อนาคตที่ไม่ง่าย
ดร.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ และหัวหน้าที่ปรึกษาการแพร่ระบาดของรัฐบาลโจ ไบเดน กล่าวในการสัมมนาออนไลน์ที่จัดโดย Harvard T.H. Chan School of Public Health เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมาว่า สหรัฐฯ จะสามารถกลับสู่สภาพปกติได้ในช่วงปลายปี 2021 แต่ในระดับโลก การระบาดจะยังไม่หยุดภายในสิ้นปีอย่างแน่นอน และสหรัฐฯ ยังคงต้องอยู่ในภาวะที่ต้องเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์เชื้อไวรัส ซึ่ง ดร.เฟาซี ประเมินว่า ถ้าสหรัฐฯ สามารถเพิ่มการฉีดวัคซีนได้ 3 ล้านโดสต่อวัน ภายในไม่กี่สัปดาห์ ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนให้แนวโน้มการติดเชื้อลดลง (แต่)ไม่ใช่ปราศจากการติดเชื้อ
สหรัฐฯ ฉีดวัคซีนเฉลี่ยย้อนหลัง 7 วัน ได้วันละ 2.4 ล้านโดส และสามารถฉีดไปแล้ว 44% ของประชากร (3 พฤษภาคม 2564) หากเป็นดังที่ ดร.เฟาซี กล่าว และหากอ้างอิงสถานการณ์ในสหรัฐอเมริกา ก็น่าจะประเมินอนาคตประเทศไทยได้ว่า สถานการณ์โรคระบาดในไทยน่าจะยังไม่จบลงง่ายๆ แม้จะฉีดวัคซีนได้ครบ 50 ล้านคนในสิ้นปี ก็ยังคงต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของเชื้อไวรัส อาจจะต้องจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกหลายครั้ง ซี่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อคนระดับกลางและระดับล่างอย่างรุนแรง
ประเทศไทยจึงน่าจะต้องจัดหาวัคซีนมากกว่าที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ เหมือนอย่างหลายประเทศชั้นนำในโลกที่จองวัคซีนมากกว่าจำนวนพลเมือง เพื่อรองรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของไวรัส หรือมีการแพร่ระบาดและยังคงมีการเสียชีวิตอยู่
หากไม่นับวิกฤตสุขภาพ อันที่จริงสังคมเศรษฐกิจไทยก็กำลังเผชิญความท้าทายแห่งยุคสมัยอยู่แล้ว ได้แก่ ภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางอาชีพจากหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งจะทำให้ความเหลื่อมล้ำยิ่งขยายกว้างมากขึ้น เพราะคนที่มีโอกาสได้รับการศึกษาที่ดี ทำงานที่เน้นใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์และทักษะการปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ ซึ่งได้รับเงินเดือนค่าจ้างมากกว่า จะสามารถร่วมมือ (Complement) กับเทคโนโลยี ในขณะที่แรงงานไร้ทักษะหรืออาชีพที่ทำงานใช้ทักษะไม่ค่อยซับซ้อน กำลังจะโดนแทนที่ (Substitute) จากหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์
อีกทั้งภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก็จะมีผลต่อมนุษยชาติ ทั้งด้านความมั่นคงทางอาหาร ภัยธรรมชาติทั้งคลื่นความร้อนและอากาศแปรปรวน ผลผลิตการเกษตรถูกทำลาย ความต้องการใช้พลังงานจากเครื่องปรับอากาศ และ ผลกระทบต่อเนื่องอื่น ๆ อีกมากมายมหาศาล ซึ่งคนจนจะได้รับผลกระทบรุนแรงมากกว่า เพราะความสามารถในการปรับตัวที่จำกัดและการขาดความคุ้มครองทางสังคม (Social Protection)
ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังเป็นอันดับต้นๆ ของโลกที่ผู้สูงอายุมีจำนวนและสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยภายในอีก 20 ปีข้างหน้า คือปี 2583 ไทยจะมีคนแก่ประมาณ 1 ใน 4 ของประชากร ถ้านิยามผู้สูงอายุที่อายุ 65 ปีขึ้นไป หรือ ประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรหากนิยามด้วยอายุ 60 ปีขึ้นไป
ประชากรที่เกิดในช่วงปี 2506-2526 ยุค Baby Boom ที่มีจำนวนมากกว่า 1 ล้านคนต่อปีกำลังเข้าสู่อายุ 60 ปี ซึ่งหมายความว่า คนอายุ 60 ปีขึ้นไป กำลังจะเพิ่มขึ้นปีละ 1 ล้านคน ต่อเนื่องไปอีก 20 ปี ด้วยโครงสร้างประชากรแบบนี้ คนในวัยทำงานสร้างชาติในยุคสมัยถัดไป จะเผชิญสถานการณ์ที่ลำบากกว่าคนทำงานรุ่นปัจจุบัน โดยจะต้องรับภาระเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ในวัยพึ่งพิง ซึ่งย่อมส่งผลต่อความสามารถที่จะลงทุนด้านการศึกษาหรือลงทุนทำธุรกิจ
คงไม่เกินจริงนักหากจะกล่าวว่า คนรุ่นใหม่จำนวนมากประเมินอนาคตของตนเองในประเทศนี้ไม่สดใสนัก จึงเกิดเป็นกระแส ‘ย้ายประเทศ’ ในโซเชียล ความเป็น ‘พลเมืองโลก’ ของคนกลุ่มนี้ ทำให้พวกเขามองเห็นและสามารถเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าหากไปใช้ชีวิตทำงานจ่ายภาษีในประเทศพัฒนาแล้ว
ความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยอัปลักษณ์มาก
ปัจจุบัน วิกฤติเศรษฐกิจและโควิด-19 ได้เปลื้องเปลือยความอ่อนแอและความเปราะบางในระดับโครงสร้างของสังคมไทย และทำให้ความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มคนรวยสุดๆ และประชากรส่วนใหญ่ ยิ่งแผ่ขยายมากขึ้น
ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สิน ติดอันดับแรกๆ ของโลก โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา 50 ตระกูลรวยที่สุด มีทรัพย์สินเพิ่มเฉลี่ยต่อปี 20-30% หรือรวยขึ้นเฉลี่ย 6 เท่า โดย 50 ตระกูลนั้นมีทรัพย์สินรวมกัน 5 ล้านล้านบาท หรือ มากกว่างบประมาณแผ่นดินซึ่งอยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท เกือบ 70 %
หากจำแนกการครอบครองที่ดินตามขนาดเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มละเท่าๆ กัน สัดส่วนการของกลุ่มมีที่ดินมากสุด ถือครองที่ดินมากกว่ากลุ่มมีที่ดินน้อยสุด 300 กว่าเท่า
ผู้ที่ถือครองหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงสุดมักเป็นบุคคลไม่กี่ตระกูลที่เป็นอภิมหาเศรษฐี และมีมูลค่าการถือครองหุ้นทั้งหมดสูงเสียดฟ้า โดยในปี 2553 และ 2554 ผู้ถือครองหุ้นมีมูลค่ามากที่สุด 10 อันดับแรก ถือครองหุ้นมีมูลค่ารวมกันเกิน 100,000 ล้านบาท
ในขณะที่ข้อมูลต้นปี 2564 ชี้ว่า ผู้ถือครองหุ้นมีมูลค่ามากที่สุด 10 อันดับแรก ถือครองหุ้นมีมูลค่ารวมกันเกิน 500,000 ล้านบาท ซึ่งรวยขึ้นกว่า 30,000 ล้านบาท จากไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว
ความเหลื่อมล้ำส่งผลลบต่อสังคมอย่างมิต้องสงสัย งานวิจัยนานาชาติด้านเศรษฐศาสตร์การพัฒนาสรุปว่า ความเหลื่อมล้ำไม่เพียงแต่จะกดทับศักยภาพในการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ แต่ยังทำให้ประเทศมีความเสี่ยงกับความขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองอีกด้วย
ประเทศไทยสามารถสร้างความเสมอภาคได้มากขึ้น โดยจัดสรรการถือครองทรัพย์สินใหม่ ใช้ภาษีทรัพย์สินในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ จะได้ผลมากกว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพราะภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจัดเก็บได้ค่อนข้างยากและมีฐานภาษีแคบ จึงมีผลน้อยมากต่อการลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้
นอกจากนี้ การปฏิรูปโครงสร้างภาษีจะช่วยยกระดับการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลให้ใกล้เคียงกับ ‘ศักยภาพในการเสียภาษี’ มากขึ้นด้วย และยังทำให้ระบบภาษีมีความเป็นธรรมและเสมอภาคมากขึ้น
ประเทศไทยยังไม่ได้เก็บภาษีอย่างเต็มศักยภาพ
การที่บริการสาธารณะและระบบรัฐสวัสดิการมีไม่เพียงพอและคุณภาพย่ำแย่ ดังที่สะท้อนให้เห็นตั้งแต่ก่อนยุคโควิด-19 ส่วนหนึ่งเพราะว่ารัฐมีงบประมาณจํากัด ซึ่งเกิดจากการเก็บภาษีได้น้อย (ยังไม่รวมที่ถูกโจรกรรมไปอีกมูลค่ามหาศาล)
ประเทศไทยมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพียงร้อยละ 18 ของจีดีพี ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยสาเหตุของการจัดเก็บภาษีได้น้อยมีหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น อัตราภาษีที่ต่ำเกินไป การลดหย่อนภาษี และการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพื่อส่งเสริมการลงทุน
ในการลดหย่อนภาษีและการมีข้อยกเว้นต่างๆ คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดมักเป็นกลุ่มคนรวย ไม่ว่าจะเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคคล อากรขาเข้าและขาออก ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต และภาษีบาป ซึ่งทำให้บรรดาเจ้าสัวที่ลงทุนเกี่ยวข้องกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ เขตปลอดอากร และนิคมอุตสาหกรรม หรือกระทั่งการโอนมรดกให้ลูกแฝด 2 คนๆ ละ เกือบ 100 ล้านบาท ก็ได้รับการยกเว้นภาษีมรดก เพราะมูลค่าที่รับโอนน้อยกว่า 100 ล้านบาท เป็นต้น เพราะฉะนั้นการลดหย่อนและยกเว้นภาษีเหล่านี้ทำให้รัฐเก็บภาษีได้น้อยลง เสียรายได้มหาศาล
ดังนั้น ด้วยเหตุผลทั้งทางเศรษฐศาสตร์และทางศีลธรรม – ภายในระยะสั้น ผู้เขียนเสนอว่า นโยบายที่สามารถทำได้ คือ ‘Earmarked VAT‘ ซึ่งก็คือ ‘การเพิ่ม VAT โดยกำหนดให้ใช้สำหรับสวัสดิการเท่านั้น’ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนระดับกลางและระดับล่าง และป้องกันความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ
ส่วนในระยะยาว รัฐควรจะเร่ง ‘ปฏิรูประบบภาษี‘ เพื่อหาแหล่งรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการเก็บภาษีจากกลุ่มคนที่รวยที่สุดของประเทศ
ทั้ง 2 วิธี จะสามารถทำให้ประเทศไทยมีรายได้สำหรับงบประมาณเพิ่มขึ้นปีละเป็นแสนล้านบาท
ความหวังเพื่อคุณภาพชีวิต
ผลจากโควิด-19 จะทำให้ประเทศไทยมีข้อจำกัดในการจ่ายหนี้สาธารณะในอนาคต และทำให้ศักยภาพในการเติบโตของประเทศสูญหายไปอย่างมหาศาลจากเศรษฐกิจติดลบ ในขณะที่ประเทศกำลังต้องการงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อเยียวยาประชาชน (ไม่ต้องพูดถึงว่า แต่เดิมงบประมาณสำหรับสวัสดิการคุ้มครองประชาชนก็มีไม่เพียงพออยู่แล้ว)
ดังนั้น จึงได้เวลาแล้วที่ประเทศไทยต้อง “ปฏิรูปภาษีทั้งระบบ” และ “เพิ่ม VAT โดยกำหนดให้นำรายได้ส่วนนี้ไปใช้สำหรับการจัดสรรสวัสดิการเท่านั้น” ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะเป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของประเทศได้สนับสนุนมานานแล้ว และเป็นนโยบายปกติที่ทำกันในประเทศพัฒนาแล้ว
แนวนโยบายนี้สอดคล้องรายงาน Fiscal Monitor ของ IMF ประจำเดือนเมษายน 2021 ที่เสนอให้เพิ่มงบประมาณด้านสังคม เพื่อพัฒนามาตรการรองรับทางสังคม ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาการเข้าถึงที่เป็นธรรมสำหรับระบบสาธารณสุข การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาว
ทั้งนี้ IMF ได้เสนอให้เก็บภาษีนิติบุคคลเพิ่มขึ้นสำหรับธุรกิจที่ได้โอกาสทำกำไร ในช่วงเวลาวิกฤตเศรษฐกิจและโควิด-19 เพื่อการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขและความปรองดองในสังคม
ในต่างประเทศก็เริ่มมีการขยับนโยบายแล้วเช่นกัน โดยรัฐบาลโจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา ได้นำเสนอนโยบายเพื่อจัดการกับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ โดยไม่ขึ้นภาษีประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ แต่จะเน้นขึ้นภาษี 2% สำหรับเศรษฐีที่ครอบครองทรัพย์สินมูลค่า 50-1,000 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มภาษี 3% สำหรับเศรษฐีที่รวยระดับ 1,000 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป
Earmarked VAT: บททดลองเสนอเชิงนโยบาย
ในระยะสั้น ผู้เขียนคิดว่า ประเทศไทยสามารถทำ Earmarked VAT เช่น เพิ่ม 0.5% เพื่อนำรายได้มาใช้กับสวัสดิการของประชาชนโดยตรง แต่เนื่องจากการขึ้น VAT นั้นส่งผลกระทบต่อ ‘ผู้บริโภค’ โดยตรง ผู้เขียนเห็นว่า นโยบายนี้จึงควรที่จะได้รับความเห็นชอบจากประชาชน โดยเป็นโอกาสดีที่จะทดลองหยั่งเสียงประชาชนในการทำนโยบายสาธารณะด้วย เช่น ถ้าต้องการทราบเสียงจากประชาชน ทางคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ก็น่าจะสามารถขอความร่วมมือจากผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้บริการ SMS ฟรี เพื่อการโหวตลงความเห็น
ถ้าประชาชนเห็นด้วย จนนำไปสู่การขึ้นอัตรา VAT จริง เพื่อนำไปสร้างประโยชน์โดยตรงต่อประชาชนผู้จ่ายภาษี หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงพลังงาน จะต้องควบคุมการฉวยโอกาสไม่ให้นายทุนผลักภาระภาษีไปยังผู้บริโภคทั้งหมด
หากนโยบายนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในรัฐบาลปัจจุบัน ผู้เขียนเห็นว่าในระยะยาว การจะผลักดันนโยบายภาษีเพื่อสร้างรัฐสวัสดิการนั้น จะต้องมาจากความต้องการของประชาชนผู้เสียภาษี ผ่านกระบวนการทางประชาธิปไตยที่มีพรรคการเมืองแข่งขันกันนำเสนอนโยบายให้ประชาชนเลือก อย่าลืมว่า ในการเลือกตั้งครั้งก่อน พรรคการเมืองหลายพรรคได้เสนอฝันรัฐสวัสดิการ โดยยกมือไหว้ แทบจะก้มลงไปกราบขอคะแนนจากประชาชน แต่พอเข้าไปอยู่ในสภาแล้ว กลับไม่สามารถทำได้อย่างที่หาเสียงไว้ ในคราวถัดไป ประชาชนควรที่ใช้คะแนนแสดงเจตจำนงและลงโทษพรรคเหล่านั้นเสีย
อย่างไรก็ตาม การได้เงินงบประมาณมากขึ้นไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย เมื่อได้เงินมาแล้ว การจัดลำดับความสำคัญของงบประมาณ จะต้องมุ่งเป้าไปที่ด้านสวัสดิการซึ่งมีประโยชน์โดยตรงต่อประชาชน เช่น การลงทุนแบบถ้วนหน้าให้กับเด็กปฐมวัย การขยายกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา การเพิ่มเงินชดเชยรายได้การตกงาน การอนุมัติให้งบรายหัวบัตรทองตามที่ผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอ และการเพิ่มการจัดบำนาญถ้วนหน้าสำหรับผู้สูงอายุที่อยู่นอกระบบ เพื่อรองรับคนจนสูงอายุที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าเดิมจากวิกฤติโควิด-19
บทสรุป
เมื่อ 20 ปีก่อน สมัยที่กำลังจะก่อตั้งระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง มีผู้ที่คัดค้านและไม่เชื่อว่า ประเทศไทยจะมีงบประมาณเพียงพอ แต่ความก้าวหน้าของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยเป็นข้อพิสูจน์ว่า “การเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เป็นบวกใดๆ สำหรับประเทศไทย สามารถที่จะเกิดขี้นเป็นจริงได้” และยังเป็นตัวอย่างความภาคภูมิใจในระดับโลก เป็นแรงบันดาลใจให้ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้ากลายเป็นเป้าหมายและเจตนารมณ์ร่วมกันของมนุษยชาติในปัจจุบัน
ดังนั้น ประชาชน ข้าราชการ นักวิชาการ และนักการเมือง ที่มีความฝันอยากจะเห็นการจัดสรรทรัพยากรจากเงินภาษี เพื่อความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำสุดขีด และจัดลำดับความสำคัญงบประมาณใหม่ (Budget Reprioritization) โดยมุ่งให้คุณค่ากับคุณภาพชีวิตของประชาชน และลงทุนให้กับอนาคตของประเทศ จึงควรที่จะมีความหวัง และ ช่วยกันขับเคลื่อนเรียกร้องเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนด้วยกันเอง ซึ่งสมเหตุผลทั้งทางเศรษฐศาสตร์และศีลธรรม
อ้างอิง
‘Very strong degree of normality’ likely by year’s end
Labour Skills, Economic Returns, and Automatability in Thailand
งานวิจัย เผยก๊าซเรือนกระจกอยู่ในระดับที่สูงกว่าประวัติศาสตร์ที่เคยมีมากว่า 8 แสนปี
ปี 64 ลานีญาแผลงฤทธิ์ แล้งกระจุกท่วมกระจาย
Climate change hits the poor hardest. Here’s how to protect them
เปิด10 อันดับเศรษฐีหุ้นไทยQ1 มั่งคั่งเพิ่มกว่า 3 หมื่นล้านบาท
ภาษีที่ดินและมรดก: ใครมี ใครจ่าย ใครได้ประโยชน์
นักวิชาการชี้ความมั่งคั่งของไทยอยู่ที่ใคร! คน 20% ครองทรัพย์สินสุทธิเกินครึ่งประเทศ
5 มุมมองใหม่จากข้อมูลผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ความเหลื่อมล้ำและภาวะโลกร้อน โอกาสและความท้าทายใหม่ของไทย ปาฐกถาพิเศษโดย ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร
เส้นทางสู่ความ(ไม่)เสมอหน้า ‘ผาสุก พงษ์ไพจิตร’
โครงการวิจัยการประมาณการงบประมาณสําหรับผู้สูงอายุและแหล่งที่มาของเงิน
เปิดงานวิจัย ความยากจนและขัดสน อุปสรรคต่อความพร้อมเด็กปฐมวัย
การพัฒนาประสิทธิภาพทางการคลังที่ยั่งยืนสำหรับระบบประกันสุขภาพ
ชี้แจกเงินคนจนไม่เลวร้าย แต่ต้องยั่งยืน ที่ทำอยู่คือหาเสียง ให้ครั้งเดียวก่อนเลือกตั้ง
เปลี่ยนแปลงอนาคตประเทศไทยด้วยการปฏิรูปภาษี
ภาษีลดความเหลื่อมล้ำ โดยสมหมาย ภาษี
การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจโดยมาตรการทางการคลัง
รายงาน: ความเหลื่อมล้ำของระบบภาษีไทย (1)
รายงาน: ความเหลื่อมล้ำของระบบภาษีไทย (2)
‘ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง’ ลดเหลื่อมล้ำยังต้องดูอีกยาว
ส.ส.เดโมแครตเสนอแผนขึ้นภาษีคนรวยล้นฟ้าชาวอเมริกัน หวังลดความเหลื่อมล้ำ
เก็บภาษีกำไรหุ้น เพิ่มหรือลด ความเหลื่อมล้ำ ?
การเสนอให้จัดเก็บ “ภาษีกำไรขายหุ้น” หรือ Capital Gains Tax ของสภาพัฒน์
ยิ่งลดหย่อน…ยิ่งเหลื่อมล้ำ?: บทเรียนจากการให้สิทธิลดหย่อนภาษี LTF และ RMF
ลดความเหลื่อมล้ำ นำไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน