ภาพ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ชูกำปั้นขวาขึ้นฟ้าด้วยสีหน้าขมึงทึง ใบหน้าซีกหนึ่งเปรอะเลือดจากใบหู รายล้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ กับผืนธงชาติอเมริกาสะบัดเป็นฉากหลัง -นี่คือภาพเสี้ยววินาทีหลังกระสุนปืนเพิ่งเฉียดผ่านใบหูข้างขวาของเขา และคงไม่เกินเลยหากเราจะบอกว่าเหตุการณ์นี้และภาพใบนี้ได้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันร่วมสมัย
13 กรกฎาคมที่ผ่านมา ระหว่างการออกปราศรัยหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย สื่อมวลชนจำนวนมากเป็นประจักษ์พยานและเป็นผู้บันทึกเหตุการณ์วินาทีที่กระสุนพุ่งเฉียดใบหูของทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้ลงสมัครจากพรรครีพับลิกัน นับตั้งแต่จังหวะที่เสียงปืนลั่นอยู่ไกลๆ ทรัมป์หยุดชะงัก เอื้อมจับใบหูตัวเองด้วยสีหน้าสับสน แล้วจากนั้นความโกลาหลก็กระชากตัวขึ้นถึงขีดสุดเมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกระโจนขึ้นเวที ดึงทรัมป์ให้หลุดพ้นจากแนวกระสุน ท่ามกลางเสียงปืนที่ยังดังขึ้นอีกหลายนัด
อึดใจต่อมา ทรัมป์ลุกขึ้นยืน ใบหน้าเปรอะเปื้อนเลือด เขาชูกำปั้นขึ้นฟ้า มีธงสหรัฐอเมริกาโบกสะบัดอยู่ข้างหลัง ข้างล่างลงไปนั้น อีวาน วักซี (Evan Vucci) ช่างภาพจาก Associated Press (AP) ลั่นชัตเตอร์บันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ นาทีต่อมา มันถูกส่งเข้าระบบของสำนักข่าว AP และถูกเผยแพร่แทบจะในทันที และไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ภาพที่ทรัมป์ -อดีตประธานาธิบดีและนักการเมืองฝั่งขวาจัด- ชูกำปั้นที่วักซีถ่ายกลายเป็นหนึ่งในภาพประวัติศาสตร์อย่างไม่ต้องสงสัย
“หลายคนบอกว่ามันเป็นภาพที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเห็น” ทรัมป์ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวนิวยอร์กโพสต์ “พวกเขาพูดถูก ผมรอดชีวิตมาได้ ทั้งที่คุณต้องตายเพื่อให้ได้ภาพที่โดดเด่นขนาดนี้”

การลอบสังหารไม่ว่าจะที่ไหน วาระใดก็เป็นเรื่องใหญ่โดยตัวมันเองอยู่แล้ว ยิ่งเป็นการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีที่ ‘อื้อฉาว’ ที่สุดคนหนึ่งของยุคสมัย จากประเทศที่เคยเกิดการลอบสังหาร จอห์น เอฟ. เคนเนดี (John F. Kennedy) ประธานาธิบดีคนที่ 35 จนสั่นสะเทือนไปทั้งโลก ในช่วงเวลาก่อนหน้าการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึงเพียงไม่กี่เดือน ความพยายามลอบสังหารโดนัลด์ ทรัมป์จึงถูกนำไปแทนค่าในสมการทางการเมืองและทางประวัติศาสตร์ต่างๆ มากมาย
และไม่ว่าผลของการแทนค่าจะออกมา ‘หน้าไหน’ อย่างไรคงปฏิเสธถึงแรงสะเทือนที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และทั่วโลกไม่ได้
ภาพของวักซีถือเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ทรงพลังมากที่สุดในสมการนี้ มันถูกส่งต่ออย่างรวดเร็วแทบจะวินาทีต่อวินาที และไม่มากก็น้อย มันได้กลายเป็นภาพที่ ‘นิยาม’ การเมืองสหรัฐฯ และการเมืองโลกในโมงยามนี้ไว้ได้ครบถ้วนที่สุด
วักซีเป็นช่างภาพอาชีพ เขาเคยอยู่ในสมรภูมิที่อิรักกับอัฟกานิสถาน ภายหลังภาพที่เขาถ่ายทรัมป์ถูกเผยแพร่ออกไปและกลายเป็นที่พูดถึงอย่างหนาหูในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เขาให้สัมภาษณ์ว่า “ประสบการณ์ทำให้เรารู้ว่าเวลาเราเจอสถานการณ์แบบนั้นเราต้องทำยังไง การมีประสบการณ์ยาวนานทำให้คุณยังเยือกเย็นอยู่ได้ เพราะมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ผมจึงยังใจเย็น ยังหาทางคิด ยังหาทางจัดวางองค์ประกอบภาพได้ และผมว่าเราทุกคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนแล้วก็แต่อยู่กับช่วงเวลาปัจจุบันกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“ผมบอกตัวเองแค่ว่า ‘ช้าลง ช้าหน่อย จัดองค์ประกอบภาพก่อน’ เอาล่ะ ทีนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อ ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมแค่พยายามคิดไว้ให้ครบทุกมุมแค่นั้น”
สิ้นเสียงปืน วักซีจึงกระโจนออกจากคอกผู้สื่อข่าวและตรงไปยังเวทีที่ทรัมป์ยืนอยู่ “เวลานั้นมันบ้าบอเหลือเกินเพราะสมองเราหยุดทำงานแทบจะในทันที ผมเอาแต่คิดว่า ‘โอเค จะจัดวางองค์ประกอบภาพยังไง แสงมาจากไหน นี่ถ่ายออกมาดีหรือยัง ต้องขยับไปทางขวาหน่อยหรือเปล่า หรือควรจะไปทางซ้าย’ เพราะไม่ว่าจะอย่างไรผมก็ต้องเก็บสีหน้าทรัมป์ไว้ให้ได้
“ตอนที่เขาชูกำปั้นขึ้นฟ้า ผมก็ประหลาดใจอยู่นะ แล้วผมก็เห็นเลือดบนหน้าเขา และตอนนั้นแหละที่ผมรู้เลยว่า ผมเพิ่งถ่ายภาพที่เล่าเรื่องทุกอย่างออกมาได้ครบถ้วน มีเรื่องราวที่อยากถ่ายทอดออกไปแล้ว”
ภาพของวักซีถูกสื่อมวลชนและกลุ่มผู้สนับสนุนนักการเมืองหยิบไปวิเคราะห์และใช้งานแทบจะทุกมุม มันถูกตีความอย่างละเอียดแทบจะทุกมิติ หลายคนคะเนว่าภาพดังกล่าวจะเป็นตัวชี้วัด -และอาจจะตัวเปลี่ยนเกม- การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในปลายปีนี้
“ความมหัศจรรย์ของภาพถ่ายมันก็แบบนี้แหละ คือคนสองคนมองภาพเดียวกันแต่ก็ให้ความเห็นไม่เหมือนกัน” วักซีบอก “งานของผมคือการเป็นสื่อมวลชน ผมฉายโลกให้คนอื่นเห็นผ่านสายตาตัวเอง และพยายามทำงานออกมาให้ได้อย่างดีที่สุด พยายามเป็นมืออาชีพและยุติธรรมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ฉะนั้น ไม่ว่าคนจะมองภาพที่ว่าด้วยมุมมองแบบไหน สื่อมันไปด้วยตรรกะแบบใด หรือกระทั่งใช้มันเพื่อมุมมองทางการเมืองของตัวเอง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องกังวล ผมคิดแค่ว่าเมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ผมรู้สึกว่าตัวเองได้ทำงานอย่างดีและเต็มที่เพื่อฉายให้คุณได้เห็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์อเมริกัน”

ฟิลลิป เคนนิค็อตต์ คอลัมนิสต์ของ วอชิงตัน โพสต์ (Washington Post) แสดงความเห็นเทียบเคียงการบันทึกภาพของเหตุการณ์วันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมากับการลอบสังหารเคนเนดี ซึ่งถูกบันทึกไว้โดย อับราฮัม ซาปรูเดอร์ (Abraham Zapruder) ช่างทำเสื้อที่ใช้กล้องวิดีโอเล็กๆ บันทึกเหตุการณ์ระหว่างที่เคนเนดีมาเยือนรัฐเท็กซัส และโดยไม่ได้ตั้งใจ กล้องของเขาเก็บเอาจังหวะที่กระสุนจากมือสังหารพุ่งทะลุร่างของเคนเนดี ฟุตเตจของซาปรูเดอร์ได้รับการพิจารณาว่าเป็นฟุตเทจที่บันทึกนาทีสังหารไว้ได้ครบถ้วนที่สุด
“พลังของภาพ (ที่วักซีถ่ายไว้) เข้มข้นในระดับเดียวกันกับที่ซาปรูเดอร์บันทึกภาพนาทีที่จอห์น เอฟ เคนเนดี ถูกลอบสังหารเมื่อปี 1963 และมันส่งผลสะเทือนต่อภูมิทัศน์การเมืองอเมริกันยิ่งกว่าภาพที่ ไมเคิล ดูคาคิส (Michael Dukakis) อดีตผู้ลงสมัครประธานาธิบดีอยู่บนรถถัง -ซึ่งเพียงแค่เปลี่ยนมุมมองการหาเสียงทางการเมืองเพียงครั้งเดียว- เสียอีก ภาพของทรัมป์ที่ได้รับการเผยแพร่ออกมาเกิดขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกันกับเหตุการณ์จริง กระจายออกไปรวดเร็วและกว้างขวางกว่าภาพใดๆ ในลักษณะเดียวกันของยุคแอนะล็อก และความหมายที่ถูกตีความจากภาพก็ปรากฏให้เห็นแทบจะในทันทีโดยแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเสียด้วยซ้ำ
“ภาพของวิกซีจะสร้างความจริงให้ดูจริงเสียยิ่งกว่าความจริงที่เป็น มันเปลี่ยนแปลงความโกลาหลและบ้าคลั่งจากเสี้ยววินาทีเล็กๆ แสนอันตรายบนเวทีที่เพนซิลเวเนีย ให้กลายเป็นสัญลักษณ์ความกล้าหาญ, ความเด็ดขาดและความเป็นวีรบุรุษของทรัมป์ ภาพทั้งใบอัดแน่นไปด้วยภาพแทนของชาตินิยมและอำนาจ -ผืนธง, เลือด, สีหน้าเครียดเขม็งของเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลกลางในชุดสูทสีเข้ม- มันจะกระตุ้นความปรารถนาอันดำมืดบางอย่างในชีวิตของคนอเมริกันบางกลุ่ม คนที่โหยหาความรุนแรง เชื่อในศักยภาพของความรุนแรงในโลกการเมือง เวลานี้พวกเขาย่อมพูดได้เต็มปากว่าคนฝั่งเขาคือเหยื่อ -ซึ่งทรัมป์ก็เป็นเหยื่อจริงๆ- และนับจากจุดนี้ เราก็แทบไม่อาจหลีกเลี่ยงวงจรแห่งความรุนแรงได้อีกแล้ว
“ความรุนแรงทางการเมืองมีแต่จะทำให้ประชาธิปไตยเสื่อมโทรมลง มันไม่เคยสร้างผลประโยชน์ใดให้ประชาธิปไตย และภาพนี้ก็เป็นหลักฐานอันชวนเจ็บปวดถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ความรุนแรงสร้างเหยื่อซึ่งจะต้องหาทางแก้แค้นเอาคืน และบ่อยครั้ง มันได้ทำให้เป้าหมายของมันแข็งแกร่งขึ้น ทำให้พวกเขากลายเป็นวีรบุรุษหากรอดชีวิตมาได้ หรือกระทั่งว่าทำให้เป้าหมายกลายเป็นผู้พลีชีพแสนยิ่งใหญ่หากว่าความรุนแรงดังกล่าวมีจุดจบอันเลวร้าย”
เคนนิค็อตต์ชี้ว่า ภาพของวิกซีเพียงภาพเดียว ฉายให้เห็นธีมและอุดมการณ์ทางการเมืองของทรัมป์อย่างหมดจด กล่าวคือมันฉายให้เห็นว่าอเมริกาเป็นพื้นที่อันตราย และภาพนี้ก็ยิ่งย้ำเตือนข้อเท็จจริงดังกล่าว “ทรัมป์ออกปากบ่อยครั้งว่า ‘ไม่มีนักการเมืองคนใดที่ถูกปฏิบัติได้แย่และปราศจากความเป็นธรรม’ มากเท่าเขา และสิ่งที่เขาย้ำมาตลอดนั้นก็เพิ่งจะเป็นจริง มองเห็นได้จริงขึ้นมา ลำพังแค่ภาพเปรอะเลือดก็ได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว”

รอน เบอร์เน็ตต์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปะในแคนาดาและผู้เขียนหนังสือ Cultures of Vision (1995) ระบุแก่เว็บไซต์วอยซ์ ออฟ อเมริกา (VOA) ว่า “ผลกระทบจากภาพที่ทรงพลังขนาดนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้โดยเด็ดขาด เพราะข้อเท็จจริงนั้นไม่ได้มีพลังเหนือภาพที่โดดเด่นขนาดนี้ ความโดดเด่นของภาพนั้นสร้างผลลัพธ์มากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเสมอ แน่ละว่านี่เป็นเรื่องน่ากลัว แต่เราปฏิเสธมันไม่ได้หรอก
“ภาพดังกล่าวสอดรับกับสิ่งที่ทรัมป์พยายามนำเสนออย่างที่สุด จงเรียกมันว่าการสู้รบ (battle) เถอะ เพราะตัวทรัมป์เองก็มองสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการสู้รบเหมือนกัน และภาพดังกล่าว -ท่ามกลางความคิดเห็นมากมายหลากหลาย- ก็แสดงให้เห็นว่าเขากำลังอยู่ในสงครามและตกอยู่ในอันตรายทุกลมหายใจ”
อีริค บูซี ศาสตราจารย์ด้านการสื่อสารทางยุทธศาสตร์ (Strategic Communication) ระบุแก่เว็บไซต์ว็อกซ์ (Vox) ว่าภาพดังกล่าวของทรัมป์ที่วักซีบันทึกไว้นั้น ไม่ว่าอย่างไรก็จะถูกนำไปขยายผลทางการเมืองในทางใดทางหนึ่งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เหนืออื่นใดคือการฉวยจังหวะของทรัมป์ที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายนั้น “ภาพของทรัมป์ที่เปื้อนเลือดและยังอยู่ในภาวะตื่นตระหนก แต่ก็ยังอุตส่าห์ตระหนักได้ว่า ‘เดี๋ยวนะ มีสื่ออยู่ตรงนี้นี่นา ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร ก่อนลงจากเวทีก็ต้องทำให้ดีที่สุดก่อน ใครจะไปสนล่ะว่ายังมีมือปืนคนอื่นซุ่มอยู่อีกหรือเปล่า’ มองจากมุมนี้มันก็น่าจดจำอยู่จริงไหมล่ะ” บูซีว่า
“ผมสงสัยเหมือนกันว่านักการเมืองหรือบุคคลสาธารณะคนอื่นๆ จะทำแบบนี้ได้หรือเปล่า มันคือความกล้าที่จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เช่นนี้ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตา ผมว่าสิ่งนี้แหละสะท้อนทัศนคติของเขา และเป็นคำตอบว่าทำไมเขาถึงได้ปรากฏตัวอยู่บนหน้าสื่อให้เราเห็นตลอดเก้าปีที่ผ่านมานี้”
สำหรับบูซี ภาพที่วักซีถ่ายทรัมป์มานั้นเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่เป็นภาพแทนของชาตินิยมแบบอเมริกัน ยิ่งกับผู้ที่สนับสนุนทรัมป์ สิ่งที่พวกเขาเห็นคือผืนฟ้าแห่งเสรีภาพ, ทรัมป์ที่ท้าทายความเป็นตายแม้จะได้รับบาดเจ็บ และรายล้อมด้วยเจ้าหน้าที่รัฐมหาศาล “คนคนนี้เป็นคนที่ทรงพลังและเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น คุณอาจคิดว่าโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ใช่คนแบบที่ผมว่าก็ได้ แต่ถึงอย่างไร การจะทำอย่างที่เขาทำขณะเผชิญหน้ากับภัยคุกคามก็เป็นเรื่องกล้าหาญเอาจริงๆ”
ยิ่งกับการเมืองสหรัฐฯ ความรุนแรงกับกระสุนปืนนั้นเป็นหมุดหมายบางอย่างที่ฉายภาพ ‘เนื้อตัว’ ของผู้นำประเทศ “สิ่งที่เกิดขึ้นกับทรัมป์ทำให้คนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกใครเป็นประธานาธิบดี หวนนึกถึงธีมหลักของการเมืองอเมริกัน นั่นคือ ‘ผู้อยู่รอดคือวีรบุรุษ’ คุณลองนึกถึงเมื่อครั้งที่ ธีโอดอร์ รูสเวลต์ (Theodore Roosevelt -อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ) โดนลอบยิงแล้วยังกล่าวปาถกฐาต่อไปว่า ‘แค่นี้ไม่พอหรอก! ผมแข็งแกร่งเท่ากับกวางมูสนั่นแหละ’ หรือ จอร์จ วอชิงตัน (George Washington -อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ) ที่ถูกพูดถึงอย่างหนาหูเพราะไม่เคยถูกยิงสมัยสงครามปฏิวัติแม้แต่นัดเดียว มันเป็นไปได้ยังไงกัน แต่เรื่องนี้แหละที่ยิ่งทำให้เขาดูลึกลับน่าค้นหา และตอนนี้ ทรัมป์ก็มีภาพจำแบบนั้นไปแล้ว”
ไม่ว่าอย่างไร ภาพชายผู้ชูกำปั้นขึ้นฟ้า จะแสดงความอหังการ์ ความท้าทายหรือประกาศชัยที่รอดชีวิตมาได้นั้นก็แล้วแต่จะตีความ แต่ถึงที่สุดแล้วเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพหนึ่งใบของทรัมป์ย่อมส่งผลต่อการเมืองสหรัฐฯ ทั้งองคาพยพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายหลังจากการถอนตัวจากศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของ โจ ไบเดน (Joe Biden) ผู้ส่งไม้ต่อให้ กมลา แฮร์ริส (Kamala Harris -รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ) ขึ้นเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูถึงความสั่นคลอนภายใน -ทั้งจากตัวสมาชิกและนายทุน- ของเดโมแครต ยิ่งทำให้ดุลอำนาจโน้มเอียงไปทางรีพับลิกันอย่างชัดเจน ยิ่งพินิจจากบริบทสังคมอเมริกันที่เคว้งคว้างสุดขีดจากสภาพเศรษฐกิจทรุดโทรมลงในรอบหลายปีที่ผ่านมา American Dream และค่านิยมแบบเก่าๆ ที่หลายคนรู้จักมาทั้งชีวิตใช้ไม่ได้จริงอีกต่อไปในโลกอันง่อนแง่น บทบาทการเป็น ‘พี่ใหญ่’ ที่สหรัฐฯ เล่นมาหลายปีกำลังอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เหตุนี้นโยบาย America First (อเมริกาต้องมาก่อน) จึงเป็นพื้นสำคัญที่ทำให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2016 และดูจะยังเป็นพื้นสำคัญของการหาเสียงในปี 2024 ขณะที่หากขยับมองออกไปยังภาพใหญ่ของโลก ก็น่าจับตาว่าสหรัฐฯ จะวางตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองในสถานการณ์อันเต็มไปด้วยสงคราม ความขัดแย้งและความรุนแรงในหลายๆ พื้นที่อย่างไร
และทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ยังผลให้สนามการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในปลายปีที่จะถึง กลายเป็นฉากทัศน์ที่ไม่อาจคาดเดาผลลัพธ์ใดได้เลย