว่าทำงานเชิงรุกมากกว่า รัฐบาลกลางทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อน เชื่อมโยงบริษัทต่างๆ และช่วยผลักดัน เพิ่มขีดความสามารถด้านนวัตกรรม ตั้งแต่ทุ่มเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ให้กับการวิจัยและพัฒนา อำนวยความสะดวกให้เอกชนยื่นจดสิทธิบัตรระหว่างประเทศ ซึ่งตอนนี้มีจำนวนแซงหน้าสหรัฐอเมริกาไปแล้ว ไปจนถึงเพิ่มการผลิตในสาขาเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การผลิตเครื่องบิน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เภสัชภัณฑ์ ธุรกิจอวกาศ ซอฟต์แวร์ต่างๆ และอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ซึ่งจีนทำได้ดีมาก ปัจจุบันจีนเป็นผู้ผลิตและส่งออกหุ่นยนต์อันดับสามของโลก (ตามหลังเยอรมนีและญี่ปุ่น) คิดเป็น 35% ของการผลิตทั่วโลก ขณะที่สหรัฐอเมริกามีสัดส่วนในอุตสาหกรรมนี้เพียง 12% และในปี 2022 สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าด้านหุ่นยนต์ 1.26 พันล้านดอลลาร์ โดยการส่งออกคิดเป็น 28% ของมูลค่าการนำเข้า
ทุกวันนี้สหรัฐฯ เติบโตได้ด้วยการพึ่งพาความสามารถของซัพพลายเออร์ของตนมากเกินไป กลายเป็นว่าความก้าวหน้าของนวัตกรรมอยู่กับคนที่รับผลิตส่วนประกอบต่างๆ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ คือสถานการณ์ของบริษัทแอปเปิ้ลที่สินค้าหลักอย่างไอโฟน (หรือสินค้าอื่นๆ) ล้วนพัฒนาและประกอบโดยบริษัทฟอกซ์คอน ซึ่งมีสาขาใหญ่ในประเทศจีน แม้ว่าสหรัฐอเมริกาพยายามทำให้การทำงานส่วนนี้กลับมาอยู่ในประเทศ แต่ค่าใช้จ่ายและการลงทุนนั้นสูงเกินกว่าจะเป็นไปได้ หรือถึงแม้จะมาได้จริงๆ องค์ความรู้เรื่องการจัดการ การประสานสิบทิศ การคิดเรื่องไลน์การประกอบ ทั้งหมดล้วนไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจส่งผลให้บริษัทนวัตกรรมส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ สูญเสียส่วนแบ่งการตลาด ซึ่งภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นกับหลายอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ในระยะยาว ศักยภาพของการแข่งขันอาจไปไหนไม่ได้ไกล หากยังพึ่งพาผู้อื่นในการพัฒนาและผลิตอยู่
กลับมาที่จีนกันสักนิด – สิ่งที่ทำให้จีนกลายเป็นคู่แข่งคนสำคัญของสหรัฐอเมริกา คือหน้าที่ของการเป็น ‘โรงงานของโลก’ มาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี บทบาทนี้ช่วยให้จีนเพิ่มศักยภาพด้านนวัตกรรม แม้ว่าบางอย่างอาจดูไม่ถูกต้องตรงไปตรงมามากนัก (รัฐบาลจีนมักถูกกล่าวหาว่าขโมยทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงการกำหนดให้บริษัทต่างๆ ส่งมอบทรัพย์สินทางปัญญาของตนเพื่อทำธุรกิจในจีน) แต่ไม่ใช่ว่าการได้รับนวัตกรรมของจีนจะเลวร้ายไปเสียทั้งหมด นวัตกรรมมากมายของตีนเกิดขึ้น เพราะพวกเขามองเห็น ‘unmet need’ ระหว่างการทำงาน ดังนั้น การยกการผลิตจำนวนมากให้จีน แง่หนึ่งจึงเป็นการมอบความสามารถในต่อยอดให้พวกเขาด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ ก็เหมือนกับตอนที่สหราชอาณาจักรสูญเสียความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมในช่วงศตวรรษที่ 19 ให้กับสหรัฐอเมริกาเมื่อนวัตกรรมของอังกฤษขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง ถึงระยะหนึ่งพวกเขาก็เริ่มสูญเสียการควบคุม เพราะไปมุ่งเน้นแต่การเก็บเกี่ยวผลกำไรจากการค้าและบริการ มากกว่าการพัฒนาด้านวัตกรรม แต่กว่าจะนึกได้ก็สายไปแล้ว
ปัจจุบันสหรัฐอเมริกายังคงเป็นผู้นำนะครับ โดยเฉพาะนวัตกรรมด้านการทหารและอวกาศยาน ถือว่ายังนำห่างกว่าประเทศอื่นๆ อยู่ราว 20 ปี แต่กาลเวลาก็พิสูจน์แล้วว่าตัวเลข 20 ไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินเอื้อมเลย และไม่น่าจะมีใครอยากทะเลาะกัน ทำสงครามกันได้ตลอดเวลา
โดนัลด์ ทรัมป์ อาจกำลังขายฝันว่าอเมริกาจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งในสมัยของเขา ด้วยความคิดที่ว่า ยังไงประเทศอื่นก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะสหรัฐอเมริกาได้
แต่ผมคิดว่าถ้าอเมริกาอยากอยู่รอด ถึงเวลาที่ต้องตื่นจากฝันแล้วจริงๆ
อ้างอิง
เชิงอรรถ
[1] Wilson Center ชื่อเต็มคือ The Woodrow Wilson International Center for Scholars ก่อตั้งขึ้นในปี 1968 เพื่อเป็นเกียรติแก่ วูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) ประธานาธิบดีคนที่ 28 ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นนักวิชาการและเป็นประธานาธิบดีคนเดียวที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก
Wilson Center ก่อตั้งขึ้นโดยรัฐสภาสหรัฐอเมริกา และผ่านการออกกฎหมายที่ลงนามโดยประธานาธิบดี ลินดอน บี. จอห์นสัน (Lyndon B. Johnson) ในวันที่ 24 ตุลาคม 1968 Wilson Center ถูกออกแบบให้เป็นศูนย์กลางที่รวบรวมนักวิชาการ ผู้กำหนดนโยบาย และผู้นำทางความคิดมาทำงานร่วมกัน เพื่อวิเคราะห์ปัญหาทั่วโลกและเสนอแนวทางแก้ไขในลักษณะที่เชื่อมโยงระหว่างวิชาการและนโยบาย Wilson Center ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งใน think tanks ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก โดยเน้นการส่งเสริมการวิจัยและบทสนทนาในประเด็นระหว่างประเทศ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม