ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างปรากฏการณ์สะเทือนการเมืองอเมริกันอีกครั้ง ด้วยการท้าทายอำนาจสถาบันตุลาการซึ่งเป็นหนึ่งในสามเสาหลักของระบอบประชาธิปไตย
ประเด็น ‘การใช้อำนาจ’ ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลายเป็นหัวข้อถกเถียงในสังคมอเมริกันอย่างกว้างขวาง หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามใช้อำนาจตามกฎหมายบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act หรือ IEEPA) เพื่อขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ ส่งผลให้เมื่อวันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2568 ศาลการค้าระหว่างประเทศในนครนิวยอร์ก ต้องพิจารณาว่าประธานาธิบดีมีอำนาจ ‘ตามอำเภอใจ’ ในเรื่องนี้จริงหรือไม่
ทรัมป์มองว่าการขาดดุลการค้าคือ ‘ภัยคุกคาม’ ต่อเศรษฐกิจของประเทศ และเชื่อว่าการขึ้นภาษีคือ ‘ยาแรง’ ที่จะช่วยเยียวยาวิกฤตนี้ได้ ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จึงใช้อำนาจโดยอ้างกฎ IEEPA ซึ่งเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นในปี 1977 และไม่เคยมีใครนำมาใช้ขึ้นภาษีครั้งใหญ่เช่นนี้มาก่อน
ขณะเดียวกัน คณะผู้พิพากษา 3 คนของศาลการค้าระหว่างประเทศ ประกอบด้วยผู้พิพากษาที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีทั้งฝ่ายอนุรักษนิยม (รีพับลิกัน) และฝ่ายเสรีนิยม (เดโมแครต) กลับมองการใช้อำนาจต่างออกไป
ในคำตัดสินเมื่อวันพุธที่ 28 พฤษภาคม คณะผู้พิพากษาชี้ว่ากฎหมาย IEEPA ไม่ได้ให้อำนาจประธานาธิบดีกำหนดภาษีได้ตามใจชอบ เนื่องจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต้องตั้งอยู่บนเหตุผลที่ ‘ไม่ปกติและพิเศษ’ การอ้างถึงภาวะขาดดุลการค้าเพียงเรื่องเดียว ไม่เพียงพอให้ประธานาธิบดีใช้อำนาจเกินขอบเขตได้

แต่ทรัมป์ยังคงเป็นทรัมป์ เมื่อเห็นว่าศาลขัดขวางแนวทางของตัวเอง ก็โพสต์ข้อความแสดงอาการไม่พอใจบนโซเชียลมีเดีย และตั้งคำถามถึงแรงจูงใจของผู้พิพากษาในทำนองว่า “ผู้พิพากษาพวกนี้เป็นใคร มาจากไหน สร้างความเสียหายให้อเมริกาขนาดนี้ได้อย่างไร หรือเพราะเกลียดชัง ‘ทรัมป์’ เป็นการส่วนตัว”
ลีลาการเบี่ยงประเด็นจากหลักกฎหมายไปเป็นเรื่องความรู้สึกส่วนตัวเป็นสไตล์เฉพาะตัวของทรัมป์ ซึ่งสอดรับกับโฆษกของทำเนียบขาว ที่สนับสนุนคำพูดนั้นด้วย โดยโฆษก คุช เดไซ (Kush Desai) พาดพิงถึงศาลว่า “ไม่ใช่หน้าที่ของผู้พิพากษาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ที่จะตัดสินใจว่าจะรับมือกับวิกฤติของชาติอย่างไร”
ส่วนโฆษก แคโรไลน์ เลวิตต์ (Karoline Leavitt) กล่าวหาผู้พิพากษาว่า “ใช้อำนาจตุลาการในทางที่ผิดอย่างโจ่งแจ้ง เพื่อแย่งชิงอำนาจของประธานาธิบดี” การแสดงออกเช่นนี้คล้ายจะสื่อว่าฝ่ายบริหารไม่พอใจอย่างแรง ที่ถูกตรวจสอบการใช้อำนาจ

เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านั้น เมื่อฝ่ายบริหารของทรัมป์ยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสินของศาล โดยในวันที่ 29 พฤษภาคม ศาลอุทธรณ์กลาง (United States Court of Appeals for the Federal Circuit) มีคำสั่ง “พักการบังคับใช้คำสั่ง” ของศาลล่างเป็นการชั่วคราว ซึ่งส่งผลให้นโยบายภาษีของทรัมป์กลับมามีผลอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม คำสั่งนี้ไม่ใช่การกลับคำตัดสิน แต่เป็นกระบวนการปกติในระหว่างการพิจารณาคดี
ในการยื่นคำร้องขอให้ระงับคำสั่งศาลต่อศาลการค้าระหว่างประเทศเมื่อ 29 พฤษภาคม กระทรวงยุติธรรมของทรัมป์อ้างเหตุผลเรื่อง ‘ความมั่นคงของชาติ’ และ ‘การดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ละเอียดอ่อน’ พร้อมระบุว่าหากสหรัฐฯ ระงับการขึ้นภาษี จะทำให้สูญเสียเครื่องมือในการเจรจาทางการค้า และจะเสียเปรียบบนเวทีการค้าโลก
ความขัดแย้งระหว่างทรัมป์และฝ่ายตุลาการครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นประเด็น ‘การแบ่งแยกอำนาจ’ ซึ่งเป็นหัวใจของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องภาษี ตามหลักการแล้ว รัฐธรรมนูญระบุให้รัฐสภามีอำนาจกำหนดภาษี แต่ทรัมป์กลับใช้อำนาจนี้ผ่านช่องทางพิเศษของฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นการท้าทายหลักการโดยตรง
จูเลียน เซลิเซอร์ (Julian Zelizer) นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton) คิดเห็นต่อกรณีนี้ว่า ทรัมป์กำลังพยายามบรรลุเป้าหมายโดยไม่ผ่านกระบวนการทางกฎหมายปกติ และการตัดสินใจหลายครั้ง “ขาดพื้นฐานทางกฎหมายที่แข็งแรง”
ขณะที่ ดักลาส บริงค์ลีย์ (Douglas Brinkley) ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยไรซ์ (Rice University) มองว่า ทรัมป์ไม่เข้าใจว่าการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล คือการแสดงท่าทีต่อต้านสหรัฐอเมริกา เสมือนประกาศว่า “ฉันใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ”

นอกจากนี้ ในวันที่ 29 พฤษภาคม ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ รูดอล์ฟ คอนเทรราส (Rudolph Contreras) ซึ่งแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีโอบามา ก็มีคำตัดสินในทิศทางเดียวกัน ว่านโยบายภาษีของทรัมป์ “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” แม้คำสั่งของผู้พิพากษาคอนเทรราสจะบังคับใช้เฉพาะกับบริษัทสองแห่งที่ยื่นฟ้อง แต่คำตัดสินนี้ยิ่งตอกย้ำทิศทางที่ฝ่ายตุลาการกำลัง “ตั้งรับ” เพื่อต่อสู้กับฝ่ายบริหาร
ประเด็นที่น่าคิดต่อไปคือ ทรัมป์อาจมองว่าคำตัดสินของศาลเป็น ‘อุปสรรค’ ที่ต้องกำจัด หรือมองว่าผู้พิพากษาเป็น ‘กลุ่มนักเคลื่อนไหว’ ที่พยายามขัดขวางนโยบายภาษีของตัวเอง
ทัศนะเช่นนี้สะท้อนจากการให้สัมภาษณ์ของ ปีเตอร์ นาวาร์โร (Peter Navarro) ที่ปรึกษาการค้าของทรัมป์ ซึ่งกล่าวกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า “ศาลในประเทศนี้กำลังมุ่งโจมตีประชาชนอเมริกัน” ซึ่งเป็นวาทกรรมที่จะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันตุลาการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ท้ายที่สุด ไม่ว่าศาลจะมีคำตัดสินต่อไปอย่างไร ปรากฏการณ์ “ทรัมป์ท้าทายอำนาจศาล” คงกระตุ้นให้สังคมอเมริกันต้องขบคิดถึงการรักษาสมดุลอำนาจของผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ หลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยคือการตรวจสอบและถ่วงดุล เพื่อป้องกันไม่ให้อำนาจใดอำนาจหนึ่งยิ่งใหญ่เกินไป จนอาจนำไปสู่ “เผด็จการเสียงข้างมาก” หรือ “เผด็จการโดยคนๆ เดียว” แม้ผู้นำคนนั้นจะอ้างว่ากระทำการเพื่อ “ผลประโยชน์ของชาติ” มากเพียงใดก็ตาม
บทสรุปของเรื่องนี้จึงอยู่ที่ ‘ประชาชน’ ที่จะต้องย้อนถามผู้นำเหล่านั้นดังๆ ว่าใครกันคือเจ้าของอธิปไตยที่แท้จริง
สรุปสถานการณ์ภาษีทรัมป์ (30 พฤษภาคม 2568)
สืบเนื่องจากคำสั่งของศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เมื่อ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ให้ระงับคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เอาไว้ก่อน ส่งผลให้มาตรการภาษี ตามกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (IEEPA) ซึ่งครอบคลุมการขึ้นภาษีสินค้าทั่วไป (อัตรา 10%) ที่นำเข้าจากทั่วโลก และมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน ยังคง “มีผล” บังคับใช้ชั่วคราว
สินค้าประเภท “รถยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียม” (อัตรา 25%) ยังคงมีมาตรการภาษีบังคับใช้เช่นกัน อ้างอิงจากการคุ้มครองความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติภายใต้มาตรา 232 ของกฎหมายขยายโอกาสทางการค้าปี 1962 (Trade Expansion Act of 1962) ซึ่งเป็นคนละส่วนกับมาตรการภาษีภายใต้กฎหมาย IEEPA ที่เป็นข้อถกเถียง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ศาลอุทธรณ์กำลังพิจารณาคำอุทธรณ์ของฝ่ายบริหาร ซึ่งหมายความว่าการบังคับใช้มาตรการภาษีจะยังคงไม่แน่นอน จนกว่ากระบวนการทางกฎหมายจะสิ้นสุดลง และนี่หมายถึงระเบิดเวลาของเศรษฐกิจโลกด้วย
ข้อมูลอ้างอิง:
- Trump’s big plans on trade and more run up against laws of political gravity, separation of powers
- Appeals court reinstates Trump’s tariffs for now after ruling blocking them
- Bessent says China trade talks ‘a bit stalled’