อย่างคาดไม่ถึง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ กระโดดคว้าธงนำเข้าสู่เส้นชัยในความขัดแย้งชายแดนที่รุนแรงระหว่างไทยกับกัมพูชา สร้างคะแนนเต็มให้แก่ตัวเขา ไม่ใช่ประธานอาเซียนซึ่งเคยพยายามเสนอการเจรจาสงบศึกก่อนแล้วแต่ไม่ได้ผล ไม่เหลือคะแนนให้แก่อีกมหาอำนาจในภูมิภาคนี้คือจีน เพราะขยับรำมวยช้าและพูดไม่ออก ไม่เหมือนทรัมป์ที่ออกมาประกาศผ่านโซเชียลมีเดียของเขาเองเลยว่า เพิ่งคุยโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและต่อด้วยนายกรัฐมนตรีไทย ว่าถ้าทั้งสองประเทศยังไม่หยุดการสู้รบกัน เขาจะไม่เซ็นข้อตกลงเรื่องภาษีนำเข้ากับสองประเทศ เป็นการบลัฟที่ไม่ปิดบังและไม่สงวนคำพูดว่าต้องถูกต้องตามระเบียบพิธีการทูตใดๆ ทั้งสิ้น ‘พูดได้ตามใจคือทรัมป์แท้’
จากนั้นก็ตามมาด้วยบทวิเคราะห์ วิจารณ์ และวิพากษ์ว่าบทบาทสหรัฐฯ ในคราวนี้อยู่ในร่องในรอยหรือไม่ หรือว่าเป็นหนทางใหม่ในนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลทรัมป์ คนที่เคยรับรู้บทบาทของสหรัฐฯ ในอดีตยุคสงครามเย็น โดยเฉพาะการนำไปสู่สงครามอินโดจีน ก็มองว่าสหรัฐฯ เข้ามาเพื่อรักษาฐานอำนาจการเมืองเก่าที่เคยมี มองว่าไทยเคยเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของอเมริกา รับความช่วยเหลือทั้งทางทหารและเศรษฐกิจมากมาย แต่นักสังเกตการณ์ใหม่โต้แนววิเคราะห์เก่านี้ บอกว่าไม่จริงแล้ว บัดนี้ความช่วยเหลือดังกล่าวหมดไปแล้ว ไม่มีอะไรมากอีกต่อไป ปัญหาการตกเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ก็ไม่มีอีกต่อไป ยิ่งมองทางเศรษฐกิจการค้า ไทยมีการค้าแลกเปลี่ยนกับจีนมากกว่ากับสหรัฐฯ เสียอีก จุดนี้เองที่ทำให้การมองว่าทรัมป์ออกมาประกาศลัทธิทรัมป์ที่ดูเหมือนเป็นมิตรอย่างมากกับกัมพูชาและไทยจึงน่าจะไม่ใช่ท่าทีและนโยบายต่างประเทศของอเมริกาใต้ทรัมป์แบบที่เคยเป็นมาก่อนนี้
ผมก็อดแปลกใจไม่ได้เมื่อได้ยินข่าวว่าทรัมป์โทรศัพท์ถึงผู้นำกัมพูชาและไทยโดยตรง หลังจากการปรึกษากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายมาร์โค รูบิโอ มือใหม่ที่มาจากวุฒิสภามลรัฐฟลอริดา เขาเป็นนักการเมืองสายรีพับลิกันที่มีบทบาทโดดเด่นในด้านนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะจุดยืนแข็งกร้าวต่อจีนและการสนับสนุนไต้หวัน และยังเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายคิวบาคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ
นายรูบิโอกล่าวด้วยว่าได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ต่างประเทศอเมริกันลงไปช่วยการเจรจาในมาเลเซียด้วย นับว่าอเมริกาแสดงบทบาทอย่างมากในการจัดการให้มีการเจรจาหยุดยิงครั้งนี้ ยังไม่มีข้อมูลจากทางฝ่ายจีนว่าเขาเดินเกมเรื่องนี้อย่างไร เป็นฝ่ายริเริ่มการเจรจาด้วยไหม หรือว่ารอจากทางมาเลเซียและไทยและกัมพูชาก่อน ซึ่งไม่น่าจะใช่ เพราะจีนไม่ใช่ประเทศเล็กและไร้บทบาทในภูมิภาคนี้แต่อย่างใด
อีกประเด็นที่น่าติดตามอันเป็นผลมาจากการจัดการเจรจาหยุดยิงได้สำเร็จ คือการเริ่มเห็นบทบาทของอาเซียนว่าเริ่มมีอะไรที่ไม่เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ถ้าเป็นวิถีแบบอาเซียนก็ต้องปล่อยให้แต่ละประเทศยินยอมพร้อมใจกันเอง ยากที่ประธานหรือสมาชิกจะยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ยได้ ทุกสมาชิกประเทศอ้างว่าอาเซียนไม่อาจแทรกแซงในกิจการภายในของประเทศอื่นได้ อันนี้เป็นสปิริตที่เป็นอุปสรรคต่อการยกระดับองค์กรภูมิภาคนี้ให้มีประสิทธิภาพและเป็นองค์กรที่ทำงานระหว่างประเทศได้จริงๆ ไม่ใช่ดีแต่จัดการประชุมเป็นหลัก คือดีแต่พูดแต่ไม่อาจทำอะไรได้ นายกฯ อันวาร์ อิบราฮิมจึงได้รับเสียงปรบมือจากนานาประเทศอย่างไม่เคยมีมาก่อน
แนวทางของทรัมป์แบบนี้พอจับทางได้ว่าเป็นแนวดำเนินธุรกิจที่เขาถนัด คือเขาเป็นคนเคาะราคาระหว่างนักธุรกิจด้วยกัน จากนั้นก็ต่อรองกันว่าจะตกลงกันที่เท่าไร ผลลัพธ์จึงอยู่ที่คู่ค้าแต่ละคนจะมีน้ำยาและทุนของตนเองมากน้อยอย่างไร กรณีขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาจึงอยู่ที่เงื่อนไขภายในของสองประเทศเองว่าจะมีพลังและสมรรถภาพมากน้อยแค่ไหนในการผลักดันการเจรจานี้ไปสู่จุดหมายสุดท้ายคือสันติภาพ แต่ระหว่างนี้คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สหรัฐฯ และทรัมป์ได้เก็บคะแนนและภาพลักษณ์ที่น่าชื่นชมไปเรียบร้อย ทรัมป์แถลงและสรุปเรื่องให้สื่อมวลชนเอง ไม่ต้องเสียเวลาให้กระทรวงทบวงกรมต่างๆ ออกมาแถลงผ่านโฆษกที่พูดไปตามใบสั่ง นักข่าวถามก็ตอบไม่ค่อยได้เต็มที่
คราวนี้ทรัมป์ปฏิรูปงานโฆษณาการของสหรัฐฯ ใหม่หมด ด้วยการให้เขาพูดเองเลย คนที่เป็นที่ปรึกษาเขาจึงต้องทำงานเร็วและรู้ใจ จึงไม่น่าสงสัยว่าบรรดารัฐมนตรีและหัวหน้าหน่วยงานต่างๆ ที่เขาแต่งตั้ง หลายคนเป็นคนหน้าเดิมในวงการสื่อมวลชน เช่น พีต เฮกเซธ (Pete Hegseth) รัฐมนตรีกลาโหม เคยเป็นอดีตผู้จัดรายการให้ฟ็อกซ์นิวส์ แคช พาเทล (Kash Patel) อดีตทนายความและอดีตอัยการรัฐบาลกลางจากฟลอริดา มีประสบการณ์ด้านกฎหมายและความมั่นคงแห่งชาติมาอย่างยาวนาน ก่อนจะเข้าสู่แวดวงการเมืองและความมั่นคงในรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์และกระทรวงกลาโหม ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2025 และแพม บอนดี (Pam Bondi) เจ้ากระทรวงยุติธรรม ล้วนเป็นอดีตนักวิเคราะห์และผู้ดำเนินรายการทางโทรทัศน์ เคยปรากฏตัวในรายการ Fox News และ MSNBC รวมถึงเคยเป็นพิธีกรร่วมในรายการ ‘The Five’ ขณะยังดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดในมลรัฐฟลอริดา ซึ่งสร้างข้อถกเถียงด้านจริยธรรม สังเกตว่าคนที่ทรัมป์ไว้วางใจมาจากมลรัฐฟลอริดาฐานการเงินเขากับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์มากที่สุด
กลับมาประเด็นว่าทรัมป์มีจุดหมายอะไรในการเข้าจัดการยุติความขัดแย้งทางทหารในไทยกับกัมพูชา ทำไมไม่ทำในเมียนมา เราคงยังไม่รู้แน่ๆ ว่าจุดประสงค์จริงๆ ของเขาคืออะไร นอกจากเป็นการคาดเดาและพิจารณาจุดยืนและผลสะเทือนของการเดินนโยบายว่าจะออกมาอย่างไร ในเรื่องนี้จุดหมายแรกที่พอพูดได้คือการกำหนดท่าทีและจุดยืนของสหรัฐฯ ในเวทีการเมืองโลก ในลักษณะที่ใกล้กับนโยบายซึ่งก่อนนี้เรียกว่าลัทธิมอนโร (Monroe Doctrine) ประกาศโดยประธานาธิบดีเจมส์ มอนโร เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1823 เพื่อกำหนดจุดยืนของสหรัฐฯ ต่อการแทรกแซงของชาติยุโรปในทวีปอเมริกา แนวคิดหลักคือป้องกันการล่าอาณานิคมของยุโรป ในทวีปอเมริกา โดยเฉพาะในลาตินอเมริกาที่เพิ่งได้รับเอกราช รักษาเสถียรภาพและความปลอดภัยของสหรัฐฯ จากการแทรกแซงของมหาอำนาจยุโรป สุดท้ายส่งเสริมแนวคิด ‘อเมริกาเพื่อชาวอเมริกัน’ หมายถึง ทวีปอเมริกาควรเป็นเขตอิทธิพลของชาวอเมริกัน ไม่ใช่ของยุโรป
ในช่วงแรก สหรัฐฯ ยังไม่มีกำลังพอจะบังคับใช้ แต่เมื่อแข็งแกร่งขึ้น ลัทธิมอนโรถูกใช้เป็นข้ออ้างในการแทรกแซงประเทศในลาตินอเมริกา เช่น คิวบา ปานามา และนิการากัว ในระยะยาวลัทธิมอนโรกลายเป็นเครื่องมือในการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องประชาธิปไตยและความมั่นคงของภูมิภาค ลัทธินี้จึงเป็นมากกว่าคำประกาศ หากมันคือจุดเริ่มต้นของการที่สหรัฐฯ วางตัวเป็น ‘ผู้พิทักษ์’ ของซีกโลกตะวันตก และเป็นรากฐานของนโยบายแทรกแซงในศตวรรษต่อมา
ผมกำลังคิดว่า ตอนแรกเมื่อทรัมป์ประกาศออกจากนาโตและอียู ไม่เอาการร่วมองค์กรระดับโลกแบบสงครามเย็นอีกแล้ว รวมไปถึงไม่สนใจการสร้างแนวร่วมและพันธมิตรกับประเทศใหญ่น้อยอื่นๆ ทั่วโลก มัวแต่วุ่นกับการหารายได้จากการเก็บภาษีที่ตั้งไว้เสียสูงลิ่ว จนคนพากันกล่าวว่านโยบายต่างประเทศของทรัมป์คือการโดดเดี่ยวตัวเองออกจากคนอื่น เพราะสอดคล้องกับคำขวัญของกลุ่มสนับสนุนเขาว่า MAGA หรือสร้างอเมริกาให้ใหญ่อีกครั้ง อเมริกาเพื่ออเมริกากลับมาอีกครั้งแล้ว
ในหลายเดือนที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญาณใหม่ออกมาจากทำเนียบข่าว ในช่วงปี 2025 โดนัลด์ ทรัมป์เปิดเจรจากับผู้นำจากห้าประเทศในแอฟริกาตะวันตก ได้แก่ เซเนกัล, ไลบีเรีย, กินี-บิสเซา, มอริเตเนีย และกาบอง โดยมีจุดหมายคือส่งเสริมการค้าและการลงทุน แทนการให้ความช่วยเหลือแบบดั้งเดิม เข้าถึงทรัพยากรแร่ธาตุ เช่น แมงกานีส ลิเทียม โคบอลต์ และทองคำ ลดอิทธิพลของจีนและรัสเซียในภูมิภาคแอฟริกา ปรับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ โดยเน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนมากขึ้น ทรัมป์ยังเสนอว่าประเทศเหล่านี้อาจได้รับการยกเว้นจากมาตรการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มใช้ในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ปี 2025 รัฐบาลทรัมป์เปิดเจรจาและทำข้อตกลงกับหลายประเทศในอาเซียน โดยเน้นเรื่องภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) และการเปิดตลาดสินค้าอเมริกันเข้าสู่ภูมิภาคอาเซียน ลดการขาดดุลการค้ากับประเทศอาเซียน ส่งเสริมการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ โดยเฉพาะพลังงานและเทคโนโลยี กดดันให้ประเทศอาเซียนหยุด ‘การสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิด’ สินค้าจีน (transshipment) ข้อตกลงเหล่านี้สะท้อนแนวทางใหม่ของสหรัฐฯ ที่เน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากกว่าความช่วยเหลือแบบเดิม และยังเป็นการปรับสมดุลอิทธิพลในภูมิภาคที่จีนและรัสเซียมีบทบาทเพิ่มขึ้น
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากการเดินหมากในเวทีระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิดแล้ว พอกล่าวได้ว่าทรัมป์เริ่มเดินนโยบายแบบลัทธิมอนโร แต่เป็นเนื้อหาใหม่ แทนที่จะเน้นแต่ทวีปอเมริกาและลาตินอเมริกาเหมือนแต่ก่อน บัดนี้ขยายไปยังทวีปอื่นๆ จากแอฟริกาและมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย การโทร.คุยกับผู้นำไทย กัมพูชา และมาเลเซีย รวมถึงการจัดการและติดตามดูแลให้การเจรจายุติความรุนแรงในชายแดนครั้งนี้บรรลุผลสำเร็จให้ได้ จะเป็นผลงานที่สร้างฐานะและความกลับมาได้เปรียบของอเมริกาอีกครั้งในการเมืองระหว่างประเทศต่อไป
สรุปลักษณะเด่นของนโยบายต่างประเทศของทรัมป์ ได้แก่การต่อรองแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่การให้เปล่าแต่มีผลประโยชน์อย่างอื่นที่ใหญ่กว่า เรียกรวมๆ ว่าเสรีนิยมประชาธิปไตยอยู่เบื้องหลัง คราวนี้เขาทิ้งอุดมการณ์นั้นไปหมดสิ้น ไม่มีคำหวานที่กินใจเรื่องสิทธิมนุษยชนหรือความเท่าเทียมกันอีกต่อไป หากแต่ดำเนินการกันซึ่งๆ หน้า ไม่มีเบื้องหลัง และต้องมาในรูปของกำไรที่นับได้ ดังนั้นผู้นำของประเทศอื่นๆ จึงต้องปรับตัวและความคิดเพื่อรับมือกับการเจรจาธุรกิจการเมืองกับทรัมป์ให้ได้ผลต่อไป