ก่อนหน้านี้ในบทความ ชาวไร่ชาวนา ผู้มีรายได้น้อย และคนไทยหัวใจ MAGA: เมื่อประโยชน์พวกพ้องไม่สอดคล้องกับจุดยืนเชียร์ ‘ทรัมป์’ ผมได้ชวนทำความเข้าใจถึงเหตุผลแรงจูงใจของกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ (MAGA) ที่เป็นชาวไร่ชาวนาและผู้มีรายได้น้อยที่ศรัทธาในตัวทรัมป์ เพราะเชื่อว่าทรัมป์คือผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ของคนอเมริกันจากบรรดานายทุนคนรวยและต่างชาติที่มาสูบเลือดสูบเนื้อคนอเมริกัน อย่างไรก็ดี คำพูดของทรัมป์กลับสวนทางกับการกระทำของเขาที่ทำให้ชีวิตชาวไร่ชาวนาและคนอเมริกันผู้มีรายได้น้อยลำบากมากขึ้น ขณะที่ทรัมป์เปิดทางอันเอื้อให้เหล่านายทุนคนรวยกอบโกยผลประโยชน์ได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ผมยังได้เขียนถึงคนไทยบางส่วนที่สนับสนุนการใช้อำนาจบดขยี้กลุ่มเสรีนิยมและประเทศเล็กอื่นๆ ของทรัมป์ โดยนำโลกทัศน์ทางการเมืองอำนาจนิยมไทยไปใช้มองการเมืองระหว่างประเทศ แต่การเชียร์ทรัมป์เช่นนี้ไม่เป็นคุณต่อประเทศเล็กๆ อย่างไทย เมื่อรัฐบาลทรัมป์ใช้อำนาจขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทยสูงถึงกว่าร้อยละ 36 ซึ่งส่งผลร้ายย้อนกลับมายังชีวิตของคนไทยอย่างถ้วนหน้า
ในบทความนี้ ผมจะพาสำรวจกลุ่มคนที่เลือกสนับสนุนทรัมป์ ทั้งๆ ที่ขัดกับประโยชน์พวกพ้องของตัวเองอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือ ‘กลุ่มผู้อพยพชาวลาติน’ และ ‘ชาวอเมริกันเชื้อสายลาติน’ ที่รู้ดีมาโดยตลอดว่าทรัมป์มีท่าทีไม่เป็นมิตรต่อพวกเขา ตั้งแต่การประกาศจะสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก การพูดจาดูหมิ่นผู้อพยพชาวลาตินว่าไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นสัตว์เดรัจฉานบ่อยครั้ง[1] ไปจนถึงการให้คำมั่นว่าจะเนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่
แต่เชื่อหรือไม่ว่าคนอเมริกันเชื้อสายลาตินเกือบครึ่งหนึ่งกลับเลือกลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์ในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลทั้งในด้านเศรษฐกิจที่หลายคนมองว่าทรัมป์คือความหวังที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาปากท้องที่เป็นอยู่ ความประสงค์ที่จะกลมกลืนกับวัฒนธรรมอเมริกัน (ผิวขาว) กระแสหลัก ความหวาดกลัวว่ากมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต เป็นคอมมิวนิสต์ ตลอดจนความประมาทที่คิดว่าทรัมป์คงไม่บังคับใช้นโยบายที่เป็นภัยต่อผู้อพยพจริงๆ เพราะพวกเขาไม่ใช่เป้าหมายที่ทรัมป์จะเล่นงาน แต่ทว่าเหตุผลปัจจัยเหล่านี้เองจะทำให้ชีวิตของผู้อพยพชาวลาตินและคนอเมริกันเชื้อสายลาตินต้องเผชิญกับความยากลำบากมากขึ้นจากนโยบายและท่าทีเหยียดสีผิวของรัฐบาลทรัมป์
ความหวังในการแก้ปัญหาปากท้อง
คนอเมริกันเชื้อสายลาตินจำนวนมากเป็นแรงงานผู้มีรายได้น้อยและเป็นกลุ่มประชากรที่มีคนอายุน้อยและเป็นคนวัยทำงานจำนวนมาก สำนักข่าว NBC News รายงานสถิติของผู้ชายชาวลาตินว่ากว่าร้อยละ 80 สำเร็จการศึกษาในระดับที่ต่ำกว่าปริญญาตรี และกว่าร้อยละ 75.1 ประกอบอาชีพในตลาดแรงงาน รวมทั้งมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 จำนวนแรงงานชาวอเมริกันเชื้อสายลาตินจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งในห้าของจำนวนแรงงานอเมริกันทั้งหมด[2]
ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมา ผลสำรวจหลังปิดหีบของสถาบันวิจัย Edison Research เผยให้เห็นว่าชาวลาตินกว่าร้อยละ 46 หันไปเลือกทรัมป์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากตัวเลขร้อยละ 32 ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 แต่ที่น่าประหลาดใจไปกว่านั้นก็คือผู้ชายชาวลาตินจำนวนกว่าร้อยละ 55 ลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากตัวเลขร้อยละ 36 ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ในขณะที่ผู้หญิงชาวลาตินลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์ร้อยละ 38 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากตัวเลขร้อยละ 30 ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2020[3]
การตัดสินใจเลือกทรัมป์ของชาวอเมริกันเชื้อสายลาตินเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับหมู่ชนชั้นแรงงานผู้มีรายได้น้อยที่เห็นว่าทรัมป์สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลไบเดนได้ Chris Borick อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์จากวิทยาลัย Muhlenberg ได้กล่าวว่าหลายครั้งที่เขาลงพื้นที่สำรวจความเห็นในรัฐเพนซิลเวเนีย ผู้คนจะหยิบยกเรื่องราคาไข่ไก่แพง[4] ส่วน Bernie Sanders สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ เชื่อว่าพรรคเดโมแครตทำให้คนชนชั้นแรงงานรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง[5] ถึงแม้ว่าพรรคเดโมแครตจะทุ่มเงินสำหรับการยิงโฆษณานโยบายเศรษฐกิจของแฮร์ริสสูงถึงกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าทุนโฆษณานโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ประมาณ 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[6] แต่เหล่าแรงงานคิดว่าพรรคเดโมแครตไม่สนใจความเป็นอยู่ของผู้คน ปล่อยให้เศรษฐกิจย่ำแย่จนทำให้ชีวิตคนหาเช้ากินค่ำต้องลำบาก เพราะมัวแต่พูดพล่ามแต่เรื่องการเมืองอัตลักษณ์ สิทธิทำแท้ง ความเท่าเทียมทางเพศ และสงครามที่ไกลออกไปอีกฟากหนึ่งของโลก
ทรัมป์จึงฉวยโอกาสประกาศว่า ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ (America First) สัญญาว่าจะปกป้องคนอเมริกันจากนายทุนและบริษัทข้ามชาติ จะจัดการกับบรรดาผู้อพยพที่มาแย่งงานคนสหรัฐฯ จะใช้ความสามารถและประสบการณ์ที่เคยบริหารธุรกิจมากอบกู้เศรษฐกิจ ตลอดจนโจมตีรัฐบาลเดโมแครตว่าละเลยต่อปัญหาเพราะมัวแต่สนใจอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อปากท้องของคนอเมริกัน เช่น ประเด็นสิทธิ LGBTQ+ ความเท่าเทียมระหว่างสีผิวเชื้อชาติ และสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ไม่มีวันสิ้นสุด แรงงานชาวอเมริกันเชื้อสายลาตินจำนวนมากเห็นว่าทรัมป์เป็นคนจริง กล้าพูดกล้าชนกับปัญหา และที่แน่ๆ จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงจากที่เป็นอยู่ ในขณะที่แฮร์ริสถูกมองว่าเป็นคนปลอมเปลือก[7] ไม่แตะปัญหาที่ชาวบ้านเดือดร้อน
แน่นอนว่าเหตุผลปัญหาปากท้องเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้ชาวอเมริกันเชื้อสายลาตินตัดสินใจสนับสนุนทรัมป์ผู้มีท่าทีเหยียดเชื้อชาติลาตินอย่างโจ่งแจ้ง คนกลุ่มนี้จึงต้องหาเหตุผลอื่นๆ มาช่วยค้ำจุนความเชื่อมั่นในตัวทรัมป์อีกทางหนึ่ง โดยเริ่มจากการแสดงความรักชาติอเมริกาที่ล้นเกินและการปฏิเสธอัตลักษณ์ผู้อพยพและชาวลาตินของตนเอง
การแสวงหาการยอมรับจากสังคมอเมริกันกระแสหลัก
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทรัมป์เชิดชูความยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ และคุณสมบัติความรักชาติรักแผ่นดินของตนที่ไม่มีใครเทียม หลายคนมองว่าทรัมป์เป็นคนที่สมบูรณ์แบบ มีครอบครัวที่เพียบพร้อม เป็นคริสเตียนที่ดี รวมถึงเป็นต้นแบบของความฝันอเมริกัน (American Dream) ที่ร่ำรวยขึ้นมาได้เพราะตั้งใจทำมาหากินในดินแดนแห่งโอกาส[8] แม้ว่าคนเหล่านี้อาจจะเคยได้ยินว่าทรัมป์มีคดีอื้อฉาวติดตัวทั้งคดีปลอมแปลงเอกสาร คดีเกี่ยวกับเพศ บิดพลิ้วไม่จ่ายค่าจ้างหรือค่าตอบแทนตามสัญญา ตลอดจนคดีล้มละลาย แต่บางคนก็เลือกที่จะไม่เชื่อและมองว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสีทางการเมืองหรือคิดว่ารัฐพันลึก (deep state) กลั่นแกล้งทรัมป์ ส่วนบางคนพยายามหาเหตุผลเข้าข้างทรัมป์ โดยใช้ตรรกะวิบัติผิดซ้ำสองเป็นถูก (two wrongs make it right) ว่าใครๆ ก็เคยทำแบบนี้กันทั้งนั้น[9] นักรบย่อมมีบาดแผล นักธุรกิจย่อมมีข้อพิพาท เรื่องที่ผิดจึงถูกทำให้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไป
ชาวอเมริกันเชื้อสายลาตินบางคนเห็นทรัมป์เป็นแบบอย่างที่ควรเจริญรอยตามเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสังคมอเมริกันกระแสหลัก คนกลุ่มนี้เติบโตมาพร้อมกับความเชื่อว่าตนเองมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวัฒนธรรมของคนผิวขาว และพยายามตีตัวออกห่างจากอัตลักษณ์ของผู้อพยพหรือกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ Paola Ramos ผู้สื่อข่าวชาวอเมริกันลงพื้นที่สัมภาษณ์ชาวลาตินที่เลือกลงคะแนนให้ทรัมป์ ซึ่งเธอพบว่าชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกันจำนวนไม่น้อยมีทัศนคติต่อต้านผู้อพยพ เนื่องจากพยายามปฏิเสธอัตลักษณ์ความเป็นผู้อพยพของตนเอง ขณะเดียวกัน ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน-โดมินิกันบางกลุ่มก็แสดงความเห็นในทำนองเดียวกัน โดยมองว่าตนมีรากเหง้ามาจากวัฒนธรรมสเปนมากกว่าวัฒนธรรมแอฟริกัน[10]
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยของ Efrén Pérez และคณะจากมหาวิทยาลัย UCLA ที่ชี้ว่าคนลาตินร้อยละ 27 มองว่าตนเองเป็นคนอเมริกันมากกว่าเป็นคนลาติน ซึ่งกลุ่มคนที่มองตนเองเช่นนี้มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนพรรครีพับลิกัน ในทางตรงกันข้าม กลุ่มคนที่นิยามตนเองว่าเป็นคนลาตินมากกว่าเป็นคนอเมริกันจะโน้มเอียงไปทางพรรคเดโมแครต[11] มุมมองเช่นนี้ส่งผลให้ชาวอเมริกันเชื้อสายลาตินกว่าร้อยละ 25 เห็นว่าผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารรับรองสมควรถูกเนรเทศกลับไปยังประเทศต้นทาง (ในขณะที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในภาพรวมร้อยละ 40 มีความเห็นเช่นนี้)[12]
ยิ่งคนอเมริกันเชื้อสายลาตินปฏิเสธอัตลักษณ์ลาตินของตนเองยิ่งเข้าทางทรัมป์ที่ต่อต้านสังคมพหุวัฒนธรรมและเชื่อมั่นในสังคมที่มีวัฒนธรรมหนึ่งเดียว ทรัมป์ไม่เคยเคารพความหลากหลายในอเมริกาและพยายามลดทอนการดำรงอยู่ของวัฒนธรรมลาตินในสหรัฐฯ เช่น การเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา การประกาศให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการหนึ่งเดียวและนำภาษาสเปนออกจากเว็บไซต์ของทำเนียบขาว รวมทั้งการลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารให้คนขับรถบรรทุกต้องพูดภาษาอังกฤษในระดับที่คล่องแคล่ว[13] ซึ่งเป็นการเลือกปฏิบัติต่อชาวลาตินด้วยเหตุที่ไม่เป็นธรรมและไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่มีผู้ใช้ภาษาสเปนจำนวนมากเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในมลรัฐตอนใต้ รัฐบาลทรัมป์ยังอยู่เบื้องหลังการลบล้างประวัติศาสตร์ของทหารผ่านศึกที่เป็นชาวลาติน คนผิวดำ และผู้หญิงออกจากหน้าเว็บไซต์สุสานแห่งชาติ Arlington ตามข้อสั่งการที่ให้กวาดล้างแนวคิดความหลากหลาย ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วม (Diversity, Equity and Inclusion: DEI)[14]
การต่อต้านสังคมพหุวัฒนธรรมเช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนคนลาตินในภาพรวม ไม่ว่าจะมีจุดยืนแบบใดก็ตาม เพราะสำหรับขบวนการ MAGA ชาวลาตินไม่เคยถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของชาติอเมริกา อย่างเช่น Tony Hinchcliffe นักแสดงตลกที่เป็นผู้ช่วยหาเสียงของทรัมป์ได้กล่าวบนเวทีปราศรัยว่า “ชาวลาตินชอบมีเพศสัมพันธ์เพื่อผลิตทายาท พวกเขาชอบสอดใส่เข้ามา เหมือนที่กำลังทำกับประเทศของเรา” หรือแม้แต่ดินแดนเปอร์โตริโก (Puerto Rico) ซึ่งมีคนลาตินที่เป็นพลเมืองสหรัฐฯ พำนักยังถูกเรียกว่าเป็น ‘เกาะขยะลอยได้’ (floating island of garbage) ท่ามกลางมวลชน MAGA ที่อยู่รายล้อม
กลุ่มคนที่ถูกหล่อหลอมด้วยแนวคิดชาตินิยมอเมริกันสุดโต่งจะไม่แยกแยะว่าชาวลาตินคนไหนเป็นพลเมืองสหรัฐฯ หรือเป็นผู้อพยพ คนกลุ่มนี้มีภาพจำว่าชาวลาตินเป็นคนภายนอกและเป็นผู้รุกรานสังคมคนผิวขาว ซึ่งทรัมป์อาจจะไม่ใช่คนเริ่มแนวคิดเหยียดเชื้อชาตินี้ แต่ทรัมป์เป็นผู้ที่ทำให้แนวคิดดังกล่าวกลายเป็นกระแสหลักในสังคมอเมริกัน โดยการออกมาเหยียดหยามหรือแม้แต่ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชาวลาตินในที่สาธารณะ
ผู้ช่วยหาเสียงของทรัมป์โจมตีชุมชนชาวลาติน
ความหวาดกลัวและความประมาท
ในหลายครั้ง การหาเสียงโดยการสร้างความหวังไม่อาจทำให้นักการเมืองชนะการเลือกตั้งได้ นักการเมืองจึงต้องทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวถึงสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นหากประชาชนไม่เลือกตน ทรัมป์จึงมักเลือกใช้คำที่สร้างความกลัวในใจผู้คน Patricia Friedrich อาจารย์ด้านภาษาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Arizona State ตั้งข้อสังเกตว่าในระหว่างการดีเบตเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ระหว่างทรัมป์กับแฮร์ริส ทรัมป์ใช้คำอย่าง ‘ทำลายล้าง’ (totally destroy) และ ‘พิบัติ’ (disaster) กว่า 12 ครั้งใน 30 วินาที โดยในภาพรวม ทรัมป์ใช้คำที่มีความหมายเชิงลบมากกว่าที่แฮร์ริสใช้ถึงกว่าร้อยละ 61[15]
ทรัมป์กล่าวหาว่าผู้อพยพเป็นผู้บุกรุก เป็นอาชญากร เปรียบเทียบว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน ขโมยหมาแมวของชาวบ้านมากิน แถมยังบอกอีกว่า “ผู้อพยพที่ผิดกฎหมายทำให้สายเลือดของอเมริกาแปดเปื้อน พวกเขามาจากเรือนจำ โรงพยาบาลจิตเวช จากทุกหนทุกแห่งบนโลก” ซึ่งการเลือกใช้คำอย่าง ‘สายเลือดแปดเปื้อน’ (blood poisoning) เป็นคำเดียวกับที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำพรรคนาซีเยอรมนีเคยเขียนว่าอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ล่มสลายลงเพราะสายเลือดดั้งเดิมแปดเปื้อนปะปนกับชาติพันธุ์ที่ด้อยกว่า[16]
นอกจากนี้ การที่ทรัมป์เรียกผู้อพยพว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานยังเป็นแนวทางเดียวกับที่นาซีลดทอนความเป็นมนุษย์ของชาวยิวเพื่อใช้เป็นใบอนุญาตทางศีลธรรมในการทำร้ายและส่งชาวยิวไปยังค่ายกักกัน[17] ซึ่งความน่ากังวลที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือรัฐบาลทรัมป์เริ่มจับกุมผู้อพยพโดยอ้างว่าเป็นพวกที่ทำผิดกฎหมายและส่งไปยังเรือนจำในเอลซัลวาดอร์
ทรัมป์กล่าวว่าผู้อพยพที่ผิดกฎหมายทำให้ ‘สายเลือดอเมริกาแปดเปื้อน’
ทรัมป์บอกว่าผู้อพยพเป็นสัตว์เดรัจฉาน
ทรัมป์อ้างมาโดยตลอดว่าจะเล่นงานเฉพาะคนที่ทำผิดกฎหมาย แต่ปัญหาคือการเนรเทศผู้อพยพชาวลาตินไปยังเรือนจำในเอลซัลวาดอร์ของรัฐบาลทรัมป์ไม่เคยผ่านกระบวนการตรวจสอบโดยศาลและปราศจากซึ่งหลักฐานที่เพียงพอจะเอาผิดได้ จนศาลต้องออกคำสั่งระงับชั่วคราว[18] แม้ว่าฝ่ายบริหารอาจมีอำนาจในการเนรเทศตามกฎหมายปี 1798 (ซึ่งที่ผ่านมาใช้แต่เฉพาะในช่วงสงครามเท่านั้น) แต่ศาลมีอำนาจเข้าไปตรวจสอบและเปิดโอกาสให้ผู้ถูกเนรเทศได้อุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งเพื่อไม่ให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจล้นเกินจนไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคล
ที่สำคัญ เรือนจำในเอลซัลวาดอร์ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งการเนรเทศบุคคลไปยังสถานที่ดังกล่าวเป็นการขัดต่อหลักการห้ามผลักดันไปเผชิญอันตราย (non-refoulement) ซ้ำร้าย ทางการเอลซัลวาดอร์สั่งจำคุกผู้ที่ถูกเนรเทศจากสหรัฐฯ ในทันทีที่ลงจากเครื่องบิน โดยไม่มีกระบวนการพิสูจน์ความผิดในชั้นศาล แถมล่าสุดทรัมป์ยังขู่ว่าคนที่มีสัญชาติอเมริกันก็ถูกส่งไปยังเรือนจำในเอลซัลวาดอร์ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น สถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีใครรอดพ้นจากเงื้อมมือของรัฐบาลทรัมป์
ทรัมป์ระบุว่าจะส่งคนสัญชาติอเมริกันไปยังเรือนจำในเอลซัลวาดอร์
อย่างไรก็ตาม คนลาตินหลายคนมองว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ก็เล่นประเด็นผู้อพยพมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ขนาดประธานาธิบดีบารัก โอบามา (Barack Obama) ที่ว่าเป็นเสรีนิยมยังถูกเรียกว่าเป็น ‘ผู้บัญชาการกองเนรเทศสูงสุด’ (deporter-in-chief)[19] ผู้อพยพชาวลาตินบางส่วนจึงเชื่อว่าทรัมป์จะเล่นงานแต่เฉพาะคนไม่ดี ตราบใดที่พวกเขาเป็นคนดีที่ตั้งใจทำมาหากินและตั้งใจสานฝันอเมริกัน ทรัมป์ก็อาจจะให้ความอนุเคราะห์[20]
ทรัมป์ไม่เพียงแต่สร้างความหวาดระแวงคนลาตินในสังคมอเมริกัน แต่ทรัมป์ยังทำให้คนลาตินเกิดความหวาดกลัวภัยคอมมิวนิสต์ผ่านการแปะป้ายให้แฮร์ริสเป็นคอมมิวนิสต์ ทั้งกล่าวโจมตีว่าพรรคเดโมแครตจะนำนโยบายสังคมนิยมที่ล้มเหลวในคิวบาและเวเนซุเอลามาใช้ในสหรัฐฯ แฮร์ริสจะปิดปากประชาชนเหมือนกับระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ พร้อมทั้งยิงโฆษณาชวนเชื่อเป็นภาษาสเปนให้กลุ่มเป้าหมายชาวลาตินได้รับรู้[21]
ชาวลาตินหลายคนโดยเฉพาะคนที่มาจากคิวบา เวเนซุเอลา ล้วนมีบาดแผลกับระบอบคอมมิวนิสต์และจงเกลียดจงชังนโยบายสังคมนิยม ตลอดจนเชื่อว่าพรรคเดโมแครตจะทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ Luis Pablo Beauregard ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว El País ได้สัมภาษณ์คนอเมริกันเชื้อสายลาตินคนหนึ่ง ซึ่งมีความเห็นว่าถ้าเราไม่สู้ตอนนี้ อเมริกาจะปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ และการที่พรรคเดโมแครตมัวแต่โม้เรื่องคนเท่ากันจะทำให้แรงงานจะขี้เกียจกันหมด[22]
ทรัมป์แปะป้ายให้แฮร์ริสเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งมียอดการรับชมสูงถึงกว่า 82 ล้านครั้ง
แต่ถ้าถามว่าทรัมป์เห็นอกเห็นใจคนที่ลี้ภัยจากระบอบคอมมิวนิสต์ไหม คำตอบก็คือ ‘ไม่’ เพราะล่าสุด ทรัมป์มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิการพำนักชั่วคราวในสหรัฐฯ ของผู้อพยพชาวคิวบา เวเนซุเอลา นิการากัว และเฮติ จำนวนกว่า 530,000 คน และขอให้เดินทางออกจากสหรัฐฯ ภายในวันที่ 24 เมษายน 2025[23]
บทสรุป
แม้ว่าทรัมป์จะมีท่าทีเหยียดหยามชุมชนชาวลาตินในสหรัฐฯ มาโดยตลอด แต่ในช่วงเลือกตั้ง ทรัมป์ระดมสรรพกำลังเพื่อหาเสียงกับชาวลาตินอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการชูประเด็นเศรษฐกิจปากท้อง การโจมตีคู่แข่งว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และการทุ่มทุนยิงโฆษณาเป็นภาษาสเปนไปยังกลุ่มเป้าหมายชาวลาติน จนชาวลาตินบางส่วนเชื่อว่าทรัมป์จะนำพาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ไปสู่ความรุ่งโรจน์ และไม่สนว่าทรัมป์จะโจมตีผู้อพยพหรือชาวลาตินคนอื่นเพราะถือว่าตนเป็นคนอเมริกัน และยึดถือทรัมป์เป็นแบบอย่างความฝันอเมริกัน ส่วนผู้อพยพบางส่วนก็คิดว่าตนเป็นคนตั้งใจทำมาหากิน พวกตนจึงไม่ใช่เป้าหมายของทรัมป์ที่จะเล่นงานแต่เฉพาะอาชญากร
เป็นเรื่องที่ตลกร้ายอย่างยิ่งที่หลังจากทรัมป์เข้ารับตำแหน่งไม่นาน ทรัมป์ได้สั่งการให้ลบภาษาสเปนออกจากเว็บไซต์ทำเนียบขาวโดยไม่สนใจใยดี พร้อมทั้งแสดงท่าทีเหยียดเชื้อชาติชาวลาตินมากมาย ทั้งการลบล้างค่านิยมสังคมพหุวัฒนธรรม การลดทอนความเป็นมนุษย์ การยกเลิกสิทธิพำนักชั่วคราวของผู้ลี้ภัย การจับกุมชาวลาตินและเนรเทศออกนอกสหรัฐฯ โดยไม่มีหลักฐานเพียงพอจะเอาผิด หนำซ้ำยังขู่ว่าพลเมืองสหรัฐฯ ก็ถูกส่งไปยังเรือนจำนอกประเทศได้เช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าระบอบทรัมป์ไม่มีประโยชน์ต่อชาวลาตินเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะมีจุดยืนแบบใด และไม่ว่าจะเป็นผู้อพยพหรือพลเมืองสหรัฐฯ หรือไม่ก็ตาม
[1] Nathan Layne, Gram Slattery and Tim Reid, “Trump calls migrants ‘animals,’ intensifying focus on illegal immigration,” Reuters, April 3, 2024, https://www.reuters.com/world/us/trump-expected-highlight-murder-michigan-woman-immigration-speech-2024-04-02/. “Trump: Immigrant gangs ‘animal, not people’,” BBC, May 17, 2018, https://www.bbc.com/news/av/world-us-canada-44148697.
[2] Suzanne Gamboa, “Latino men voted for Trump in large numbers. Here’s what they hope he delivers.,” NBC News, December 1, 2024, https://www.nbcnews.com/news/latino/trump-hispanic-latino-men-vote-what-expect-economy-jobs-rcna181915.
[3] Jason Lange, Bo Erickson and Brad Heath, “Trump’s return to power fueled by Hispanic, working-class voter support,” Reuters, November 7, 2024, https://www.reuters.com/world/us/trumps-return-power-fueled-by-hispanic-working-class-voter-support-2024-11-06/.
[4] Scott Pelley, “Trump’s Pennsylvania win fueled by economic concerns among Latino, working-class voters,” CBS News, November 10, 2024, https://www.cbsnews.com/news/trump-win-economy-working-class-latino-60-minutes/.
[5] Jeet Heer, “Bernie Sanders Is Right: Democrats Have Abandoned the Working Class,” Bernie Sanders U.S. Senator for Vermont, November 11, 2024, https://www.sanders.senate.gov/in-the-news/bernie-sanders-is-right-democrats-have-abandoned-the-working-class/.
[6] Ibid.
[7] PapiJuanderful, “ohhhh now i get Latinos for Trump!,” TikTok, November 6, 2024, https://vt.tiktok.com/ZSrgTrS1t/.
[8] Rachel Uranga and Brittny Mejia, “Why Latino men voted for Trump: ‘It’s the economy, stupid’,” Los Angeles Times, November 2024, https://www.latimes.com/california/story/2024-11-08/why-latino-men-voted-for-trump-its-the-economy-stupid.
[9] PapiJuanderful, “ohhhh.”
[10] Melissa Hellmann, “‘Leaning into the whiteness’: journalist Paola Ramos on why some Latinos have turned to the far right,” The Guardian, November 1, 2024, https://www.theguardian.com/us-news/2024/nov/01/election-trump-latino-vote-paola-ramos.
[11] Efrén Pérez Jessica Hyunjeong Lee, Gustavo Mártir Luna, “Partisan of Color : Asian American and Latino Party ID in an Era of Racialization and Polarization,” American Political Science Review (2025): 1-17, https://www.cambridge.org/core/services/aop-cambridge-core/content/view/8F3DF6A203575340DEF098C3E0DED0B7/S0003055424001217a.pdf/partisans-of-color-asian-american-and-latino-party-id-in-an-era-of-racialization-and-polarization.pdf.
[12] Lange, Erickson and Heath, “Trump’s return.”
[13] “Fact Sheet: President Donald J. Trump Enforces Commonsense Rules of the Road for America’s Truck Drivers,” The White House, April 28, 2025, https://www.whitehouse.gov/fact-sheets/2025/04/fact-sheet-president-donald-j-trump-enforces-commonsense-rules-of-the-road-for-americas-truck-drivers/.
[14] Tom Bowman, Ayana Archie, “Arlington National Cemetery stops highlighting some historical figures on its website,” NPR, March 14, 2025, https://www.npr.org/2025/03/14/g-s1-54054/arlington-national-cemetery-dei-website.
[15] Patricia Friedrich, “Trump and Harris vocabularies signal their different frames of mind,” The Conversation, September 20, 2024, https://theconversation.com/trump-and-harris-vocabularies-signal-their-different-frames-of-mind-239035.
[16] Adolf Hitler, Mein Kampf, translated by Ralph Manheim (Boston: Houghton Mifflin, 1943), 289, https://www.sjsu.edu/people/mary.pickering/courses/His146/s1/MeinKampfpartone0001.pdf.
[17] ชยางกูร เพ็ชรปัญญา, “อย่าประมาทพลังชาตินิยมขวาจัด: ‘นาซี’ จาก ‘พรรคปัดเศษ’ สู่ ‘เผด็จการเบ็ดเสร็จ’,” The 101.world, 30 เมษายน 2024, https://www.the101.world/the-rise-of-the-nazi-party/.
[18] Mallory Moench, “US Supreme Court halts deportation of detained Venezuelans,” BBC, April 20, 2025, https://www.bbc.com/news/articles/czd3rdjn81lo.
[19] Reid J. Epstein, “NCLR head: Obama ‘deporter-in-chief’,” Politico, March 4, 2014, https://www.politico.com/story/2014/03/national-council-of-la-raza-janet-murguia-barack-obama-deporter-in-chief-immigration-104217.
[20] Pelley, “Trump’s Pennsylvania.”
[21] ““Que Mala” Kamala? Trump Campaign Releases New Video and Statement for Hispanic Heritage Month,” Donald J. Trump for President, September 15, 2024,
[22] Luis Pablo Beauregard, “Donald Trump gains support among Latino voters despite xenophobic rhetoric, El País, October 23, 2024, https://english.elpais.com/usa/elections/2024-10-23/donald-trump-gains-support-among-latino-voters-despite-xenophobic-rhetoric.html.
[23] Christal Hayes, “Trump revoking protections for Cubans, Haitians and other migrants,” BBC, March 22, 2025, https://www.bbc.com/news/articles/c33706jy774o.