“ถ้าคุณยังคงผลิตยาเสพติด คุณคือศัตรูของประเทศไทย เราไม่ควรแสดงความปรานีต่อศัตรู วันนี้ถึงเวลาที่เราต้องประกาศจุดยืนที่ชัดเจน”
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศอย่างหนักแน่นในเวทีปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ มุมมองและความท้าทายต่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน” เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 พร้อมเสนอแนะแนวทางให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เดินหน้ามาตรการเชิงรุก มุ่งปราบปรามแหล่งผลิต ป้องกันการลักลอบนำเข้า และกวาดล้างเครือข่ายค้ายาในประเทศ
ทักษิณย้ำว่า “วันนี้ยาเสพติดเป็นหนึ่งในภัยคุกคามสำคัญของประเทศ และทำลายอนาคตลูกหลานของเรา”
ก่อนเริ่มปาฐกถา พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการสำนักงาน ป.ป.ส. ชี้แจงเหตุผลที่เชิญอดีตนายกรัฐมนตรีมาแบ่งปันประสบการณ์ ก็เพราะมีความรู้ความสามารถในการแก้ไขปัญหา ยืนยันว่าไม่มีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง และพร้อมรับฟังข้อเสนอเพื่อนำมาปรับใช้ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ของทักษิณที่เชื่อมโยงกับการดำเนินนโยบาย ‘สงครามยาเสพติด’ เมื่อปี 2546-2547 ที่แม้จะช่วยสกัดการแพร่ระบาดได้ระดับหนึ่ง แต่การปราบปรามที่รุนแรง ก่อให้เกิดการสูญเสีย ปัญหาฆ่าตัดตอน และข้อถกเถียงเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศและถูกวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด
ทำสงครามกับว้าแดง แก้ที่ต้นตอ
ทักษิณโยงให้เห็นว่าสถานการณ์ปัญหายาเสพติดที่ฝังรากลึกในสังคมไทย เพราะระบบราชการขาดการบูรณาการ ทำให้การแก้ไขเกิดความล่าช้าและขาดประสิทธิภาพ
“ประเทศไทยเรามีลักษณะพิเศษ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำ แล้วไม่มีเจ้าภาพรับผิดชอบ วันนี้ต่างคนต่างทำงานไปเรื่อยๆ แล้วไม่สำเร็จ เพราะว่าขาดการบูรณาการที่มีทิศทางที่ชัดเจน”
เขากล่าวว่ายาเสพติดกำลังระบาดในทุกชุมชน โดยผู้ค้ารายใหญ่เลือกหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังคงควบคุมเครือข่ายรายย่อยในไทยอย่างต่อเนื่อง
“นักค้ารายใหญ่หลบหนีหมายไปอยู่ตามข้างบ้านหมด แต่ว่าก็ยังมีเครือข่ายในประเทศไทย เป็นลักษณะเหมือนที่ผมเรียกภาษาอังกฤษว่า distributor แล้วก็มีพ่อค้ารายย่อยฝังตัวอยู่ในทุกหมู่บ้าน ไม่มีใครไม่รู้หรอกว่าคนไหนคือพ่อค้ายาเสพติด ยกเว้นเจ้าหน้าที่ที่ไม่รู้เรื่อง”
ทักษิณเชื่อว่าจะแก้ปัญหานี้ได้ต้อง “แก้ไขที่ต้นตอ” พร้อมชี้เป้าว่าแหล่งผลิตยาเสพติดเกือบทั้งหมดอยู่ในพื้นที่ของ ‘กลุ่มว้าแดง’ ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยลักลอบนำสารตั้งต้นอย่างซูโดอีเฟดรีนและคาเฟอีนมาจากอินเดียและจีน
อดีตผู้นำเสนอให้ผลักดันการเจรจาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจัง โดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวของเขากับผู้นำในภูมิภาคทั้งเมียนมาและลาว แต่หากการเจรจาล้มเหลว ก็สนับสนุนให้ดำเนินมาตรการอย่างเด็ดขาด
“ถ้าพม่าบอกว่าจัดการไม่ได้เพราะเป็นชนกลุ่มน้อย เราคงต้องขออนุญาตจัดการเองมั้ง มันเป็นศัตรูของเรา มันอยู่ในพื้นที่ไหน ถ้าเขาจัดการให้ไม่ได้ เราต้องขออนุญาต ใช้วิธีจัดการของเรา ต้องมีวิธีนะครับ ต้องมีวิธีที่สากลรับได้ แล้วก็ต้องจัดการเรื่องแหล่งโดยด่วน”
นโยบาย “เอกซเรย์ทุกตารางนิ้ว”
ทักษิณย้ำถึงประเด็นการป้องกันยาเสพติดผ่านด่านศุลกากร โดยตั้งคำถามต่อความโปร่งใสในการตรวจสอบ ซึ่งองค์กรต้องพัฒนาศักยภาพและเพิ่มความเข้มข้นในการคัดกรองให้มากขึ้น
“ศุลกากรเราวันนี้ มีตู้เข้ามาประมาณ 6 ล้านตู้ต่อปี ทีนี้เครื่องเอ็กซเรย์ไม่พอ มันตรวจไม่หมดหรอก แล้วก็มีการเปิดตู้บ้าง ไม่เปิดตู้บ้าง ตั้งใจไม่เปิดตู้ก็มี ถ้าตู้ละหมื่นไม่ต้องเปิด”
นอกจากการเดินเกมนอกประเทศ ทักษิณยังเสนอให้เดินหน้ามาตรการ ‘เอกซเรย์ทุกตารางนิ้ว’ เพื่อกำจัดเครือข่ายค้ายาภายในประเทศ เขาย้ำว่าตำรวจกับฝ่ายปกครองต้องร่วมมือกัน ต่างคนต่างทำไม่ได้ พร้อมกับแนะนำให้ชุมชนมีบทบาทสอดส่องและแจ้งเบาะแสต่อเจ้าหน้าที่
“ทุกคนรู้หมดว่าใครคือพ่อค้ายา อย่าให้มันอยู่ในหมู่บ้านนั้น ให้มันไปอยู่ที่อื่นเถอะ มันเป็นคนแปลกหน้า ไปอยู่ที่อื่นมันก็ค้าไม่ได้”
ทักษิณยังเสนอให้ดำเนินมาตรการขั้นเด็ดขาดกับผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ ไม่ว่าจะ ’อุ้ม’ ออกไปหรือวิธีใดก็ตาม ต้องตัดช่องทางค้าขายไม่ให้ผู้ค้ากลับมาสร้างปัญหาได้อีก
“ให้ชาวบ้านเฝ้าระวัง ถ้ามีอย่างนี้มาฟ้องเลย จัดการไอ้คนค้ายาออกไป แล้วถ้ามันกลับมาใหม่มาบอกเลย ให้อุ้มออกไป ให้มันไปอยู่ที่ไหนก็ไป แต่อย่าอยู่ในที่ที่มันค้าขายนะครับ”
ในการปาฐกถา ทักษิณได้กล่าวถึงบทบาทของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และคาดหวังว่าหน่วยงานนี้ควรทำหน้าที่แก้ปัญหายาเสพติดได้มากกว่านี้
“เที่ยวนี้จะเป็นบทพิสูจน์ เพราะมีคนบอกให้ยุบ กอ.รมน. ทิ้ง ผมก็ยังไม่เชื่อว่ายุบดีไม่ยุบดี เที่ยวนี้ กอ.รมน. จะเป็นคนบอกกับตัวเองว่าควรยุบเถอะ หรือว่าควรจะเก็บไว้ นั่นก็คืองานภาคใต้และงานยาเสพติด กอ.รมน. ต้องมีบทบาทอย่างเข้มแข็งเด็ดขาด ถ้าไม่เช่นนั้นผมก็ฟ้องอีก ช่วยยุบเถอะ งบ 7,000 กว่าล้าน เสียดายนะ”
นอกจากนี้ อดีตนายกฯ เสนอให้จัดตั้งศูนย์บำบัดยาเสพติดในทุกอำเภอ เพื่อป้องกันการกลับมาเสพซ้ำ โดยอธิบายว่า การบำบัดต้องทำไปพร้อมกับการทำให้ชุมชนปลอดยาเสพติด
“บำบัดอย่างเดียวนี่ไม่พอ ต้องคลีนชุมชนให้ได้ พอเขากลับมาแล้ว คราวที่แล้วที่ผมทำเนี่ย มีโรงเรียนวิวัฒน์พลเมือง ฝึกทหาร ฝึกอาชีพ จัดอบรมทางจิตวิทยา แล้วก็ส่งกลับชุมชน แต่ชุมชนนั้นกลับไปต้องไม่มียาเสพติดแล้ว เราจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว“
ทักษิณถึงกับเสนอตัวว่าหากมีเวลาว่าง จะลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเอง และจะรายงานข้อมูลผู้ค้ายาเสพติดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทราบโดยตรงด้วย
แนวทาง ‘ทักษิณ’ คือทางออกจริงหรือ?
การแก้ปัญหายาเสพติดของอดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งเน้นการใช้มาตรการเด็ดขาดในการปราบปรามยาเสพติดอย่างรุนแรง เช่น แนวคิด “การให้รางวัลและบทลงโทษ” (reward and punishment) ที่เชื่อว่า การลงโทษที่รุนแรงจะสามารถลดปัญหายาเสพติดได้
แนวทางนี้คล้ายคลึงกับแนวทางการปราบปรามในยุค ‘สงครามยาเสพติด’ ที่เคยเกิดขึ้น โดยมุ่งเน้นการปราบปรามผู้ใช้ยาเสพติดและผู้ค้ารายย่อยด้วยบทลงโทษที่เข้มงวด รวมถึงการมอบรางวัลให้ผู้แจ้งเบาะแสการกระทำความผิด
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงนโยบายของประเทศต่างๆ จากบทความ ‘Decriminalization on Drug’ สู่ฉันทมติโลกใหม่ ปฏิรูปนโยบายยาเสพติดให้ตรงจุด โดย ณรจญา ตัญจพัฒน์กุล จะพบว่าแนวทางที่ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ เช่น โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ และสาธารณรัฐเช็ก จะใช้มาตรการทางแพ่งและสังคมสงเคราะห์แทนการลงโทษทางอาญา
นโยบายของประเทศเหล่านี้จะเน้นการบำบัดและฟื้นฟูสุขภาพ รวมถึงการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด (harm reduction) เพื่อเปลี่ยนมุมมองของปัญหายาเสพติดจาก “ปัญหาอาชญากรรม” ไปเป็น “ปัญหาสุขภาพ”
ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ ‘โปรตุเกส’ ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนนโยบายจากการปราบปรามอย่างรุนแรงไปสู่การลดทอนอาชญากรรมโดยเน้นการดูแลด้านสุขภาพและสังคม ข้อมูลสถิติชี้ว่าโปรตุเกสสามารถลดจำนวนผู้ต้องโทษที่ถูกจับกุมฐานเสพยาเสพติดลงได้กว่า 40% นอกจากลดจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำได้แล้ว ยังลดอัตราการใช้ยาเสพติดในกลุ่มวัยรุ่นและประชาชนทั่วไปได้อย่างมีนัยสำคัญ
ในขณะที่แนวทางของอดีตผู้นำของไทยที่มุ่งเน้นการปราบปราม อาจเจอกับข้อจำกัดหลายประการ อย่างการใช้มาตรการเด็ดขาดจะนำไปสู่การละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่รัดกุมเพียงพอ อาจทำให้สังคมตั้งคำถามถึงความโปร่งใส และลดความเชื่อมั่นต่อระบบยุติธรรมได้
‘ยาเสพติดข้ามชาติ’ แก้ไม่ง่าย
การแก้ปัญหายาเสพติดในปัจจุบันไม่ง่ายเหมือนในอดีต การปราบปรามแหล่งผลิตที่อยู่นอกเขตอำนาจของประเทศไทย ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดทางการเมือง เศรษฐกิจ ความร่วมมือระดับสากล และวิธีการที่ได้ผลในระยะยาว
การมุ่งเน้นปราบปรามเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ สถิติของสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC) ชี้ว่า แม้ทั่วโลกจะทุ่มงบประมาณแก้ปัญหายาเสพติดกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี แต่ปัญหาก็ยังไม่หมดไป จำนวนผู้ใช้ยาเสพติดในปี 2567 ราว 275 ล้านคนทั่วโลก เพิ่มขึ้นกว่า 30% เมื่อเทียบกับปี 2552
การที่ทักษิณสนับสนุนมาตรการเด็ดขาด รวมถึงการซีลชายแดนและตัดสาธารณูปโภคที่ส่งไปยังกลุ่มอาชญากร อาจนำไปสู่หรือซ้ำเติมผลกระทบเชิงลบต่อชุมชนท้องถิ่น โดยบทความ “ซีลชายแดน: หยุดวิถีชีวิต แต่มิจฯ ไปต่อ” โดย กอปร์ธรรม นีละไพจิตร ให้ข้อมูลจากปฏิบัติการ “Seal Stop Safe” ว่าการที่รัฐบาลตัดไฟฟ้าที่ส่งไปยังเมียนมา ส่งผลกระทบต่อโรงพยาบาลและธุรกิจในพื้นที่ และสร้างความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจทำให้ผู้คนลักลอบข้ามแดนมากขึ้นเพื่อเข้าถึงบริการที่จำเป็น
ส่วนประเด็นที่ทักษิณไม่ได้ลงรายละเอียดมากนักในปาฐกถาครั้งนี้ คือแนวทางการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน ที่มุ่งเน้นการพัฒนาปัจจัยพื้นฐาน เช่น การให้โอกาสการศึกษา การจ้างงาน การส่งเสริมสุขภาพ รวมถึงการให้ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติดกับเยาวชน
มาตรการความมั่นคงที่แข็งกร้าว หากไม่ได้ดำเนินการด้วยความระมัดระวังต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน อาจสร้างปัญหาใหม่หรือทำให้ปัญหาที่มีอยู่เลวร้ายลง และอาจบ่อนทำลายเสถียรภาพของประเทศในวงกว้าง