คนเล็กของเล่นใหญ่ : เมื่อเด็กไทยบริจาค “ของเล่น” ไปสู้ “คดีปราสาทเขาพระวิหาร” กับกัมพูชา

เมื่อกล่าวถึงประเทศที่อยู่รอบข้างประเทศไทย เราก็มักจะคุ้นเคยกับวาทศิลป์อย่างคำว่า “ประเทศเพื่อนบ้าน”, “บ้านพี่เมืองน้อง” หรือ “บ้านใกล้เรือนเคียง” ซึ่งล้วนแล้วแต่สื่อความหมายไปในทางที่ดี แต่ทว่าในความเป็นจริง บ่อยครั้งที่ปรากฏข่าวความขัดแย้งเรื่องพื้นที่ทับซ้อนบริเวณชายแดน โดยเฉพาะปัญหาพื้นที่ชายแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาที่ดำเนินมาอย่างยาวนานถึงครึ่งศตวรรษ

สำหรับความทรงจำของคนไทยรุ่นเบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomer) หรือกลุ่มคนที่เกิดในช่วงราวปี 2490 –2507 คงไม่มีประวัติศาสตร์บาดแผลเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านกรณีใด จะถูกจดจำฝังใจได้เท่ากรณี “คดีปราสาทเขาพระวิหาร” ที่ศาลโลกตัดสินให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505

บทความนี้ จะย้อนเวลากลับไปสำรวจอารมณ์ความรู้สึกของคนไทยในช่วงเวลาที่ต้องต่อสู้คดีปราสาทเขาพระวิหารกับกัมพูชา ที่คนไทยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างรวมใจรวมพลังแห่งความรักชาติ บริจาคทั้งเงินและสิ่งของ อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถจักรยาน ไปจนถึงกระทั่งของเล่นเด็ก เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายให้แก่รัฐบาลไทยในการต่อสู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร


หนังสือพิมพ์สารเสรีเปิดรับบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อนำไปประมูลสบทบทุนรัฐบาลสู้คดีเขาพระวิหาร
ที่มาภาพ : สารเสรี 25 ตุลาคม 2502

คดีปราสาทเขาพระวิหาร เริ่มต้นจากความขัดแย้งเรื่องพื้นที่ทับซ้อนแนวชายแดนไทยด้านอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และชายแดนกัมพูชาด้านจังหวัดพระวิหาร โดยเฉพาะปัญหาการอ้างสิทธิเหนือบริเวณปราสาทพระวิหาร ที่ค่อยๆ ลุกลามปานปลายใหญ่โตจนประเทศกัมพูชาประกาศยกเลิกสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย และประเทศไทยก็ตอบโต้ด้วยการสั่งปิดพรมแดนในช่วงปลายปี 25011 จนกระทั่งต่อมา สมเด็จพระนโรดมสีหนุ นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาในขณะนั้น ได้ยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลโลก (International Court of Justice) เมื่อ 6 ตุลาคม 2502 อ้างกรรมสิทธิ์ปราสาทเขาพระวิหารว่าเป็นของกัมพูชา

การฟ้องต่อศาลโลกเพื่ออ้างสิทธิเหนือปราสาทเขาพระวิหารของกัมพูชา สร้างความตระหนกให้แก่รัฐบาลไทยที่นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น รวมทั้งบรรดาสื่อมวลชนของไทยที่มักมีประเด็นโจมตีกับนโยบายทางการทูตของกัมพูชาอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ “สารเสรี” ที่พอจะกล่าวได้ว่าเป็นกระบอกเสียงสำคัญของรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ซึ่งตลอดทั้งเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน ปี 2502 หนังสือพิมพ์สารเสรี ก็ได้รายงานข่าวคดีปราสาทเขาพระวิหารอย่างต่อเนื่อง ทั้งท่าทีของผู้นำรัฐบาล นักวิชาการ ความคิดเห็นประชาชน รวมถึงบทความสารคดีเพื่อกระตุ้นอารมณ์ประวัติศาสตร์การสูญเสียดินแดนของไทยในอดีต 

กล่าวอย่างตรงไปตรงมา การฟ้องต่อศาลโลกของกัมพูชา สร้างความไม่พอใจและความโกรธแค้นให้แก่ประชาชนคนไทยอย่างมาก โดยเฉพาะสำนึกประวัติศาสตร์รวมหมู่ (History Collective) ของไทยที่มีภูมิหลังการสร้างชาติมาจากฐานสำนึกประวัติศาสตร์บาดแผลการเสียดินแดนในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่เพียงเท่านั้น จินตภาพกัมพูชา (เขมร) ของคนไทยก็มักผูกโยงกับประวัติศาสตร์ “พระยาละแวก” ที่ให้ภาพเขมรในฐานะเพื่อนบ้านผู้ไม่เป็นมิตรที่คอยจะแว้งโจมตีไทย (ในฐานะรัฐองค์ประทับผ่านประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุทธยา) ดังบทความของ พ.ท.ประเสริฐ สุดบรรทัด ที่เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์สารเสรี ช่วงต้นปี 2502 เปรียบเปรยว่า สมเด็จพระนโรดมสีหนุ คือ “พระยาละแวกกลับชาติมาเกิด”2

คดีปราสาทเขาพระวิหาร จึงไม่ได้เป็นเพียงแต่ผลของมโนทัศน์ความเป็นรัฐสมัยใหม่ (Modern State) ของไทย ที่ยึดถือองค์ประกอบเรื่องดินแดน (Territory) เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญควบคู่ไปกับ ประชากร รัฐบาล และอำนาจอธิปไตย แต่ยังผูกโยงกับประวัติศาสตร์การสร้างรัฐชาติ (Nation state) ที่ต้องมีสำนึกประวัติศาสตร์ร่วมกันของคนในชาติ ดังนั้น ประวัติศาสตร์จึงเป็นมิใช่เป็นเพียงแต่เรื่องเล่าหรือข้อเท็จจริงในอดีต แต่แท้จริงแล้วประวัติศาสตร์คือ “เครื่องมือสร้างชาติ” และ “สร้างคน (ในชาติ)” ก็ว่าได้

คดีปราสาทเขาพระวิหารได้กลายเป็น “วาระแห่งชาติ” ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ปี 2502 ปรากฏกระแสข่าว ประชาชนคนไทยพร้อมใจบริจาคเงินคนละ 1 บาท ให้แก่รัฐบาลไทยนำไปสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายจ้างทนายและผู้เชี่ยวชาญในการสู้คดีกับกัมพูชา ซึ่ง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น  กล่าวสนับสนุนว่าเป็นความคิดที่ดีมาก เพราะแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีของคนไทยทั้งชาติ เช่นเดียวกับ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลให้เป็นทนายฝ่ายไทย ถึงกับกล่าวด้วยความซาบซึ้งว่า “นับเป็นการร่วมแรงร่วมใจน่าสรรเสริญยิ่ง ผมดีใจจังที่ได้รู้ว่ามีพรรคพวกเยอะแยะ ผมปลาบปลื้มเหลือเกินที่คราวนี้แหละโลกจะได้ประจักษ์กันว่า ไทยทั้งชาติรักและหวงดินแดนของตนพร้อมเพรียงกันเหลือเกิน”3


(ซ้าย) สองเด็กหญิงนำรถจักรยานสองล้ออันเป็นที่รักมาบริจาคให้แก่หนังสือพิมพ์สารเสรีเพื่อนำไปประมูลสบทบทุนสู้คดีเขาพระวิหาร
(ขวา) นักเรียนหญิงเดินทางมามอบเงิน “อดขนมช่วยชาติ” สบทบทุนสู้คดีเขาพระวิหาร
ที่มาภาพ: สารเสรี 26 ตุลาคม 2502

ไม่เพียงแต่คนไทยพร้อมใจบริจาคเงินคนละ 1 บาท จะกลายเป็นวาระแห่งชาติ ในหลายอาชีพหลายวงการ ก็ผุดแคมเปญจัดกิจกรรม “ช่วยชาติ” สู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร อาทิ มีการเดินขบวนร้องเพลง “รักเมืองไทย” ของครูและนักเรียน (ซึ่งนับว่าเป็นข้อยกเว้นกรณีเฉพาะในช่วงยุคสมัยทางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ที่ยังอยู่ในช่วงกฎอัยการศึก) เกิดการแข่งขันมวยไทยการกุศล “ศึกเขาพระวิหาร” เกิดการแข่งขันแบดมินตันการกุศล “รายการเขาพระวิการ” เกิดการจัดภาพยนตร์รอบพิเศษ “รอบเขาพระวิหาร” เพื่อสบทบรายได้สนับสนุนรัฐบาล ไปจนถึงกระทั่งว่ามีผู้เสนอแนวคิดให้นางเอกภาพยนตร์ชื่อดังในสมัยนั้นอย่าง “อมรา อัศวนนท์” บริจาค “อุทิศจุมพิต” ช่วยชาติด้วย (ทว่า มิได้เกิดขึ้น)

เช่นเดียวกับ หนังสือพิมพ์สารเสรี ซึ่งเป็นสื่อหนังสือพิมพ์หลักของไทยในขณะนั้น ได้เป็นโต้โผใหญ่ในการเปิดรับบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อนำไปประมูลสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายให้แก่รัฐบาลไทย และตลอดทั้งเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน ปี 2502 ก็ปรากฏว่า มีคนไทยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทุกสาชาอาชีพ ต่างเดินทางมาบริจาคเงินและสิ่งของให้แก่หนังสือพิมพ์สารเสรีเป็นจำนวนมาก อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ใช้สอย ไปจนกระทั่งมีพ่อค้าดอกไม้เดินทางมาบริจาคดอกไม้ช่วยชาติ และแม่เฒ่าคนแก่เดินทางมาบริจาค “ไม้เท้า” 

หนึ่งในปรากฏการณ์น่าสนใจที่เกิดขึ้นบนหน้าหนังสือพิมพ์สารเสรีคือ มีการนำเสนอภาพเด็กๆ เดินทางนำเงินและของเล่นมาบริจาคเพื่อเอาไปประมูลสมทบทุนสู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร ด้วยเช่นกัน

ตัวอย่างเช่น นายพร จิตรีขันธ์ ชาวจังหวัดธนบุรี แจ้งหนังสือพิมพ์สารเสรีว่า ด้วยความรักชาติและหวงสมบัติของชาติ ลูกสาวสองคนของตนพร้อมบริจาครถจักรยานสองล้อ “ให้รัฐบาลสู้คดีศาลโลกกับกัมพูชา”4 โดยหนังสือพิมพ์สารเสรี เขียนบรรยายว่า 

“สองหนูน้อยที่อุทิศจักรยานสองล้อส่วนตัวเพื่อให้ประมูลเอาเงินสมทบทุนสู้คดีเขาพระวิหาร เปิดเผยถึงความในใจที่อุทิศเครื่องเล่นซึ่งรักปานชีวิตว่า ในฐานะที่เป็นเด็กไทยและได้ยินข่าวสารแสดงมติเช่นนั้นทางโทรทัศน์จึงทนอยู่เฉยไม่ได้ พร้อมกันนั้นก็จะไปชักชวนเพื่อนร่วมโรงเรียนให้ช่วยกันสบทบทุนด้วย”5

เช่นเดียวกับ เด็กนักเรียนหญิงจากโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย ได้นั่งรถกันมา 1 เต็มคันรถเต็ม เพื่อบริจาคเงินจากการรวบรวมภายในโรงเรียนได้ถึงราว 1 พันบาท โดยหนังสือพิมพ์สารเสรี เขียนบรรยายว่าเป็นการ “อดขนมช่วยชาติ” เพื่อสนับสนุนรัฐบาลไทยสู้คดี6 รวมไปถึงยังมีเด็กน้อยและนักเรียนหญิงชายจากหลายโรงเรียน ทั้งในพระนคร จังหวัดธนบุรี รวมไปถึงต่างจังหวัด เดินทางและส่งเงินบริจาคมาให้หนังสือพิมพ์สารเสรีนำไปสบทบทุนเป็นจำนวนมากตลอดทั้งเดือน ซึ่งสารเสรี ก็เขียนบรรยายปรากฏการณ์นี้ของน้องๆ หนูๆ เด็กไทยเหล่านี้ว่าเป็นการ “แคะกระปุกช่วยชาติ” และ “ทุบกระปุกช่วยชาติ”


เด็กชายโอ๋สวนสุจริตเดินทางมามอบ “เครื่องบิน (ของเล่น)” จำนวน 1 ลำเพื่อนำไปประมูลสมทบทุนสู้กับกัมพูชาในคดีปราสาทเขาพระวิหาร
ที่มาภาพ : สารเสรี 3 พฤศจิกายน 2502

นอกจากเงินที่ได้จากการอดขนม ตลอดจนแคะและทุบกระปุกออมสิน ยังปรากฏข่าวเด็กและนักเรียนต่างนำสิ่งของ โดยเฉพาะ “ของเล่น” มาร่วมบริจาคด้วยเช่นกัน อาทิ มีเด็กน้อยคนหนึ่งนำตุ๊กตาล้มลุกมาบริจาค7 เด็กชายโอ๋ สวนสุจริต เดินทางมามอบ “เครื่องบิน (ของเล่น)” จำนวน 1 ลำ เพื่อให้นำไปประมูลสมทบทุนสู้คดี เช่นเดียวกับ เด็กชายวันไชย วงเหลืองทอง มอบเครื่องเล่นของเด็ก จำนวนหนึ่งชุด8

แม้ภาพของเด็กน้อยและนักเรียนที่เดินทางนำเงินและของเล่นมาบริจาคเพื่อสบทบทุนสู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร จะเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยต้องต่อสู้คดีปราสาทเขาพระวิหารกับกัมพูชา แต่ก็เป็นปรากฏการณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงสภาวะชุมชนทางอารมณ์ (Emotional Communities) ของคนในสังคมไทยที่มีต่อคดีปราสาทเขาพระวิหาร ที่ประกอบไปคนหลากหลายอาชีพ หลากหลายช่วงวัย ทั้งดาราภาพยนตร์ คนทั่วไป และที่สำคัญคือ “เด็ก”

ความเป็นชาติและสำนึกประวัติศาสตร์รวมหมู่ (History Collective) ของคนในชาติ ที่จริงแล้วจึงสัมพันธ์กับสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบอารมณ์ความรู้สึก” (Emotional regime)9 แม้ว่าสำหรับผู้เขียนเองแล้วจะประเมินว่าอุดมการณ์ของพี่น้องคนไทยในกรณีคดีปราสาทเขาพระวิหาร จะมีลักษณะอุดมการณ์แบบ “รักชาติบ้านเมือง” (Patriotism) มากกว่าจะเป็นอุดมการณ์แบบ “ชาตินิยม” (Nationalism)10 แต่ทว่า สิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างสำคัญคือ “อารมณ์” ที่ขับเคลื่อน “ความรู้สึก” ภายใต้อุดมการณ์ร่วมกันของคนในชาติ

ทั้งนี้ เพราะพื้นฐานประวัติศาสตร์อารมณ์ความรู้สึกของคนไทยในกรณีคดีปราสาทเขาพระวิหาร (ซึ่งจะส่งผลต่อมาถึงเรื่องอื่นๆ ที่มีต่อกัมพูชา) มิใช่อารมณ์แห่งความรัก ความเมตตา หรือความเข้าอกเข้าใจ แต่เป็นอารมณ์ของ “ความโกรธ” และ “ความแค้น” โดยเฉพาะเมื่อผลการตัดสินในเดือนมิถุนายน ปี 2505 ไม่เป็นไปอย่างที่ประชาชนคนไทยคาดหวัง เนื่องจากศาลโลกตัดสินอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ซึ่งก็ทำให้ประชาชนชาวไทยแสดงความไม่พอใจอย่างมาก มีการเดินขบวนประท้วงกล่าวโจมตีศาลโลกและประเทศกัมพูชา และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ก็ถึงกับได้ปราศรัยทางวิทยุและโทรทัศน์ด้วยความความคับแค้นใจว่า 

“การที่ข้าพเจ้าต้องมากล่าวถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวว่า การมาพูดกับท่านด้วยน้ำตา น้ำตาของข้าพเจ้า เป็นน้ำตาของลูกผู้ชาย ของเลือด ของความคับแค้น และการผูกใจเจ็บชั่วชีวิตชาตินี้และชาติหน้า ต่อดวงวิญญาณของบรรพบุรุษผู้กล้าหาญของชาวไทย…”11

ดังนั้น แม้คดีปราสาทเขาพระวิหารจะจบลงและผ่านมาถึงครึ่งศตวรรษแล้ว แต่ประวัติศาสตร์อารมณ์ความรู้สึกของคนไทย (บางคน) กลับมิได้จบลง โดยเฉพาะบรรดาเด็กน้อยและนักเรียนที่นำเงินและสิ่งของ (ของเล่น) ไปบริจาคสู้คดีปราสาทเขาพระวิหารเมื่อราว 60 กว่าปีก่อน มาในปี2568 ปัจจุบันนี้ พวกเขาเหล่านั้นได้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง เป็นปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งยากที่จะปฏิเสธว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้คือผลผลิตทางประวัติศาสตร์อารมณ์ความรู้สึก (โกรธแค้น) เมื่อประเทศไทยเกิดกรณีความขัดแย้งกับกัมพูชา

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อราว 60 กว่าปีก่อน เด็กไทย ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสดงออกถึงความรักชาติบ้านเมืองในยุคสมัยของจอมพลสฤษดิ์จากกรณีคดีประสาทเขาพระวิหาร แต่ผลที่เกิดขึ้นไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น เพราะในอีกหลายๆ ปีต่อมา เด็กเหล่านั้นก็ได้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับประวัติศาสตร์บาดแผลและความทรงจำเรื่องการสูญเสียปราสาทเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชา และ (อาจจะ) กลายเป็นผู้ใหญ่วัยชราที่กำลังเดือดดาลสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาอยู่ในขณะนี้ (ปี 2568) 

มากไปกว่าการพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ที่กำลังเกิดขึ้น จึงชวนผู้เขียนได้กลับไปสำรวจและทำความเข้าใจความรู้สึกของคนรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย ที่เป็นผลผลิตของประวัติศาสตร์อารมณ์ความรู้สึกโกรธแค้นจากกรณีคดีปราสาทเขาพระวิหาร 

และดูเหมือนว่า ประวัติศาสตร์อารมณ์ความรู้สึกเรื่องนี้ คงจะยังไม่สงบลงง่ายๆ เป็นแน่.

  1. ดูเรื่องนี้โดยสรุปใน ชาติชาย มุกสง, กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร, เข้าถึงข้อมูลใน https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร ↩︎

  2. สารเสรี 12 มกราคม 2502 ↩︎

  3. สารเสรี 23 ตุลาคม 2502 ↩︎

  4. สารเสรี 25 ตุลาคม 2502 ↩︎

  5. สารเสรี 26 ตุลาคม 2502 ↩︎

  6. สารเสรี 27 ตุลาคม 2502 ↩︎

  7. สารเสรี 30 ตุลาคม 2502 ↩︎

  8. สารเสรี 3 พฤศจิกายน 2502 ↩︎

  9. ดูแนวคิดนี้ในเชิงทฤษฎีใน ภาคิน นิมมานนรวงศ์, ปริทัศน์ประวัติศาสตร์อารมณ์,วารสารประวัติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 (เมษายน-กันยายน 2557), 108 – 154. ; สิงห์ สุวรรณกิจ, “ท่องสมุทรแห่งความรู้สึก: วิลเลียม เรดดี้กับประวัติศาสตร์อารมณ์ความรู้สึก” หนังสือประมวลบทความในการประชุมทางวิชาการเพื่อเผยแพร่ผลงานสู่สาธารณชน โครงการวิธีวิทยาในการศึกษาประวัติศาสตร์ ณ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วันที่ 14-15 กุมภาพันธ์ 2563. ↩︎

  10. ดูแนวคิดนี้เพิ่มเติมได้ใน นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, แนวความคิดชาติบ้านเมือง: กำเนิด พัฒนาการ และอำนาจการเมือง, ใน วารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 27 ฉบับที่ 2 (มิถุนายน 2549), 2-41.  ↩︎

  11. จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, คำปราศัยคดีปราสาทพระวิหาร วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ,ประมวลสุนทรพจน์ของจอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์พ.. 2505-2506 (เล่ม 2), 683-686. ↩︎

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save