การชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) สมัยที่สอง นำมาซึ่งข้อกังวลของทั่วโลกต่อนโยบายกีดกันทางการค้าที่ยกระดับจากยุคทรัมป์ 1.0 มหาศาล นับเป็นการปฏิวัติระบบฐานรากของเศรษฐกิจโลก ก่อสงครามการค้าที่ร้อนระอุระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และสะเทือนไปยังภาพรวมเศรษฐกิจในอีกหลายประเทศ
เพื่อเตรียมรับมือกับความคาดเดาไม่ได้และความผันผวนทางด้านเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น 101 ชวน อาร์ม ตั้งนิรันดร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาร่วมวิเคราะห์ทิศทางของสงครามการค้าในยุคทรัมป์ 2.0 ซึ่งเป็นแง่มุมที่ใกล้ชิดกับหลายคนมากที่สุด ขณะเดียวกันความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนจะตึงเครียดขึ้นหรือไม่ จะส่งผลต่อประเทศอื่นอย่างไร และท่ามกลางความร้อนระอุนี้ประเทศไทยควรทำอย่างไร
หมายเหตุ: ถอดความบางส่วนจากรายการ 101 One-on-One Ep.346: สงครามการค้าในยุคทรัมป์ 2.0 กับอาร์มตั้งนิรันดรออกอากาศวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567
อาจารย์คิดเห็นและรู้สึกอย่างไรกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่พรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้ง
ทรัมป์มีโอกาสชนะการเลือกตั้งสูงอยู่แล้ว เนื่องจากปัญหาที่ประชาชนสหรัฐฯ เผชิญอยู่ เป็นเรื่องหลักที่ทรัมป์ใช้หาเสียง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินเฟ้อ เรื่องของผู้อพยพเข้าเมือง และเรื่องความปั่นป่วนจากสงครามทั่วโลก ทั้งสามเรื่องดังกล่าวตรงกับความรู้สึกของคนอเมริกันส่วนใหญ่ ในโพลสำรวจมีคนอเมริกันแค่ร้อยละ 24 ที่พอใจกับเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งทุกครั้งหากตัวเลขการสำรวจเป็นเช่นนี้ พรรคฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมักจะชนะแลนด์สไลด์
แต่อย่างไรก็ตาม อาจจะรู้สึกประหลาดใจที่ผลการเลือกตั้งออกมาชนะขาด เพราะพรรครีพับลิกันชนะทั้งป๊อปปูลาร์โหวต ชนะในรัฐสมรภูมิ (Battleground State) ทั้งเจ็ดรัฐทั้งสภาบนและสภาล่าง เรียกได้ว่าเป็นอำนาจประกาศิต (Mandate) ที่ทรัมป์ได้รับ
ทรัมป์ประกาศตอนหาเสียงว่า จะตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนสูงกว่าเดิม ประมาณ 4-5 เท่าหรือประมาณร้อยละ 60 ขณะเดียวกันก็จะตั้งกำแพงภาษีกับประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากจีนประมาณร้อยละ 10-20 คิดว่าการตั้งอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขนาดนี้สามารถทำได้จริงไหม และถ้าหากทำได้จริง ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจะรุนแรงเท่าใด
ทรัมป์ได้พูดในการหาเสียงและพูดในการให้สัมภาษณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการตั้งกำแพงภาษีต่อจีนและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกในระดับที่ใหญ่กว่ายุคทรัมป์ 1.0 มาก ซึ่งหลายคนอาจจะได้ยินแล้วไม่เชื่อ คิดว่าเป็นการสร้างกระแสและปลุกฐานเสียงเท่านั้น แต่ผมคิดว่าทรัมป์จริงจัง
เมื่อแปดปีที่แล้ว ตอนที่ทรัมป์ทำสงครามการค้าครั้งแรก หลายคนไม่เชื่อว่าจะทำจริง เพราะตามหลักเศรษฐศาสตร์การตั้งกำแพงภาษีจะทำให้ทุกฝ่ายเสียหาย เหมือนกับการยิงขาตัวเอง นักเศรษฐศาสตร์หลายคนก็บอกว่าจะเกิดหายนะในเรื่องของเงินเฟ้อ ซึ่งนับว่าแย่ลงจริงๆ แต่ไม่ได้หายนะถึงขั้นทนไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในรัฐบาลของ โจ ไบเดน (Joe Biden) ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้ยกเลิกกำแพงภาษีที่ทรัมป์เคยตั้ง กล่าวได้ด้วยซ้ำว่า นโยบายเรื่องการค้าของไบเดนเป็นความต่อเนื่องจากรัฐบาลทรัมป์ 1.0
หากศึกษาเบื้องหลังความคิดว่าทำไมถึงจะต้องทำสงครามการค้าในระดับที่เรียกว่ามากมายมหาศาลกว่าในครั้งนั้น เนื่องจากทรัมป์และทีมนโยบายของทรัมป์มีแนวคิดที่ว่า สงครามการค้ารอบที่หนึ่งนั้น ‘Too Little Too Late’ คือ Too Late – การตั้งกำแพงภาษีควรจะทำตั้งแต่สิบปีที่แล้ว ถ้าทำตั้งแต่สิบปีที่แล้วจีนคงเสียหายในระดับที่รับมือไม่ไหว และ Too Little – การตั้งกำแพงภาษีในรอบที่หนึ่งน้อยเกินไป ทำให้เกิดผลกระทบที่ว่าโรงงานย้ายจากจีนไปตั้งที่เวียดนาม หรือไปเม็กซิโก แต่ไม่ได้ถึงขั้นย้ายกลับมาที่สหรัฐฯ ดังนั้น เป้าหมายทางนโยบายของทรัมป์ในรอบนี้ คือการปฏิวัติระบบเศรษฐกิจโลก
รัฐบาลทรัมป์ยุค 2.0 มีเป้าหมายสี่ประการเพื่อปฏิวัติระบบเศรษฐกิจโลก ได้แก่ การเลิกโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ (Economic Globalization) การรื้อฟื้นอุตสาหกรรมการผลิต (Reindustrialization) การสร้างความสมดุลทางการค้ากับประเทศต่างๆ และการแยกฐานทางเศรษฐกิจออกจากเมืองจีนหรือหย่าขาดจากจีนในทางเศรษฐกิจ (Complete Decoupling)
แนวทางดังกล่าวแตกต่างอย่างชัดเจนจากยุคของรัฐบาลไบเดน เพราะว่าไบเดนต้องการแค่ลดโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้ยกเลิก รัฐบาลไบเดนยังยินดีที่จะซื้อเสื้อผ้า แปรงสีฟัน ยาสีฟัน หรือต้นคริสต์มาสจากจีน เพียงแต่ไม่ยินดีที่จะซื้อรถยนต์ EV สมาร์ตโฟน หรือสินค้าทางเทคโนโลยี ทั้งไม่มีปัญหาว่าจะต้องเสียสมดุลทางการค้า หากคนอเมริกันสามารถซื้อสินค้าในราคาที่ถูกลงได้ และไม่ได้ต้องการหย่าขาดจากจีนในทางเศรษฐกิจ เพราะต้องการแยกแค่บางส่วน (Partial Decoupling) แต่ทรัมป์ในยุค 2.0 เลือกที่จะให้งานไหลกลับเข้ามาที่อเมริกา เพื่อให้คนมีงานทำ แม้คนอเมริกันจะซื้อของแพงขึ้น แต่ดีกว่าที่ชนชั้นกลางจะหายไป
ส่วนที่ว่าสามารถทำได้จริงหรือไม่นั้นเขาทำได้
ความเป็นไปได้มีอยู่สองประการ คือ ประการแรก ทรัมป์มีการจัดตั้งทีมงานที่มีระบบความคิด วิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจที่มีแนวทางและความเชื่อในเรื่องของกำแพงภาษีเพื่อมาทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ และประการสอง เนื่องจากการตั้งกำแพงภาษีเป็นอำนาจของประธานาธิบดีโดยตรง ไม่เกี่ยวกับสภาคองเกรส เพราะฉะนั้นทรัมป์สามารถจัดการด้วยตัวเองได้ทันที หรือทรัมป์อาจจะนำเรื่องการยกเลิก Most Favored Nation (MFN) Status ของจีนมาเป็นข้ออ้างว่าจีนมีพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และตอบโต้โดยการขึ้นอัตราภาษีนำเข้าก็เป็นได้
นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักทั้งหมดต่างบอกว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้น คือ หายนะ เพราะอยู่ในระดับที่ใหญ่กว่าสงครามการค้าครั้งที่หนึ่งมหาศาล ซึ่งผลกระทบอาจแบ่งเป็นสามฉากทัศน์ ได้แก่ ฉากทัศน์แรก คือ ประสบความสำเร็จ งานไหลกลับมาสหรัฐฯ ประชาชนมีงานทำมากขึ้น ชนชั้นกลางกลับมาได้ กระนั้นกลับคิดว่าเป็นไปได้ยากมาก ฉากทัศน์ที่สอง คือ ความเสียหายอยู่ในระดับกลาง ไม่ได้อยู่ในระดับที่เป็นหายนะ ไม่ได้เงินเฟ้อจนถึงขั้นทนไม่ได้ และฉากทัศน์ที่สาม คือ หายนะอย่างหนักทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อย่างที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนบอกว่าสิ่งนี้เป็นอัตราที่ใช้ไม่ได้จริง
จากเป้าหมายที่ทรัมป์ตั้งไว้คือ การปฏิวัติระบบเศรษฐกิจโลกเพื่อช่วยเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อาจารย์คิดว่าทรัมป์จะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้จริงไหม
จุดเด่นที่สุดของทรัมป์คือ ความคาดเดาไม่ได้ (Unpredictability) เพราะฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่กว้างมากว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร ตั้งแต่ที่เขาทำอย่างที่เขาให้สัญญาสำเร็จและมีโอกาสเป็นไปได้สูง แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะไม่ได้ทำในรูปแบบที่รุนแรงขนาดนั้น คือ ลดระดับลงมา เช่น ขึ้นกำแพงภาษีหนักแค่บางสินค้า ซึ่งสินค้าที่กระทบต่อผู้บริโภค หรือกระทบต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็อาจจะยังไม่ขึ้นกำแพงภาษี หรือบอกว่าจะขึ้นในอีกหนึ่งปี หรือสองปีข้างหน้า เป็นต้น
แม้ตอนนี้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนจะกังวลมาก แต่ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับวิธีการทำ ว่าจะทำช่วงเวลาใด เลือกสินค้าตัวไหน และมีผลเมื่อไหร่ ทว่าผมคิดว่าเขาทำแน่นอน เพราะทรัมป์ชอบเรื่องกำแพงภาษี และจะรุนแรงกว่าเดิมแน่ๆ
หากมองในมุมประเทศคู่ปรับที่ติดตามผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ใกล้ชิดอย่าง ‘จีน’ อาจารย์คิดว่าจีนจะรู้สึกอย่างไรกับผลการเลือกตั้งที่ออกมาเป็นเช่นนี้
จีนคงไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดใจอะไร เพราะหลายคนก็คิดว่ามีโอกาสสูงที่ทรัมป์จะกลับมา โดยจีนได้เตรียมการรับมือไว้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาวิจัย รวบรวมข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการวงนโยบายต่างๆ และมีการกล่าวกระทั่งว่า ที่เราเห็นลักษณะการไหลออกของคลื่นทุนจีน สินค้าจีน ที่ออกมาลงทุนในประเทศต่างๆ ส่วนหนึ่งเป็นการปรับตัวเตรียมพร้อมรับการกลับมาของทรัมป์
ทั้งนี้ จีนน่าจะคิดว่าการขึ้นมาเป็นรัฐบาลของคามาลา แฮร์ริส น่าจะดีกับจีนมากกว่าทรัมป์ ด้วยเหตุผลสองประการ คือ ‘ความคาดเดาได้ในแนวทางนโยบาย’ อย่างน้อยในรัฐบาลไบเดนและต่อเนื่องมาเป็นรัฐบาลของแฮร์ริสจะมีความเสถียรทางนโยบายสูง ถึงแม้ว่าจะแข็งข้อหรือดุดันกับจีน แต่ยังอยู่ในรูปแบบคาดเดาได้ และ ‘เรื่องของสงครามการค้า’ ซึ่งทรัมป์ชัดเจนว่าทรัมป์จะทำมากกว่าเดิมในอัตราที่ใหญ่ขึ้น จะทำให้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของจีนอย่างแน่นอน
ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับจีนคืออะไร
ประเทศจีนจะได้รับผลกระทบในด้านเศรษฐกิจอย่างรุนแรง เนื่องจากภาคการส่งออกเป็นภาคที่ใหญ่มากของจีน และตลาดที่สำคัญที่สุดของจีนคือตลาดสหรัฐฯ แม้ปัจจุบันคู่ค้าของจีนได้เปลี่ยนมาเป็นตลาดอาเซียน แต่ว่าตลาดสหรัฐฯ ก็เป็นตลาดที่มีกำลังการบริโภคสูง ซึ่งมีสำนักวิเคราะห์ประเมินว่าถ้าทรัมป์ดำเนินการนโยบายขึ้นภาษีอัตรานำเข้า GDP ของจีนจะลบออกร้อยละ 2 ทันที แปลว่าถ้าจีนเติบโตที่ร้อยละ 5 อัตราการเติบโตของจีนจะอยู่ที่ร้อยละ 3 และบางสำนักวิเคราะห์มองว่า อาจจะลดลงไปถึงครึ่งหนึ่งหรือมากกว่าร้อยละ 2
จากผลกระทบข้างต้น จึงกล่าวได้ว่าสงครามการค้าไม่มีใครได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นสงครามการค้าในเชิงวิชาการถือว่าไม่สมเหตุสมผลเพราะว่าทุกคนเสียหายหมด
แม้การทำการค้าเสรีที่ค้าขายกันมายาวนานนับ 20 ปี ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะทำให้ทั้งสองประเทศรวยขึ้น ทุกคนได้ประโยชน์จากการค้า แต่ในอีกแง่หนึ่ง การค้าเสรีกลับมีปัญหาในเรื่องของการกระจายผลประโยชน์ คือ เม็ดเงินทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้นไปอยู่กับชนชั้นนำในสหรัฐฯ และคนที่ได้ประโยชน์ คือ คนจนในประเทศจีนที่แต่เดิมไม่มีงานทำ แต่ตอนนี้มีงานทำ และได้ยกระดับขึ้นมาเป็นชนชั้นกลาง แต่คนที่เสียประโยชน์คือคนชนชั้นกลางในสหรัฐฯ ที่งานเขาหายไป และกลายเป็นชนชั้นล่างของสังคม แม้เราบอกว่าสงครามการค้าทุกคนจะเสียหายหมด แต่ทรัมป์มองว่าอย่างน้อยมันเป็นการสร้างงานให้กับชนชั้นกลางในสหรัฐฯ กล่าวคือ มีงานแต่ซื้อของแพงขึ้นดีกว่าไม่มีงานแล้วซื้อของถูก
สงครามการค้าส่งผลกระทบต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ ‘ไทย’ อาจารย์มองว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบอย่างไร
สมัยก่อนมีการพูดว่าประเทศไทยอาจจะได้ประโยชน์จากสงครามการค้าในมุมของการย้ายฐานการลงทุน กล่าวคือ บริษัทย้ายจากจีนไปเวียดนาม ไปเม็กซิโก ก็อาจจะย้ายมาที่ไทยด้วย และแทนที่สหรัฐฯ จะซื้อสินค้าจากจีนก็เปลี่ยนมาซื้อจากเวียดนาม เม็กซิโกและไทย เพราะฉะนั้นสงครามการค้า 1.0 อาจเป็นประโยชน์ในแง่นี้ แต่ในสงครามการค้า 2.0 จะไม่เหมือนเดิม เพราะทรัมป์ต้องการให้โรงงานไปตั้งฐานผลิตที่สหรัฐฯ เช่นเดียวกันถ้าสินค้าไทยจะส่งออกไปสหรัฐฯ ในภาวะที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับไทย การตั้งกำแพงภาษีก็จะสูงขึ้น แปลว่าสินค้าของไทยจะส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ยากขึ้น ดังนั้น ไทยจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เพราะเราเป็นประเทศที่พึ่งการค้าเสรี พึ่งการค้าโลก และเป็นประเทศที่ภาคการส่งออกนั้นใหญ่มากต่อสัดส่วนของ GDP
สหรัฐฯ และจีนจะอยู่ในลักษณะที่แยกตัวออกไป (isolation) คือ สหรัฐฯ จะมีลักษณะที่ปิดมากขึ้น และจีนก็มีลักษณะที่ปิดมากขึ้น ในยุคทรัมป์ 2.0 ตลาดสหรัฐฯ จะเป็น U.S. Manufacturing for U.S. เพราะถ้าคุณจะขายตลาดสหรัฐฯ คุณต้องไปผลิตที่สหรัฐฯ เท่านั้น และจีนก็จะเหมือนกัน กลายเป็น China Manufacturing for China ซึ่งตอนนี้บริษัทสหรัฐฯ ที่อยู่ในจีนไม่ได้มีการขยายการเปิดโรงงานเพิ่ม แต่ก็ไม่ได้ย้ายออกมาเช่นเดียวกัน ทำให้โรงงานที่จีนเป็นโรงงานสำหรับตลาดจีนและตลาดอาเซียนเท่านั้น
เมื่อตลาดสหรัฐฯ และจีนหายไป ก้อนของโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่ร้อยเรียงเป็นห่วงโซ่นี้ก็จะเล็กลง นับว่าเป็นภาพการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และการเปลี่ยนแปลงของการไหลของทุนในระดับมหึมาที่เราไม่เคยเจอมาก่อน แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีโรงงานย้ายมาตั้งที่ไทยแล้ว เพราะโรงงานฝรั่งหรือจีนก็ยังต้องการที่จะค้าขายในก้อนโลกาภิวัตน์ที่เหลืออยู่ แต่ว่าภาพที่เห็นจะต่างจากยุคสงครามการค้า 1.0 เป็นอย่างมาก
สงครามการค้าในยุคทรัมป์ 2.0 นี้ประเทศไทยมีแนวทางการรับมือหรือมีแนวทางที่จะคว้าโอกาสที่จะเข้ามาอย่างไร
ไทยต้องพยายามที่จะอยู่รอด โดยหาโอกาสในการเปิดตลาดใหม่ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง เช่น ตลาดอินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ลาตินอเมริกา และตะวันออกกลาง ในยุคก่อนการกำหนดนโยบายมักขึ้นอยู่กับการค้าขายกับตลาดจีนและสหรัฐฯ แต่ตอนนี้โจทย์ทางนโยบาย คือ การค้าขายกับตลาดโลกที่เหลืออยู่ ประเทศกลุ่มที่สาม หรือประเทศมหาอำนาจขนาดกลาง ทำอย่างไรที่ไทยจะใช้ประโยชน์จากตลาดใหม่ๆ เหล่านี้ให้ได้เต็มที่
เมื่อเกิดสงครามการค้าขึ้นจีนอาจจะส่งสินค้าไปสหรัฐฯ ไม่ได้ทั้งส่งไปยุโรปไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้สินค้าจีนมีการไหลทะลักไปที่ประเทศที่สามมากขึ้น ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น อาจารย์คิดว่าสงครามการค้าระลอกที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้จะทำให้การไหลทะลักเข้ามาของสินค้าจีนมีมากขึ้นไหม และไทยจะต้องรับมืออย่างไร
คลื่นการไหลของทุนจีนและสินค้าจีนจะกลายเป็นเรื่องระยะยาว (Long term) และยกระดับความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากตอนนี้เศรษฐกิจของจีนชะลอตัว มีปัญหาทั้งภาคการส่งออกและภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยภาคอสังหาฯ อยู่ในสัดส่วนการเติบโตของ GDP ของจีนถึงร้อยละ 15 – 30
รัฐบาลจีนรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านภาคการผลิตและภาคอุตสาหกรรม โดยเน้นอุตสาหกรรมใหม่ เช่น อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ และอุตสาหกรรมรถยนต์ EV แต่อุตสาหกรรมเก่า เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมซีเมนต์ และอุตสาหกรรมดั้งเดิมต่างๆ ก็ยังต้องรักษาไว้ เพราะอยู่ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาเสถียรภาพในสังคม เช่น ปัญหาการจ้างงาน แต่ว่าหากจีนยังคงกำลังการผลิตเท่าเดิมเพราะว่าต้องรักษาการจ้างงานไว้ และตลาดภายในจีนก็เล็กลงเพราะปัญหาด้านเศรษฐกิจ ตลาดสหรัฐฯ ไม่สามารถค้าขายได้เพราะกำแพงภาษี และตลาดยุโรปไม่สามารถส่งออกได้ เพราะปัญหาเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ดังนั้น เป้าหมายอันดับแรกของจีนจึงเป็น ตลาดอาเซียน เพราะฉะนั้นโจทย์ความท้าทายจากคลื่นสินค้าจีน การไหลของทุนจีน และผู้ประกอบการจีน จะเป็นโจทย์ใหม่ที่ไทยเราต้องเผชิญและแก้ไข
แล้วสินค้าประเภทไหนที่จะต้องระวังว่าจะได้รับผลกระทบเป็นพิเศษ
สินค้าหรืออุตสาหกรรมที่อาจจะกระทบมาก เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก ก่อนหน้านี้เป็นอุตสาหกรรมรถยนต์ เพราะคนได้เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ EV ต่อมาคืออุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ที่ภาค SME จะได้รับผลกระทบมาก
ผู้ประกอบการทั่วไปหรือโรงงานในไทยมักจะบอกว่า สินค้าจีนที่มาตามแพลตฟอร์มหรือช่องทางต่างๆ มีราคาถูกมาก และปัจจุบันยังยกระดับในเรื่องคุณภาพอีกด้วย แต่โดยทั่วไปแล้วก็กระทบกับหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ใช่เฉพาะอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง ทั้งนี้ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีก็เริ่มได้รับผลกระทบแล้วเช่นกัน
นอกจากเรื่องสงครามการค้า ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจับตามอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามเทคโนโลยี การแข่งขันเรื่องระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ เรื่องสงครามเย็น สงครามร้อน และสงครามทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไต้หวันและทะเลจีนใต้ อาจารย์คิดว่าในยุคของทรัมป์ 2.0 ทิศทางโดยรวมระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไรและมีอะไรที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษหรือไม่
เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน มีอย่างน้อยสามประเด็นหลักที่น่าจับตามอง ได้แก่
ประเด็นแรก เรื่องการค้า
ประเด็นที่สอง เรื่องสงครามเทคโนโลยี ในยุคไบเดนจะหนักกว่ายุคทรัมป์ เพราะไบเดนห้าม Nvidia ส่งชิปที่ดีที่สุดให้กับจีน ไม่ขายเทคโนโลยีให้กับจีน ไม่ต้อนรับโรงงานผลิตรถยนต์ EV ที่มาจากจีน เพราะเหตุผลด้านความมั่นคงต่างๆ แต่ทรัมป์ไม่ได้มีโลกทัศน์แบบไบเดน ทรัมป์ไม่ได้คิดในมิติเรื่องความมั่นคงหรืออุดมการณ์ ทรัมป์คิดทุกอย่างเป็นการค้า ไม่ได้มีปัญหากับโรงงานจีน เพียงแค่ต้องการให้โรงงานเหล่านั้นมาตั้งที่สหรัฐฯ
ประเด็นสุดท้าย เรื่องสงครามทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ไต้หวันและทะเลจีนใต้ ทรัมป์นั้นชัดเจนว่าไม่ได้มีความสนใจเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวเหมือนกับรัฐบาลไบเดน ที่มองว่าเป็นเรื่องของอุดมการณ์ ความมั่นคง และการปกป้องรัฐเสรีอย่างไต้หวัน ทรัมป์เคยให้สัมภาษณ์ตอนเลือกตั้งบอกว่า ‘ไต้หวันต้องจ่ายเงินให้กับสหรัฐฯ ถ้าหากต้องการให้สหรัฐฯ คุ้มครอง’
อย่างไรก็ตาม เรื่องสงครามภูมิภาคในไต้หวันและทะเลจีนใต้ในยุคทรัมป์ 2.0 ได้มีการอธิบายฉากทัศน์สำคัญออกเป็นสองทฤษฎี โดยทฤษฎีแรก คือ หากสหรัฐฯ ไม่สนับสนุนไต้หวันและฟิลิปปินส์ในเรื่องทะเลจีนใต้ จีนจะใช้ประโยชน์และช่องว่างตรงนี้ก่อสงคราม หรือเพิ่มระดับความรุนแรงในการโจมตี ทำให้สหรัฐฯ ต้องสนับสนุนไต้หวันและฟิลิปปินส์อย่างเต็มที่เพื่อกดดันจีน แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ในยุคของรัฐบาลไบเดนเป็นยุคที่ความตึงเครียดเรื่องไต้หวันและทะเลจีนใต้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพราะมีการโจมตีตอบโต้กันมาไปมาอยู่เสมอ
ส่วนทฤษฎีที่สอง คือ หากสหรัฐฯ ไม่ได้สนับสนุนไต้หวันและฟิลิปปินส์ เรื่องของไต้หวันและทะเลจีนใต้จะต้องอ่อนกระแสและความแรงลง เพราะไต้หวันและฟิลิปปินส์จะไม่ได้ตอบโต้จีนมากนัก การยกระดับความรุนแรงจึงน้อยลง ความตึงเครียดก็น่าจะน้อยลงเช่นกัน และในขณะเดียวกันจีนก็ไม่สามารถยกระดับความรุนแรงหรือทำสงครามได้ เพราะความคาดเดาไม่ได้ของทรัมป์ทำให้จีนไม่สามารถประเมินได้ว่าถ้าทำเช่นนี้ สหรัฐฯ จะมีท่าทีอย่างไร
กล่าวได้ว่า อาวุธที่สำคัญที่สุดของทรัมป์คือความคาดเดาไม่ได้ ดังนั้น ลักษณะของนโยบายจะไม่ได้เสถียรเหมือนยุคไบเดน ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆ ตลอดสี่ปี และถ้าแฮร์ริสเป็นรัฐบาลก็สามารถคาดเดาได้เช่นเดียวกันว่าจะทำอะไรบ้าง แต่ทรัมป์นั้นตรงกันข้าม ทุกอย่างเป็นเรื่องที่สามารถเจรจาได้หมด ไม่มีเรื่องใดที่เป็นหลักการที่ห้ามแตะต้อง เพราะฉะนั้นความผันผวนจึงเป็นลักษณะพื้นฐานของนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และนโยบายทางการเมืองระหว่างประเทศในยุคทรัมป์ 2.0