เดือนนี้มีความสำคัญอย่างมากต่ออินเดีย โดยเฉพาะการประกาศผลการเลือกตั้งทั่วไปอย่างเป็นทางการประจำปี 2024 ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของอินเดีย เพราะนี่ถือเป็นศึกการเลือกตั้งที่จะจารึกประวัติศาสตร์การเมืองครั้งใหม่ของอินเดีย หลังการเลือกตั้งที่กินเวลากว่า 1 เดือนครึ่งนับตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน จนถึงวันที่ 1 มิถุนายน ก่อนที่จะมีการนับคะแนนการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา
ผลการเลือกตั้งที่ออกมานั้นเรียกได้ว่าพลิกทุกสำนักโพลที่มีการรายงานหลังปิดหีบเลือกตั้ง เพราะทุกสำนักโพลต่างรายงานผลว่าพรรครัฐบาลอย่างพรรคภารติยะ ชนะตะ หรือบีเจพี จะชนะเลือกตั้งแบบทิ้งห่างฝ่ายค้านจำนวนมาก โดยเฉพาะได้รับที่นั่งเพิ่มมากกว่าการเลือกตั้งในครั้งก่อน อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งที่แท้จริงกลับไม่ได้ออกมาอย่างที่สำนักโพลต่างๆ รายงาน แม้ว่าแนวร่วมพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติที่นำโดยพรรคบีเจพีจะมีที่นั่งเกินกึ่งหนึ่งของสภา แต่ที่นั่งในโลกสภาของพรรคบีเจพีกลับลดลงอย่างมาก จนไม่สามารถเป็นพรรครัฐบาลได้พรรคเดียว สถานการณ์เช่นนี้ส่งผลให้พรรคบีเจพีจำต้องอาศัยพรรคพันธมิตรในการจัดตั้งรัฐบาลซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีจะต้องเผชิญกับการทำงานกับพรรคร่วมรัฐบาล
แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือในการเลือกตั้งรอบนี้พรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน หรือกลุ่มพันธมิตรเพื่อการพัฒนาแห่งชาติอินเดีย ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนส่งผลให้ที่นั่งในโลกสภาระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านไม่แตกต่างกันมาก ลักษณะเช่นนี้ส่งผลให้การตรวจสอบและถ่วงดุลรัฐบาลมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บทความชิ้นนี้จึงชวนวิเคราะห์ถึงผลการเลือกตั้งที่ออกมาว่าปัจจัยใดบ้างส่งผลต่อการเพิ่ม-ลดของความนิยมในพรรครัฐบาล อะไรคือสิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่จะต้องเผชิญภายใต้รัฐบาลผสม รวมถึงทิศทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอินเดียหลังจากนี้ 5 ปี จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ผลการเลือกตั้งที่ผลิกทุกโพล แต่ทุกฝ่ายยอมรับ
ผลการเลือกตั้งอินเดียเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเรียกได้ว่านอกจากจะล้มความเที่ยงตรงของบรรดาสำนักโพลต่างๆ ในอินเดียแล้ว ผู้เชี่ยวชาญและนักรัฐศาสตร์หลายคนก็ถึงกับต้องมานั่งถอดบทเรียนกันยกใหญ่ว่าปัจจัยอะไรส่งผลให้คะแนนนิยมของคนอินเดียที่มีต่อพรรคบีเจพีไม่ได้สูงอย่างที่เคยคาดการณ์กันเอาไว้ ทั้งที่หลายคนเชื่อกันมากว่าพรรคบีเจพีจะได้รับที่นั่งเพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งคราวก่อน ฉะนั้นการทำความเข้าใจถึงผลเลือกตั้งในแต่ละพื้นที่ย่อมสามารถสะท้อนถึงปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผลการเลือกตั้งพลิกโพล ซึ่งไม่เป็นผลบวกต่อพรรคบีเจพีเท่าไหร่นัก
หนึ่งในพื้นที่สำคัญที่คาดว่ามีการวิเคราะห์กันมากในอินเดียเวลานี้ คงหนีไม่พ้นรัฐอุตตรประเทศ รัฐใหญ่ทางเหนือที่มีการชิงชัยกันมากถึง 80 ที่นั่ง ซึ่งถือว่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับรัฐอื่นๆ จนทำให้อุตตรประเทศมักถูกเปรียบเปรยว่าเป็นประตูสู่นิวเดลี นัยหนึ่งเพราะอุตตรประเทศอยู่ติดกับกรุงนิวเดลีเมืองหลวงของอินเดีย แต่อีกนัยทางการเมืองคือพรรคไหนชนะที่รัฐนี้ก็มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลที่เมืองหลวงนั่นเอง โดยการเลือกตั้งรอบนี้พรรคบีเจพีมีความหวังกับรัฐนี้ค่อนข้างมากเนื่องจากเป็นพื้นที่เดิมที่ตัวเองได้รับชัยชนะมากถึง 62 ที่นั่ง ที่สำคัญพรรคบีเจพียังชนะในการเลือกตั้งระดับรัฐเมื่อปี 2022 อีกด้วย แต่ผลการเลือกตั้งที่ออกมากลับพบว่าพรรคบีเจพีเหลือที่นั่งเพียง 33 ที่นั่ง ในขณะที่พรรคท้องถิ่นซึ่งเป็นแนวร่วมของฝ่ายค้านอย่างพรรคสมาจวาดี (Samajwadi Party) ได้ที่นั่งมากถึง 37 ที่นั่ง
เช่นเดียวกับสถานการณ์ในรัฐใหญ่ฝั่งตะวันตกอย่างรัฐมหาราษฏระ ที่มีเมืองเอกอย่างมุมไบ เมืองหลวงทางเศรษฐกิจและการเงินที่สำคัญของอินเดีย ที่สถานการณ์ดูจะไม่เป็นใจกับแนวร่วมพรรครัฐบาลเท่าไหร่นัก หลังเกิดสถานการณ์หักเหลี่ยม เฉือนคมกันของพรรคร่วมอย่างพรรคชีฟ เสนา (Shiv Sena) กับพรรคบีเจพีในช่วงการตั้งมุขมนตรีของรัฐ จนสุดท้ายเกิดการย้ายขั้วสลับข้าง สลายพรรค ส่งผลให้การเลือกตั้งรอบนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมากในรัฐนี้ จากเดิมที่แนวร่วมรัฐบาลได้รับความไว้วางใจได้ที่นั่งในโลกสภามากถึง 43 ที่นั่งจาก 48 ที่นั่ง แต่ผลการเลือกตั้งรอบที่ผ่านมาผลปรากฏว่าพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านนำโดยพรรคคองเกรสสามารถเก็บที่นั่งจากรัฐนี้ไปมากถึง 30 ที่นั่ง
ทั้งนี้ คาดกันว่าปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้คะแนนนิยมของพรรคบีเจพีในสองรัฐสำคัญนี้มีเหตุปัจจัยหลักอยู่สองประการด้วยกัน ประการแรกคือปัจจัยทางการเมือง โดยเฉพาะการปรับกลยุทธ์ด้านพันธมิตรของแนวร่วมฝ่ายค้านที่รอบนี้พรรคคองเกรสยอมถอยในรัฐอุตตรประเทศเพื่อเปิดทางให้กับพรรคสมาจวาดี เช่นเดียวกับในหลายๆ พื้นที่ที่คองเกรสใช้แนวทางนี้กับแนวร่วมฝ่ายค้าน ข้อดีคือพรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน รวมถึงคองเกรสสามารถลงทรัพยากรกับเขตของตัวเองได้เต็มที่ แตกต่างจากพรรคบีเจพีที่รอบนี้ส่งผู้สมัครเป็นจำนวนมากทั่วประเทศ ทรัพยากรกระจัดกระจาย ในขณะที่การย้ายคนจากพรรคอื่นเข้าพรรคตัวเองก็ทำให้คนเก่าคนแก่ที่ทำงานให้กับพรรคไม่ได้โอกาสในการลงแข่งขัน แทนที่จะส่งผลบวก กลายเป็นผลลบ เพราะหัวคะแนนไม่อยากช่วยหาเสียง คนฐานรากไม่อยากทำงาน ปัจจัยทางการเมืองนี้เล่นงานพรรคบีเจพีเข้าอย่างจังโดยเฉพาะในรัฐอุตตรประเทศซึ่งพรรคส่งคนนอกพื้นที่เข้าไปเป็นผู้สมัครเป็นจำนวนมาก และผลที่ออกมาก็คือแพ้หมดรูปในการเลือกตั้งรอบนี้
ประการที่สองคือปัจจัยเชิงนโยบายในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาที่พรรคบีเจพีได้หาเสียงเอาไว้ บางอย่างทำได้สำเร็จ แต่จำนวนมากไม่เห็นผลนักโดยเฉพาะอัตราการว่างงานที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา คนเหล่านี้ประสบปัญหาในการหางานทำ ซึ่งพรรคบีเจพีไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เท่าที่ควร และยังมีประเด็นการปฏิรูปกฎหมายด้านการเกษตรที่ทำเอาชาวนาลุกฮือประท้วงในหลายพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลสื่อสารได้ไม่ดีจึงส่งผลให้ฐานเสียงชาวนาในหลายเขตเทคะแนนให้แนวร่วมฝ่ายค้านเพื่อต่อต้านกฎหมายฉบับนี้ และที่สำคัญที่สุด นโยบายชาตินิยมฮินดูที่มากล้นส่งผลให้คนชายขอบทั้งชาวมุสลิม ชนกลุ่มน้อย ชนต่างชาติพันธ์ หรือแม้แต่คนวรรณะล่าง ต่างเปลี่ยนใจเทคะแนนให้ฝ่ายค้านอย่างล้นหลาม แตกต่างจากการเลือกตั้งสองครั้งที่ผ่านมา
นอกจากปัจจัยทั้งสองที่กล่าวมาข้างต้นแล้วยังมีอีกหลากหลายปัจจัยด้วยกันที่ส่งผลให้คะแนนนิยมของพรรคบีเจพีไม่เพิ่มขึ้นอย่างที่คาดเอาไว้ อย่างไรก็ตามก็คงปฏิเสธได้ยากว่าพรรคบีเจพียังเป็นที่นิยมในหมู่คนอินเดีย บีเจพีถือเป็นพรรคอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งรอบนี้โดยได้ที่นั่งมากถึง 240 ที่นั่ง แม้จะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียวแต่บีเจพีก็นำพาพรรคพันธมิตรจัดตั้งรัฐบาลผสมได้สำเร็จ ฉะนั้นในจุดนี้ก็ถือเป็นความสุขของพรรคบีเจพีที่ได้เป็นรัฐบาลสมัยที่ 3 ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีโมดี เช่นเดียวกันแนวร่วมฝ่ายค้านเองก็ยินดีปรีดากับคะแนนนิยมที่เพิ่มขึ้นจนสูสีกับแนวร่วมฝ่ายรัฐบาล ผลการเลือกตั้งอินเดียในรอบนี้จึงถูกล้อเลียนกันในวงการสื่อว่า “เป็นการเลือกตั้งที่ไม่มีใครแพ้เลย” เพราะทุกฝ่ายได้รับผลลัพธ์ตามคาดหรือเกินคาดกันทั้งนั้น
นายกรัฐมนตรีสมัยที่ 3 ของโมดีกับรัฐบาลผสมครั้งแรก
ถึงแม้ว่าแนวร่วมพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติที่นำโดยพรรคบีเจพีจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จและช่วยให้นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีสามารถรักษาเก้าอี้สมัยที่ 3 ได้สำเร็จ แต่นี่จะถือเป็นครั้งแรกในการบริหารประเทศที่พรรคร่วมรัฐบาลมีผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลเนื่องจากทั้งการเลือกตั้งปี 2014 และ 2019 พรรคบีเจพีพรรคเดียวสามารถตั้งรัฐบาลได้โดยไม่มีพรรคร่วม กล่าวคือมีคะแนนเสียงมากกว่าครึ่งของโลกสภา แต่ในครั้งนี้พรรคบีเจพีมีคะแนนเสียงไม่ถึงครึ่งของโลกสภา ส่งผลให้ต้องพึ่งพาคะแนนเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาล ฉะนั้นการจัดตั้งรัฐบาลในรอบนี้ของพรรคบีเจพีจึงเต็มไปด้วยการต่อรองของบรรดาพรรคแนวร่วมซึ่งสะท้อนผ่านคณะรัฐบาลที่ตำแหน่งรัฐมนตรีบางกระทรวงต้องสละให้กับพรรคร่วมรัฐบาล
ลักษณะเช่นนี้ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีโมดีต้องทำหน้าที่สองบทบาทในเวลาเดียวกัน กล่าวคือด้านหนึ่งต้องบริหารประเทศเพื่อผลักดันนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ให้ออกมาเป็นรูปธรรมผ่านการประสานกันของบรรดารัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ซึ่งรอบนี้มีพรรคร่วมเข้ามาเป็นรัฐมนตรีเป็นจำนวนมากพอสมควร ซึ่งแต่ละพรรคก็มีนโยบายที่ตัวเองเคยหาเสียงเอาไว้เช่นเดียวกัน นั่นทำให้การประสานนโยบายเป็นภารกิจสำคัญแรกๆ ที่นายกรัฐมนตรีจะต้องทำในการขึ้นสู่สมัยที่ 3 นี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีมาก่อนในการเป็นรัฐบาลทั้ง 2 สมัยที่ผ่านมา
ด้านที่สองซึ่งสำคัญและมีผลกระทบต่อการอยู่รอดของรัฐบาลคือการเดินเกมทางการเมืองระหว่างพรรคหลักอย่างบีเจพีและพรรคร่วมรัฐบาล เพราะในการขับเคลื่อนงานเชิงนโยบายจำเป็นต้องอาศัยอำนาจทางกฎหมายจากโลกสภาในการผ่านร่างกฎหมายฉบับต่างๆ รวมถึงงบประมาณแผ่นดิน การทำงานการเมืองในรัฐบาลโมดีสมัยที่ 3 จึงจำเป็นต้องมีความเข้มข้นมากขึ้น เพราะวันนี้พรรคบีเจพีมีคะแนนไม่ถึงครึ่ง หากเกิดการโหวตสวนจากพรรคร่วมรัฐบาลก็อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพรวมนโยบายในการพัฒนาประเทศได้เช่นเดียวกัน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งงานหินที่พรรคบีเจพีและนายกโมดีต้องทำให้ดีในสมัยที่ 3 ของการเป็นรัฐบาล
ลักษณะการทำงานทั้งการประสานนโยบายการบริหารและการเมืองถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะกำหนดทิศทางการบริหารประเทศในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของพรรคร่วมที่มีอำนาจต่อรองมากยิ่งขึ้นในวันที่พรรคบีเจพีขาดพรรคร่วมไม่ได้ ซึ่งนักวิเคราะห์จำนวนมากมองตรงกันว่า แรงกดดันการทำงานของรัฐบาลในรอบนี้จะมาจากสองพรรคแนวร่วมสำคัญคือพรรคเตลุคุเดซัม (Telugu Desam Party) จากรัฐอานธรประเทศมี 16 ที่นั่ง และพรรคชนะตะดัล (Janata Dal – United) จากรัฐพิหาร มี 12 ที่นั่ง ซึ่งสองพรรคนี้ทำให้รัฐบาลมั่นคง เพราะถ้าสองพรรคนี้พร้อมใจกันถอนตัว รัฐบาลก็ล่มทันที ยกเว้นพรรคบีเจพีจะสามารถดึงพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านให้ทรยศมาร่วมกันตั้งรัฐบาลทดแทนได้
ข้อเรียกร้องของทั้งสองพรรคนี้ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การขอเงินงบประมาณจากส่วนกลางมาลงทุนในรัฐของตนเองมากยิ่งขึ้น มากกว่าข้อต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล เพราะต้องเข้าใจก่อนว่าอินเดียเป็นดินแดนสหภาพที่ประกอบด้วยรัฐต่างๆ ที่สามารถมีนโยบายทางเศรษฐกิจของตัวเองได้ โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาลสหภาพที่อยู่ที่เดลี ฉะนั้นการเลือกตั้งระดับรัฐของอินเดียจึงมีความสำคัญ เพราะนั่นคือพื้นที่ปฏิบัติการทางนโยบายที่แท้จริง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บรรดาพรรคระดับรัฐให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งระดับรัฐมากกว่าระดับชาติ เพราะนั่นคือความอยู่รอดของพรรคตัวเองในอนาคต และพรรคระดับรัฐจะอยู่รอดได้ก็ต้องมีผลงานการพัฒนารัฐนั้นๆ ฉะนั้นการได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ประโยชน์สำคัญคือการดึงเงินของคนทั้งประเทศมาพัฒนารัฐของตัวเองได้เพิ่มขึ้นนั่นเอง
แน่นอนว่าสำหรับพรรคเตลุคุเดซัม โปรเจกต์สำคัญในการหาเสียงรอบนี้คือการพัฒนาเมืองเอกอย่างอัมราวตี (Amaravati) ให้ยิ่งใหญ่ทัดเทียมกับเมืองไฮเดอราบัดที่เคยใช้เป็นเมืองหลวงร่วมกันระหว่างสองรัฐคืออานธรประเทศ และเตลังคานา โครงการนี้ต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลในการลงทุนซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากรัฐบาลสหภาพอย่างไม่ต้องสงสัย โอกาสที่เป็นรัฐบาลผสมนี้เองส่งผลให้พรรคเตลุคุเดซัมใช้เหตุผลทางการเมืองในการกดดันของบประมาณมาพัฒนารัฐของตัวเอง ซึ่งนี่ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งที่รัฐบาลโมดี 3.0 ต้องเผชิญนับตั้งแต่ตั้งรัฐบาล ลักษณะเช่นยังจะเกิดขึ้นกับรัฐอื่นๆ ที่มีพรรคแนวร่วมรัฐบาลอยู่ เช่นในพิหารและมหาราษฏร
ฉะนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพรรคบีเจพี เพราะหลังเสร็จศึกเลือกตั้งระดับชาติ ศึกต่อไปก็คือศึกเลือกตั้งระดับรัฐ โดยเฉพาะสองรัฐใหญ่อย่างรัฐมหาราษฏระ และหรยานา ซึ่งจะมีการเลือกตั้งในเดือนตุลาคมปี 2024 นี้ โดยในสองรัฐสำคัญนี้ จากการเลือกตั้งทั่วไปที่ผ่านมา พรรคบีเจพีทำได้ไม่ดีนัก หากสูญเสียสองรัฐนี้ให้กับพรรคฝ่ายค้านก็จะเป็นการยากสำหรับพรรคบีเจพีเข้าไปอีกในการขับเคลื่อนนโยบาย เพราะอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าสุดท้ายแล้วความสำเร็จของนโยบายรัฐบาลสหภาพในภาพรวมต้องมาพร้อมกับความเต็มใจในการขับเคลื่อนนโยบายในทิศทางเดียวกันของรัฐบาลระดับรัฐด้วย ยิ่งรัฐบาลระดับรัฐเป็นพวกตัวเองมากเท่าไหร่ การขับเคลื่อนนโยบายระดับประเทศก็ง่ายมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น โดยสรุปก็ต้องบอกว่าผลการเลือกตั้งอินเดียปี 2024 ถือเป็นการเปิดประวัติศาสตร์การเมืองครั้งใหม่ของอินเดีย เพราะนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีสามารถครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ 3 สมัยติดต่อกัน ซึ่งคนที่ทำได้คนแรก และคนเดียวในประวัติศาสตร์การเมืองอินเดียคือนายกรัฐมนตรีชวาหร์ลาล เนห์รู จากพรรคคองเกรส นี่ถือเป็นชัยชนะและความสำเร็จทางประวัติศาสตร์ของพรรคบีเจพี แต่ในขณะเดียวผลการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ทำให้การเมืองอินเดียกลับมามีสีสันอีกครั้ง โดยเฉพาะฝ่ายค้านที่มีพลัง มีปากมีเสียงมากยิ่งขึ้น ซึ่งสำหรับคนอินเดีย นี่แหละคือการเมืองอินเดียที่แท้จริง การเมืองเรื่องของการตรวจสอบถ่วงดุล ฉะนั้นในทุกจังหวะก้าวทางการเมืองของทุกพรรคนับแต่วันนี้จะเป็นที่จับตามองมากยิ่งขึ้น เพราะในระหว่าง 5 ปีนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้