36% ที่ไทยอาจต้องจ่าย: อ่านเกมภาษีทรัมป์ กับหนทางเจรจาของไทยก่อนเส้นตายใหม่มาถึง

“…ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป สหรัฐอเมริกาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% สำหรับสินค้าทุกชนิดจากประเทศไทยที่ส่งเข้ามายังสหรัฐอเมริกา…”

นี่คือข้อความตอนหนึ่งในจดหมายจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ที่ส่งถึงรักษาการนายกรัฐมนตรีไทย เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยตัวเลข 36% นี้เท่ากับตัวเลขแรกที่ทรัมป์เคยประกาศออกมาในวันปลดแอก (Liberation Day) เมื่อวันที่ 2 เมษายน สะท้อนว่าความพยายามของรัฐบาลไทยในการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่สัมฤทธิ์ผล

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยยังคงมีเวลาในการเจรจา หลังจากที่เส้นตายการบังคับใช้ภาษีของสหรัฐฯ ถูกขยับไปเป็นวันที่ 1 สิงหาคม 2025 ทว่าการเจรจากับสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยกลวิธีการเจรจาของทรัมป์ที่อยู่นอกขนบแบบแผน และผลประโยชน์แห่งชาติบางอย่างที่ทรัมป์ไม่ยอมละทิ้ง

แนวคิดของทรัมป์ในการเล่นเกมภาษีนี้คืออะไร และอะไรคือโจทย์ของรัฐบาลไทยในการไปต่อรองกับทรัมป์ก่อนถึงเส้นตายใหม่ 1 สิงหาคมนี้? วันโอวันชวนฟังจากมุมมองของนักวิชาการและตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบการส่งออกของไทย


ทรัมป์ใช้ภาษีเพื่อบรรลุ America Firstประพีร์ อภิชาตสกล


เมื่อพิจารณามาตรการภาษีระลอกล่าสุดของสหรัฐฯ ผ่านมุมมองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผศ.ดร.ประพีร์ อภิชาตสกล อาจารย์ประจำหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และอุปนายกสมาคมอเมริกาศึกษาในประเทศไทย เห็นว่านี่เป็นอีกครั้งที่ประธานาธิบดีทรัมป์เลือกใช้ ‘ภาษี’ เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศเพื่อบรรลุผลประโยชน์แห่งชาติสูงสุด ซึ่งถูกนิยามโดยคำว่า ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ (American First)

หากย้อนมองช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ทรัมป์ก็เคยใช้มาตรการลักษณะนี้กับจีนในบริบทสงครามการค้ามาแล้ว ทว่าการขึ้นภาษีในยุคทรัมป์ 2.0 ขยายขอบเขตไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก สะท้อนแนวโน้มการใช้นโยบายภาษีในเชิงรุก เพื่อกดดันให้เกิดการเจรจาต่อรองที่เอื้อผลประโยชน์ต่อสหรัฐฯ มากที่สุด

“การกลับมาครั้งนี้ของทรัมป์ ทุกอย่างถูกปล่อยออกมาบนจุดยืน ‘America First’ ที่ชัดเจนมากๆ ในเรื่องการค้าระหว่างประเทศ ทรัมป์มองว่าระบบการค้าที่ผ่านมานั้นไม่เป็นธรรม เพราะหลายประเทศได้เปรียบจากการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ดังนั้นภาษีเลยกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่เขาใช้เพื่อดึงสมดุลกลับมา ให้อยู่ในจุดที่สหรัฐฯ ได้ประโยชน์สูงสุดตามแนวทางอเมริกาต้องมาก่อน”

เป็นที่ทราบกันดีว่าการตัดสินใจหรือดำเนินนโยบายต่างประเทศล้วนยึดโยงกับผลประโยชน์แห่งชาติเป็นหลักอยู่แล้ว ประพีร์กล่าวเสริมว่าที่ผ่านมาสหรัฐฯ ทําเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองมาทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ในยุคทรัมป์ ผลประโยชน์นั้นถูกขับเน้นอย่างตรงไปตรงมาว่าสหรัฐฯ ต้องการอะไร สะท้อนให้เห็นได้ชัดจากเนื้อหาในจดหมายเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้า

จดหมายแจ้งอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ส่งถึง 14 ประเทศแรก และมีกำหนดเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม มีลักษณะแตกต่างจากจดหมายทางการทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในแง่ของรูปแบบและช่องทางการสื่อสาร โดยมีการใช้ตัวพิมพ์ใหญ่และเครื่องหมายอัศเจรีย์เพื่อเน้นย้ำสารที่ต้องการสื่อ ตัวจดหมายเองยังถูกเผยแพร่ผ่านบัญชี Truth Social ของทรัมป์ ในมุมมองของประพีร์ จดหมายเหล่านี้แม้จะดู ‘unusual’ ในบริบททางการทูต แต่กลับสะท้อนเจตนาที่ชัดเจนของทรัมป์

“เรามักจะเคยได้ยินคนพูดกันว่าภาษาทางการทูต มักจะเขียนมาสวยงาม แต่ไม่รู้ว่าต้องการอะไร แต่จดหมายของทรัมป์ อ่านแล้วรู้ทันทีว่าต้องการอะไร อยากให้ทำอะไร”

ประพีร์ อภิชาตสกล


บนฉากหน้าของท่าทีที่ดูแข็งกร้าว ประพีร์มองว่าแท้จริงแล้วทรัมป์อาจต้องการให้ประเทศต่างๆ เข้ามาการเจรจา หากมองผ่านหมวกทนายความ ประพีร์เปรียบว่าจดหมายแจ้งภาษีมีลักษณะคล้าย ‘หนังสือทวงถามหนี้’ (notice) ที่มักส่งให้ลูกหนี้ก่อนการฟ้องคดี เปิดโอกาสให้ลูกหนี้ตอบสนองภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งในบริบทนี้สามารถตีความได้ว่าเป็นการส่งสัญญาณให้ประเทศต่างๆ เข้ามาเจรจา จะเห็นได้ว่าหลัง ‘วันปลดปล่อย’ (Liberation Day) หลายประเทศรีบขยับโดยการส่งทีมไปเจรจากับสหรัฐฯ ทันที ที่ถูกพูดถึงกันมากคือกรณีเวียดนาม

ในกรณีของไทยที่ถูกประกาศเก็บภาษีในอัตรา 36% เท่าเดิมกับที่เคยประกาศไว้รอบแรก และแม้จะมีการเจรจาเกิดขึ้นหนึ่งครั้งก่อนสิ้นสุดกรอบเวลาเดิม ประพีร์มองว่าการตอบสนองของทีมไทยยังถือว่าล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่ในแวดวงนโยบายและวิชาการมีการพูดถึงความเสี่ยงจากการกลับมาของทรัมป์ตั้งแต่ช่วงหาเสียง แต่เมื่อสถานการณ์เกิดขึ้นจริง ไทยกลับไม่สามารถขยับได้อย่างทันท่วงที ซึ่งในอีกด้านหนึ่งก็สะท้อนปัญหาภายในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาอัตราภาษีที่ทรัมป์ประกาศใช้กับแต่ละประเทศ จะเห็นได้ว่า การเป็นพันธมิตรหรือมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐฯ มาอย่างยาวนานก็ไม่สามารถเป็นหลักประกันว่าจะได้รับการผ่อนปรนในการบังคับใช้มาตรการภาษี เมื่อถามว่าระบบพันธมิตรของสหรัฐฯ ยังมีความหมายอยู่หรือไม่ ประพีร์มองว่า หากดูเฉพาะในบริบทของอาเซียน จะพบว่าในสมัยที่สองของทรัมป์ ยังไม่ชัดเจนนักว่าสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับพันธมิตรในภูมิภาคนี้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งต่างจากสมัยแรกที่มีการประกาศวิสัยทัศน์และหลักการของยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง (Indo–Pacific Strategy) อย่างชัดเจน ซึ่งแสดงความมุ่งมั่นจะเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคเพื่อสกัดอิทธิพลของจีน พร้อมทั้งมีโครงการความร่วมมือและความช่วยเหลือต่างๆ ที่จับต้องได้

“ช่วงปี 2017–2020 เรามองว่าสหรัฐฯ ต้องการพันธมิตรจริงๆ เพื่อจัดการกับจีน แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจแล้วว่าเขายังต้องการอาเซียนและอินโดแปซิฟิกอยู่หรือเปล่า เพราะยังไม่เห็นอะไรชัดเจน เดี๋ยวคงจะมียุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติออกมา ก็ต้องรอดูว่าทรัมป์ยังมองภูมิภาคนี้เป็นพันธมิตรอยู่ไหม หรือเขาจะเลือกไปคนเดียวแบบ go alone”

ตลอดระยะเวลาเกือบหกเดือนนับตั้งแต่ทรัมป์กลับเข้าสู่ตำแหน่ง หลายนโยบายและคำสั่งฝ่ายบริหารที่ประกาศออกมาอาจดูเต็มไปด้วยความคาดเดาไม่ได้ แต่ในมุมมองของประพีร์ ความไม่แน่นอนเหล่านี้มี ‘หลัก’ ของตัวเองอยู่ นั่นคือการยึดแนวทาง America First อย่างมั่นคง สิ่งที่น่าจับตาต่อจากนี้คือการใช้ภาษีในฐานะ ‘อาวุธ’ ที่ทรัมป์สามารถหยิบมาใช้เมื่อไรก็ได้ และจะใช้เท่าที่เขาเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ ดังนั้น แนวทางรับมือที่สำคัญคือต้องตระหนักให้ชัดว่าทรัมป์ต้องการอะไร และจะเสนออะไรให้ตรงกับผลประโยชน์ที่ทรัมป์ให้ความสำคัญจริงๆ

“เวลาจะเจรจากับทรัมป์ อย่าใช้ตรรกะว่า ‘เขาให้เรา เราก็ควรให้เขา’ เพราะแค่นั้นมันไม่พอ สิ่งที่ทรัมป์ต้องการคือข้อเสนออะไรที่จะทำให้อเมริกาได้ประโยชน์เต็มๆ ไม่ใช่แค่ผลประโยชน์ร่วมกัน บางทีเราอาจต้องยอมเสียอะไรบางอย่างก่อน เพื่อให้เขารู้สึกว่าเราแฟร์และพร้อมจะร่วมมือกันในระยะยาว เพราะสุดท้ายเราก็ต้องอยู่กับมหาอำนาจอยู่ดี ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้น ดีลกับทรัมป์น่ะ ขอให้ถูกใจเขาก็พอแล้ว” ประพีร์กล่าวทิ้งท้าย


ทรัมป์อาจไม่พอใจข้อเสนอแรกของไทย: จุฑาทิพย์ จงวนิชย์


ตัวเลขภาษี 36% ที่สหรัฐฯ มอบให้ประเทศไทย ถือเป็นตัวเลขที่น่าหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย โดย รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่าน่าจะเป็นผลมาจากความไม่พอใจของทรัมป์ ต่อข้อเสนอแรกที่รัฐบาลไทยเสนอไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ยังไม่น่าใช่ข้อเสนอที่สองซึ่งไทยเพิ่งยื่นไปเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2025 เพราะสหรัฐฯ เพิ่งประกาศภาษีออกมาในวันที่ 7 กรกฎาคม 2025

ทั้งนี้ ข้อเสนอแรกที่รัฐบาลไทยเสนอสหรัฐฯ ไปเมื่อเดือนพฤษภาคมนั้นประกอบด้วย

1. ไทยจะให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแปรรูป และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล (Data Center and AI Industry) และการพิจารณาดำเนินการลดอุปสรรคทางการค้าทั้งภาษีและมิใช่ภาษี

2. นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่ม โดยเฉพาะสินค้าพลังงาน สินค้าเกษตร และเครื่องบิน ตลอดจนส่วนประกอบและอุปกรณ์บริการ

3. การเปิดตลาดสาขาเกษตรของไทย และลดอุปสรรคทางการค้าด้วยการลดภาษีนำเข้าภายใต้ระบบ MFN (ชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง – Most Favoured Nation) นับหมื่นรายการ ลงประมาณ 14% และลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีลงเพื่อส่งเสริมการค้า

4. บังคับใช้กฎหมายแหล่งกำเนิดสินค้าโดยเคร่งครัด

5. ไทยจะส่งเสริมการลงทุนในสหรัฐฯ มากขึ้น 

“คิดว่าสิ่งที่ทำให้ทรัมป์ไม่พอใจข้อเสนอแรกที่ไทยยื่นไปคือการลดภาษี เพราะข้อเสนอข้อที่สามของเรา รัฐบาลบอกว่าจะพยายามลดภาษีลงเป็นหมื่นรายการ แต่คาดว่าอัตราการลดลงของภาษีจะไม่เยอะ หรือคือราว 14-15% ขณะที่เวียดนามบอกว่าจะลดภาษี 0% ทุกรายการ ซึ่งไทยน่าจะทำไม่ได้” จุฑาทิพย์วิเคราะห์ ก่อนย้ำว่าตัวเลข 36% นั้นน่าจะเป็นผลมาจากข้อเสนอแรกจากรัฐบาลไทยเท่านั้น เท่ากับว่าสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนใจเมื่อเห็นข้อเสนอที่สองของรัฐบาลไทยก็เป็นได้ เนื่องจากมีการลงภาษีหลายรายการให้เหลือ 0% โดยเฉพาะส่วนของสินค้าเกษตร ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นข้อเสนอที่ชัดเจนกว่าทางเวียดนามมากทีเดียว 

จุฑาทิพย์ชี้ว่า ข้อเสนอครั้งที่สองของไทย มีเป้าหมายลดการเกินดุลกับสหรัฐฯ ลง 70% ภายในห้าปี และการลดภาษีให้เหลือ 0% ในหลายรายการน่าจะเป็นข้อเสนอที่สหรัฐฯ สนใจ “แต่ถ้าสหรัฐฯ ยังไม่พอใจ ไทยก็อาจต้องเสนอเพิ่มเติมอีก เพราะไทยยังมีเวลาจนถึงวันที่ 1 สิงหาคมในการยื่นข้อเสนออีกครั้ง ส่วนตัวจึงคิดว่ารัฐบาลจะต้องทำงานหนักขึ้น ต้องเร่งถามว่าข้อเสนอที่สองที่เสนอไปนั้น มีอะไรต้องปรับปรุงมากน้อยแค่ไหน สหรัฐฯ อยากได้อะไรเพิ่มบ้าง แล้วกลับมาทำการบ้านก่อนวันที่ 1 สิงหาคม”

เทียบกันกับประเทศใกล้เคียงกับไทยอย่างเวียดนามที่โดนภาษี 20% ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักธุรกิจและนักลงทุนไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยถูกเก็บภาษีสูงกว่า “เช่น ถ้าประเทศไทยกับเวียดนามผลิตสินค้าทับกันเยอะ หรือเวียดนามผลิตสินค้าที่มีศักยภาพจะเข้ามาทดแทนสินค้าที่ไทยส่งออกได้ หากอัตราภาษีต่างกันมาก ก็มีโอกาสที่เวียดนามจะผลิตและส่งออกเข้ามาแทนที่สินค้าไทยได้”

จุฑาทิพย์ จงวนิชย์
ภาพจาก www.econ.tu.ac.th


จุฑาทิพย์ชี้ว่า สถานการณ์ในตอนนี้ไทยยังพอมีเวลาเจรจาและยื่นข้อเสนออีกครั้ง เป้าหมายสำคัญคือการทำให้ภาษีไทยกับเวียดนามหรือประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ไม่ต่างกันมาก โดยหากตัวเลขภาษีไทยสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านราว 5-8% ประเทศไทยน่าจะยังพอสู้ประเทศอื่นไหว “เราคิดว่านักลงทุนต่างชาติจะยังไม่เปลี่ยนใจไปใช้เวียดนามเป็นฐานทั้งหมด เพราะเวียดนามก็ถูกสหรัฐฯ จับตาในลักษณะที่ว่าเขาต้องลดการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ถ้าการค้าถูกส่งออกจากเวียดนามไปสหรัฐฯ เยอะๆ ไม่ว่าจะอย่างไร สหรัฐฯ ก็คงไม่ยอมให้เกิดเช่นนั้นแน่ คงไปเพิ่มภาษีหรือเวียดนามต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพื่อลดการขาดดุลให้ได้ ส่วนตัวคิดว่านักลงทุนก็น่าจะตระหนักเรื่องนี้เหมือนกัน และจะทำให้พวกเขายังไม่ย้ายฐานการลงทุนไปยังเวียดนามทั้งหมดแน่” จุฑาทิพย์กล่าว 

นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังกำหนดเงื่อนไขว่าหากเป็นการขนส่งแบบถ่ายลำ (Transshipment) เวียดนามจะโดนภาษี 40% และจะได้ภาษี 20% ก็ต่อเมื่อเวียดนามพิสูจน์ได้ว่า กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดเข้าเกณฑ์ตามหลักที่สหรัฐฯ วางไว้ หรือสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ผลิตในเวียดนาม “แต่ความยากคือ เราไม่รู้ว่าเงื่อนไขนี้จะเป็นไปตามหลักสากล หรือสหรัฐฯ จะเพิ่มเงื่อนไขอื่นเข้ามาด้วย ดังนั้น แม้ความต่างภาษีของเราจะมากกว่าเวียดนาม แต่จะไม่ทำให้เราเหนื่อยมากนัก” จุฑาทิพย์ว่า “แต่แน่ล่ะ ถ้ามันไปถึง 16% เมื่อไร เราคงต้องทำงานหนักขึ้น”

อย่างไรก็ดี ในโมงยามที่การเมืองไทยยังไม่นิ่ง รัฐบาลยังไม่มีเสถียรภาพ คงยากจะปฏิเสธว่านี่เป็นโจทย์ยากที่รัฐบาลต้องรับมือ “เป็นโจทย์ที่ยากมาก ยากที่สุดเลยเพราะนักลงทุนต่างๆ จะให้น้ำหนักต่อความไม่แน่นอนของรัฐบาลและนโยบายค่อนข้างสูง และถึงอย่างไร คิดว่ารัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด” 

จุฑาทิพย์ชี้ว่า ในระยะเวลาอันใกล้ Worst-case scenario ที่จะเกิดขึ้นได้คือ ประเทศไทยเจรจาไม่ทัน เนื่องจากเพิ่งข้อเสนอครั้งที่สองไปเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม และไม่รู้ว่ากว่าที่สหรัฐฯ จะเรียกเราไปเจรจาคือเมื่อไหร่ เพราะอาจไม่ทันวันที่ 1 สิงหาคมซึ่งเป็นเส้นตาย “อย่าลืมว่าหลายประเทศก็พยายามเร่งเจรจากับสหรัฐฯ เช่น เกาหลีใต้ ที่อยากร่วมเป็นพาร์ตเนอร์การส่งออกกับสหรัฐฯ ฟากญี่ปุ่นเองก็คงไม่ลงให้สหรัฐฯ 0% และคงต้องมีการเจรจาต่อรองกลับไปกลับมาซึ่งคงกินเวลาแน่ ดังนั้น ถ้าประเทศไทยเข้าไปต่อรองช้าก็น่าจะแย่ เราต้องเร่งกระบวนการการเจรจาให้ต่อเนื่อง ไม่รอจนกระทั่งหมดเวลาและเจรจาไม่ทันในที่สุด” จุฑาทิพย์ปิดท้าย


นิสัยทรัมป์เหมือนคาวบอย รัฐบาลไทยต้องชั่งน้ำหนักให้ดี:
กิตติพันธ์ มูลศรีชัย


การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยที่ 36% แน่นอนว่าสร้างความกังวลต่อบรรดาผู้ประกอบการส่งออกสินค้าอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ดี ว่าที่ร้อยตรี กิตติพันธ์ มูลศรีชัย นายกสมาคมผู้ส่งออกและผู้ผลิตไทยชี้ว่าผู้ประกอบการส่งออกระดับ SMEs จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ยกตัวอย่างเช่นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารบางประเภท ซึ่งเป็นที่ต้องการในบรรดาร้านอาหารไทยในสหรัฐฯ อยู่แล้ว และไม่มีสินค้าจากประเทศอื่นทดแทนได้ เพียงแต่อาจมีบางภาคสินค้าของกลุ่ม SMEs ที่จะเห็นผลกระทบชัดเจนกว่าภาคอื่นๆ โดยเฉพาะอัญมณีและข้าว

“ผมว่าคนตัวเล็กไม่ได้รับผลกระทบมาก แต่กระทบคนตัวใหญ่มากกว่า” กิตติพันธ์กล่าว โดยชี้ว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ที่จะได้รับผลกระทบมากนั้นแบ่งเป็นสี่กลุ่ม ได้แก่

1. กลุ่มสินค้าของบริษัทสหรัฐฯ ที่ส่งออกเพื่อกลับไปขายในสหรัฐฯ

2. กลุ่มสินค้าของบริษัทจีนที่มาตั้งโรงงานผลิตในไทยเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ โดยเฉพาะกรณีที่มีการสวมสิทธิอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อประเทศไทยยิ่ง หากสหรัฐฯ สามารถตรวจจับได้

3. กลุ่มสินค้าจากผู้ประกอบการรายใหญ่ของไทย รวมถึงกลุ่ม SMEs ที่ผลิตชิ้นส่วนสินค้าส่งให้บริษัทใหญ่ ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนัก

4. กลุ่มสินค้าเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากในที่สุดไทยยินยอมลดกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เหลือ 0% เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนให้สหรัฐฯ ยอมลดภาษีให้ไทย

ในสถานการณ์นี้ ผู้ประกอบการจึงฝากความหวังไว้ที่รัฐบาลไทยในการเจรจากับสหรัฐฯ ก่อนที่เส้นตายจะมาถึงในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ โดยกิตติพันธ์ชี้ว่าตัวเลขอัตราภาษีสุดท้ายที่พอรับได้อยู่ที่ประมาณ 25-30%

กิตติพันธ์ มูลศรีชัย
ภาพจาก Facebook – Thai Exporter & Manufacturer Association


ขณะเดียวกัน กิตติพันธ์ยังให้ความเห็นถึงการเจรจาของรัฐบาลไทยว่า “ตอนนี้เหมือนรัฐมนตรีว่าคลัง พิชัย [ชุณหวชิร] เป็นพระเอกอยู่คนเดียว จริงๆ มันต้องเป็นทีมไทยแลนด์มากกว่านี้ มีทั้งกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรฯ ทำงานร่วมกันจริงจัง แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน คุยกันให้ลึกซึ้ง และอาจจะต้องเชิญองค์กรอย่างสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมฯ และสมาคมธนาคารไทยเข้าไปคุยด้วย ไม่ใช่ให้รัฐมนตรีคลังลุยเดี่ยวคนเดียว”

กิตติพันธ์ยังกล่าวถึงท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ว่า “นิสัยเขาก็เหมือนคาวบอย เอาปืนวางบนโต๊ะ แล้วเรียกเจรจาทีละคน” กิตติพันธ์จึงแนะรัฐบาลไทยในการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าต้องชั่งน้ำหนักแง่มุมต่างๆ ให้ดี และไม่ยินยอมให้สหรัฐฯ ทุกเรื่องจนทำให้ไทยต้องเสียโอกาสอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่นกรณีที่ไทยอาจให้ข้อเสนอลดกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ โดยกิตติพันธ์กล่าวว่า “ถ้าปล่อยให้เขา [นำเข้าสินค้าเกษตร] 0% เลย สินค้าเกษตรเราก็ตายนะ และมันกระทบถึงคนระดับล่าง เพราะฉะนั้นเราต้องชั่งน้ำหนักดูว่าเราจะเจรจากับเขาอย่างไร”

นอกจากนี้ กิตติพันธ์ยังกล่าวถึงคำขู่ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่จะขึ้นภาษี 10% ต่อประเทศที่เข้าร่วมกลุ่ม BRICS ซึ่งปัจจุบันไทยมีสถานะเป็นประเทศหุ้นส่วน ทำให้ไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกขึ้นอัตราภาษีอีก โดยกิตติพันธ์มองเรื่องนี้ว่า “เขา (รัฐบาลทรัมป์) ไม่พอใจที่เราเข้ากลุ่ม BRICS (กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ที่มีแกนนำคือบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) แต่ว่า BRICS เป็นตลาดที่มีประชากร 4,000 ล้านคน ประเทศอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดิอาระเบีย และอินโดนีเซีย ก็เข้าร่วม ซึ่งถ้าเราไม่เข้า เราจะเสียโอกาส เราจะมาพึ่งตลาด 200 ล้านคน (หมายถึงตลาดสหรัฐฯ) อย่างเดียว ก็ไม่ได้ มันต้องชั่งบริบททั้งหมดด้วย”

ไม่เพียงแต่ความพยายามเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ เท่านั้น แต่กิตติพันธ์ยังเสนอว่ารัฐบาลไทยต้องมีนโยบายภายในประเทศด้วย เช่น การมีมาตรการที่เด็ดขาดต่อการสวมสิทธิของจีน และการผลักดันสินค้าซอฟต์พาวเวอร์ในห้ากลุ่ม ได้แก่ เกษตรแปรรูป อาหารแปรรูป เครื่องสำอาง สมุนไพร-ผลิตภัณฑ์และบริการด้านสุขภาพ และสุราชุมชน ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มสินค้าเด่นที่มีศักยภาพและสามารถขายต่างชาติ รวมถึงสหรัฐฯ ได้ง่าย

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

24 Jul 2025

“ในสงคราม สิ่งแรกที่ถูกฆ่าตายคือความจริง” สถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา เรารู้อะไรอย่างเป็น ‘ทางการ’ แล้วบ้าง?

วันโอวัน สรุปข้อมูลการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จากทางการทั้งสองฝ่าย พร้อมความเห็นจากนักวิชาการ ผู้ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

กองบรรณาธิการ

24 Jul 2025

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save