รัฐบาลหลายประเทศกำลังเร่งรัดเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยประกาศไว้เมื่อเดือนเมษายนและระงับไว้ชั่วคราว 90 วัน โดยกำหนดเส้นตายที่จะมีผลในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568
ขณะนี้ ประเทศต่างๆ จะต้องเผชิญมาตรการภาษีของสหรัฐฯ สองรูปแบบ รูปแบบแรกคือ ‘ภาษีตอบโต้’ (Reciprocal Tariffs) ที่บังคับเก็บภาษี 10% กับสินค้าทั่วไป ส่วนรูปแบบที่สองคือ ‘ภาษีนำเข้า’ สินค้าอุตสาหกรรมเฉพาะกลุ่ม ซึ่งสหรัฐฯ อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติภายใต้มาตรา 232 ของกฎหมาย Trade Expansion Act ปี 1962
สหรัฐฯ ได้ประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นมาตรการล่าสุดในสงครามการค้า และกำลังพิจารณาเก็บอากรขาเข้ากับสินค้าอื่นเพิ่มเติม เช่น ยารักษาโรค เซมิคอนดักเตอร์ ไม้แปรรูป และทองแดง
นักวิเคราะห์ชี้ว่าหลายประเทศกังวลกับมาตรการส่วนนี้ เพราะไม่ได้อยู่ในข้อตกลงการค้าช่วงแรก และอาจถูกหยิบยกมาใช้ต่อรองได้ทุกเมื่อ สถานการณ์การเจรจาจะยังไม่ชัดเจนตราบใดที่สหรัฐฯ ยังใช้มาตรการนี้ต่อรอง และทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทรัมป์เพียงคนเดียว

สหรัฐฯ ทำข้อตกลงสำเร็จ 2 ฉบับ
ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนมาตรการภาษีจะมีผล ฮาวเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่าการเจรจาการค้าคืบหน้าไปมาก แต่ฝ่ายบริหารกลับเปิดเผยรายละเอียดเพียงเล็กน้อย มีเพียงจีนและสหราชอาณาจักรเท่านั้นที่บรรลุข้อตกลงอย่างเป็นทางการ
ข้อตกลงแรกคือ ‘การเจรจาหุ้นส่วนเพื่อความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ’ (Prosperity Partnership Agreement) ระหว่างสหรัฐฯ กับสหราชอาณาจักร ซึ่งมีผลเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 โดยสหราชอาณาจักรตกลงยอมรับภาษีสินค้าทั่วไป 10% แต่ให้สหรัฐฯ ลดภาษีรถยนต์จาก 25% เป็น 10% ผ่านการจำกัดโควตาหนึ่งแสนคันต่อปี และลดภาษีเครื่องบินเหลือ 10% เพื่อแลกกับการเปิดตลาดให้สินค้าเกษตรของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ข้อตกลงนี้ไม่ครอบคลุมภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นเป็น 50% ซึ่งต่อมาทรัมป์ลดให้เหลือ 25%
ส่วนอีกข้อตกลงคือ ‘กรอบความตกลงยอมรับร่วมของจีน‘ (Framework Agreement) ที่ลุล่วงในเดือนมิถุนายน 2568 โดยจีนยอมเร่งส่งออกแร่หายากให้สหรัฐฯ เพื่อแลกกับการที่สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้าบางประเด็น ข้อตกลงนี้สะท้อนเกมการเจรจาแบบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ (transactional) ของทรัมป์ ซึ่งพร้อมจะตกลงในประเด็นยุทธศาสตร์ แต่ยังใช้มาตรการภาษีโดยรวมเป็นเครื่องมือต่อรองต่อไป

ไทยยังปิดดีลไม่ได้
สถานการณ์ของไทยยังน่ากังวล เพราะเสี่ยงที่จะถูกเก็บภาษีตอบโต้สูงถึง 36% หากการเจรจาเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 ล้มเหลว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าผลกระทบดังกล่าวจะทำให้การส่งออกของไทยในปี 2568 หดตัว -0.5% และฉุดตัวเลขจีดีพีให้ลดลงเหลือ 1.4-1.9% ภาคส่วนที่เปราะบางที่สุดคือ อะไหล่ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าเกษตร
คณะผู้แทนเจรจาของไทย นำโดยพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งเป้าหมายโน้มน้าวให้สหรัฐฯ ลดอัตราภาษีให้ใกล้เคียง 10% มากที่สุด โดยยึดหลักการว่าไทยไม่ควรถูกปฏิบัติอย่างรุนแรงกว่าประเทศอื่น เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน
ทีมเจรจาได้เตรียมข้อเสนอที่จะลดดุลการค้าและเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น ก๊าซแอลเอ็นจี ข้าวโพด และกากถั่วเหลือง รวมถึงยกระดับมาตรการปราบปรามการสวมสิทธิ์สินค้าจากจีน และพร้อมหารือเพื่อแก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ให้ความสำคัญ
ล่าสุด พิชัย เปิดเผยผลการเจรจากับสหรัฐฯ เมื่อ 4 กรกฎาคม โดยยอมรับว่ายังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงสุดท้ายได้ แต่ถือเป็นความคืบหน้าที่ทั้งสองประเทศได้สร้างความเข้าใจในระดับนโยบายและหลักปฏิบัติร่วมกัน และช่วยให้ไทยเข้าใจความต้องการเชิงลึกของสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น พร้อมกับเน้นย้ำจุดยืนว่า ข้อตกลงใดๆ จะต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักการที่ปฏิบัติได้จริง และเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย หลังจากนี้จะนำข้อมูลกลับมาพิจารณา เพื่อปรับปรุงและเร่งจัดทำข้อเสนอเพิ่มเติมให้ตรงกับความต้องการของสองประเทศ

ประเทศไหนถือไพ่เหนือกว่า?
ทีมวิจัยจากสถาบันการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแอดิเลด (University of Adelaide) ประเทศออสเตรเลีย ประเมินอำนาจต่อรองของประเทศต่างๆ ผ่านปัจจัยหลายด้าน ได้แก่ ขนาดเศรษฐกิจ ภูมิศาสตร์ ความสัมพันธ์ทางการเมือง การควบคุมทรัพยากร มาตรการตอบโต้ และการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ เพื่อจัดกลุ่มประเทศตามข้อได้เปรียบและเสียเปรียบในการเจรจา ตัวอย่างเช่น สหราชอาณาจักรได้เปรียบจากการเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ มายาวนาน ขณะที่จีนมีทรัพยากรที่ให้อำนาจต่อรองสูง
- จีน
นโยบายภาษีของสหรัฐฯ ต่อจีนแตกต่างจากชาติอื่น ส่งผลให้อัตราภาษีเฉลี่ยรวมสูงถึง 51.1% โครงสร้างภาษีมีสี่รูปแบบ ประกอบด้วย ภาษีตอบโต้ 10% ภาษีเฟนทานิล 20% ภาษีสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี 25% และภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม 50%
การเจรจาการค้าหลายครั้งนำไปสู่การลดอัตราภาษีชั่วคราวและระงับมาตรการตอบโต้ ในที่สุดทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงในประเด็นสำคัญ โดยจีนตกลงจะส่งออกแร่ธาตุหายากให้สหรัฐฯ แลกกับการผ่อนคลายข้อจำกัดทางการค้าบางประการ ทั้งนี้ มีการกำหนดเส้นตายเพื่อวางกรอบข้อตกลงไว้ในเดือนสิงหาคมนี้
จีนยืนยันชัดเจนว่าจะไม่ผ่อนปรนให้สหรัฐฯ เหมือนในรัฐบาลสมัยแรก เพราะปัจจุบันจีนมีอำนาจต่อรองสูงจากการเป็นผู้ควบคุมแหล่งแร่หายาก ซึ่งสหรัฐฯ ยังไม่สามารถหาแหล่งนำเข้าอื่นมาทดแทนได้
- สหภาพยุโรป
สหภาพยุโรปกำลังเผชิญสถานการณ์ตึงเครียด หลังจากทรัมป์ขู่จะเพิ่มอัตราภาษีเป็น 50% โดยให้เหตุผลว่าการเจรจายังไม่คืบหน้า ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีสินค้าจากสหภาพยุโรป 20% ในวันที่ 2 เมษายน ก่อนจะลดลงเหลือ 10% เพื่อเปิดโอกาสให้เจรจา
ขณะที่ฝ่ายยุโรปพยายามผลักดันข้อตกลงเพื่อยกเว้นภาษีในอุตสาหกรรมเฉพาะกลุ่ม เช่น ยา สุรา เซมิคอนดักเตอร์ และเครื่องบินพาณิชย์ แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ นอกจากนี้ ยุโรปยังแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ รวมทั้งยืนยันจะไม่ผ่อนปรนกฎหมายควบคุมแพลตฟอร์มดิจิทัล และพร้อมออกมาตรการตอบโต้หากจำเป็น
- แคนาดา
แคนาดาเป็นชาติที่มีความสามารถในการต่อรองสูงและมีประสบการณ์ใช้มาตรการตอบโต้กับสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น หลังจากทรัมป์ขู่จะยุติการเจรจาและเพิ่มอัตราภาษี รัฐบาลแคนาดาได้ประกาศยกเลิกภาษีบริการดิจิทัล (Digital Services Tax) ที่เรียกเก็บ 3% จากรายได้ของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ เช่น กูเกิล เมตา และแอมะซอน
การยกเลิกภาษีเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2568 เพียงหนึ่งวันก่อนที่บริษัทเหล่านี้จะต้องชำระเงินงวดแรก ทำให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาเจรจากันได้ และตั้งเป้าบรรลุข้อตกลงในวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 หากแคนาดาไม่ยกเลิกมาตรการดังกล่าว ผู้ให้บริการดิจิทัลจะต้องจ่ายภาษีย้อนหลังตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งคาดว่าบริษัทอเมริกันจะเสียภาษีให้แคนาดากว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- ออสเตรเลีย
ในช่วงแรก ออสเตรเลียมีท่าทีระมัดระวังในการเจรจากับสหรัฐฯ เนื่องจากมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน ต่อมาได้ปรับท่าทีโดยนำจุดแข็งมาใช้ต่อรอง เช่น ความร่วมมือด้านแร่หายาก การอนุญาตให้สหรัฐฯ เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร และความร่วมมือผ่านข้อตกลง AUKUS เพื่อเสริมความมั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
แนวทางนี้เป็นเครื่องมือต่อรองในบริบทความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน เพื่อให้สหรัฐฯ ผ่อนปรนภาษีสินค้าทั่วไป 10% ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม 50% และภาษีอะไหล่ยานยนต์ 25% รวมถึงสินค้าที่ส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจอย่างเนื้อวัวและแร่หายาก

ประเทศที่ยังพอมีแรงต่อรอง
กลุ่มประเทศนี้แม้จะถูกกดดันอย่างหนัก แต่ยังพอมีช่องทางและประเด็นที่ใช้ต่อรองได้บ้าง เช่น ญี่ปุ่นและอินเดียที่อยู่ระหว่างพักการเจรจาเพื่อหาแนวทาง
- ญี่ปุ่น
สถานการณ์ของญี่ปุ่นยังไม่ชัดเจนว่าจะสามารถลดอัตราภาษี 25% ได้หรือไม่ หลังจากทรัมป์เรียกร้องให้ญี่ปุ่นนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้นและไม่พอใจนโยบายการนำเข้าข้าว ต่อมาสหรัฐฯ ได้เพิ่มข้อเรียกร้องให้ญี่ปุ่นเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม ขณะที่ทรัมป์ขู่จะขึ้นภาษีสินค้าญี่ปุ่นถึง 35% หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงก่อนเส้นตาย ญี่ปุ่นจึงตัดสินใจชะลอการเจรจาออกไปและยังรอดูท่าทีว่าจะใช้มาตรการโต้กลับหรือไม่
- อินเดีย
การเจรจาการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 กำลังหารือข้อตกลงทวิภาคี (Bilateral Trade Agreement) ก่อนถึงเส้นตายของมาตรการภาษี 26% โดยอินเดียเสนอลดภาษีสินค้า 19 จาก 24 รายการ เช่น อัลมอนด์และรถยนต์ แต่ยืนกรานว่าจะไม่เปิดตลาดสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์นม ขณะที่สหรัฐฯ ขอให้อินเดียเปิดตลาดข้าวสาลีและข้าวโพด และลดภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม ทำให้ทั้งสองฝ่ายยังตกลงกันไม่ได้
- เกาหลีใต้
แม้ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2555 จะเป็นข้อได้เปรียบและช่วยให้อัตราภาษีลดลงเหลือเพียง 0.79% แต่ข้อตกลงนี้ไม่ครอบคลุมภาษี 25% สำหรับรถยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียม ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหลักของประเทศ โดยการส่งออกเหล็กไปสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคมลดลงเกือบ 19%
รัฐบาลเกาหลีใต้ออกแถลงการณ์ยอมรับว่าไม่สามารถเจรจากับสหรัฐฯ ได้ทันกำหนด และได้เตรียมมาตรการรับมือโดยจัดตั้งโครงการ ‘Tariff Response Voucher‘ ด้วยงบประมาณ 15 ล้านล้านวอน เพื่อมอบเงินช่วยเหลือในรูปแบบคูปองให้ผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ยังปรับลดอัตราดอกเบี้ยและจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจเพื่อติดตามแก้ไขปัญหาแล้ว
- อินโดนีเซีย
อินโดนีเซียเจรจากับสหรัฐฯ สองครั้งตั้งแต่เดือนเมษายน โดยยื่นข้อเสนอต่างๆ เช่น การเพิ่มนำเข้าสินค้าพลังงานและเกษตร รวมถึงการเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ เข้าถึงทรัพยากรแร่สำคัญอย่างนิกเกิล อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงยังไม่บรรลุผลเพราะมีประเด็นค้างคาเกี่ยวกับระบบชำระเงินออนไลน์ นโยบายภายในประเทศ และข้อเรียกร้องจากสหรัฐฯ ให้เพิ่มการนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
ในสัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงเส้นตาย อินโดนีเซียเตรียมลงนามในข้อตกลงมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำเงินไปลงทุนและเพิ่มการนำเข้าสินค้า ได้แก่ ก๊าซแอลพีจี น้ำมันดิบ น้ำมันเบนซิน และสินค้าเกษตรต่างๆ เช่น ข้าวสาลี ถั่วเหลือง และกากถั่วเหลือง หากการเจรจาล้มเหลว อินโดนีเซียจะถูกเก็บภาษีสูงถึง 32% ดังนั้นจึงตั้งเป้าหมายว่าสินค้าส่งออก เช่น สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ และกุ้ง จะไม่ถูกเก็บภาษีสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ทั้งสองประเทศตกลงจะหาข้อสรุปให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน
- มาเลเซีย
มาเลเซียเสี่ยงถูกเก็บภาษีตอบโต้ 24% โดยเศรษฐกิจภายในประเทศพึ่งพาสินค้าโภคภัณฑ์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ แม้จะได้รับอานิสงส์จากบริษัทที่ย้ายฐานการผลิตออกจากจีน แต่จะได้เปรียบหรือเสียเปรียบยังคงขึ้นอยู่กับผลการเจรจากับสหรัฐฯ ปัจจุบัน มาเลเซียกำลังเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหานี้และตั้งเป้าให้เสร็จสิ้นก่อนมาตรการภาษีจะมีผล โดยจะขอลดภาษีจาก 24% ลงเหลือ 10% ซึ่งเป็นอัตราพื้นฐานที่ยอมรับได้
- เม็กซิโก
เม็กซิโกเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต (Nearshoring) เข้ามาใกล้ตลาดมากขึ้น โดยมีจุดแข็งทางภูมิศาสตร์จากการตั้งอยู่ติดกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก
ความร่วมมือภายใต้ข้อตกลงสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) เป็นปัจจัยที่ช่วยให้ได้เปรียบ เพราะช่วยลดอัตราภาษีให้สินค้าจำนวนมากที่ซื้อขายภายในภูมิภาค ทำให้เม็กซิโกเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ได้ อย่างไรก็ตาม สินค้าที่อยู่นอกขอบเขตของ USMCA เช่น ผลิตภัณฑ์พลังงาน น้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติ ยังคงถูกเก็บภาษี 10% ส่วนเหล็กและอะลูมิเนียมถูกเก็บภาษี 25%

ประเทศที่เสียเปรียบสหรัฐฯ
กลุ่มนี้คือประเทศที่พึ่งพิงตลาดอเมริกาในสัดส่วนสูงและมีข้อจำกัดในการต่อรองที่ชัดเจน เช่น ประเทศไทยซึ่งเสี่ยงจะถูกขึ้นภาษีถึง 36% ทำให้คณะผู้แทนจำเป็นต้องหาแนวทางเพื่อจูงใจให้สหรัฐฯ ปรับลดกำแพงภาษี
- กัมพูชา
กัมพูชากำลังเจรจากับสหรัฐฯ และเสี่ยงเผชิญภาษีในอัตรา 49% ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน การหารือเกิดขึ้นแล้วสามครั้ง โดยในการประชุมทางไกลวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ตัวแทนรัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นเอกสารข้อเสนอสามชุดให้สหรัฐฯ ซึ่งประกอบด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราภาษี เงื่อนไข และอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ
สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลักอันดับสองของกัมพูชา โดยช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่าส่งออก 4.35 พันล้านดอลลาร์ หากสหรัฐฯ เก็บภาษี 49% จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมผลิตเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ซึ่งเป็นเศรษฐกิจหลักของประเทศ
- เวียดนาม
เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่เผชิญสถานการณ์น่ากังวล โดยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ทรัมป์ประกาศว่าสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงการค้าเบื้องต้นกับเวียดนามแล้ว เวียดนามจะถูกเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมด 20% และภาษี 40% กับสินค้าที่ขนส่งผ่านประเทศอื่นเพื่อส่งต่อไปยังสหรัฐฯ รวมทั้งต้องเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เข้าประเทศโดยปลอดภาษี
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้ยังขัดแย้งกับร่างแถลงการณ์ร่วมที่ระบุเพียงว่า ทั้งสองฝ่ายจะทำงานร่วมกันเพื่อทำข้อตกลงสุดท้ายให้เสร็จสิ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ แต่ไม่ได้ระบุตัวเลขอัตราภาษีที่ชัดเจน
ตามร่างแถลงการณ์ เวียดนามตกลงจะเปิดตลาดให้สินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม เช่น เนื้อวัวและของเล่น นอกจากนี้ จะกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อระบุแหล่งกำเนิดสินค้า จัดการอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เช่น การบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา และยืนยันคำสั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 50 ลำ รวมถึงสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ มูลค่ารวมหลายพันล้านดอลลาร์ ข้อตกลงนี้เป็นฉบับแรกที่สหรัฐฯ เจรจากับเวียดนามเพื่อปรับลดภาษีจาก 46% ตามที่เคยประกาศไว้
- กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
บังกลาเทศ ลาว และเลโซโท เป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ต้องอาศัยตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐฯ และไม่มีศักยภาพในการต่อรอง จึงขาดทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับอัตราภาษีตอบโต้ระดับสูง เช่น ลาวอาจต้องเสียภาษี 48% ซึ่งเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยอุตสาหกรรมสิ่งทอ และต้องระมัดระวังจุดยืนที่มีต่อจีน หากลาวเลือกที่จะลดการนำเข้าสินค้าจากจีน ก็อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ของสองประเทศได้

สหรัฐฯ ยังไม่ยุติการเจรจา
หลายประเทศกำลังรอดูความคืบหน้าของคดีการออกนโยบายภาษีของทรัมป์ หลังจากศาลการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบริหารได้ยื่นอุทธรณ์ และศาลมีคำสั่งระงับคำตัดสินไว้ชั่วคราว ส่งผลให้นโยบายภาษียังคงมีผลระหว่างรอการพิจารณาคดีจากศาลสูง ซึ่งหากศาลสูงวินิจฉัยว่าทรัมป์ไม่มีอำนาจโดยตรง การเจรจาการค้าจะต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภาและจะใช้เวลานานขึ้น
ทรัมป์กล่าวเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2568 ว่า “เดี๋ยวจะส่งจดหมายถึงประเทศต่างๆ เพื่อแจ้งอัตราภาษี นั่นแหละถือว่าการเจรจาจบแล้ว”
ต่อมาทรัมป์เปิดเผยว่าจะเริ่มส่งจดหมายแจ้งประเทศต่างๆ ในวันที่ 4 กรกฎาคม โดยทยอยส่งทีละ 10 ประเทศ พร้อมระบุอัตราภาษี เช่น 20% หรือ 30% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนท่าทีจากที่เคยกล่าวว่าจะทำข้อตกลงรายประเทศ โดยเขายอมรับว่าการเจรจากับ 170 ประเทศ เป็นกระบวนการที่มีหลายขั้นตอนและใช้เวลานาน
ขณะที่สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า อาจมี 100 ประเทศที่ได้อัตราภาษี 10% ซึ่งน้อยกว่าที่ฝ่ายบริหารเคยวางแผนไว้ แต่ยังคงแยกกลุ่มประเทศคู่ค้าที่อยู่ระหว่างการเจรจา เช่น สหภาพยุโรป อินเดีย ญี่ปุ่น รวมถึงไทย ที่จะโดนภาษีสูงกว่านั้น การเจรจาน่าจะยืดเยื้อต่อไปถึงประมาณเดือนกันยายน หรืออาจนานกว่านั้นในบางประเทศ
ข้อมูลอ้างอิง:
- Trump’s Tariff Threat Shakes Up Trade Deals Globally
- Where trade talks stand with major U.S. partners ahead of tariffs hike deadline
- ‘I’m going to send letters’ – the deadline for Trump’s ‘reciprocal’ trade tariffs is looming
- Trump eyes simple tariff rates over complex talks, says letters going out Friday