ผมดูข่าวต่างประเทศที่รายงานเรื่องศาลรัฐธรรมนูญสั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ฟังผู้ประกาศข่าวและการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเมืองไทยแล้วรู้สึกได้ว่าพวกเขาไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลของคำสั่งดังกล่าวสักเท่าไร เพราะสำหรับคนอเมริกาหรือคนยุโรปที่มีระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยแล้ว การถอดถอนหรือปลดหัวหน้ารัฐบาลออกจากตำแหน่งเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬารที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายสูงสุดอย่างถูกต้อง ไม่อาจปล่อยให้มิติและปัจจัยที่เป็นของตัวบุคคลหรือไม่เป็นทางการหรือนอกระบบเข้ามามีอิทธิพลเหนือการออกประกาศคำสั่งดังกล่าวได้
ประการแรก สื่อต่างชาติและผู้สังเกตการณ์เหล่านั้นต้องถามว่า ศาลรัฐธรรมนูญไทยมาจากไหน ใครแต่งตั้งด้วยกฎเกณฑ์และมาตรฐานอะไร ถ้าตอบว่ามาด้วยการแต่งตั้งและคัดเลือกโดยคณะรัฐประหารและคณะกรรมการคัดสรรไปถึงวุฒิสภาที่ลงมติรับรองก็มาจากกระบวนการแต่งตั้งหรือเลือกตั้งกันเอง โดยเฉพาะวุฒิสภาชุดปัจจุบันที่กำลังมีปัญหาจริยธรรมและกฎหมายเรื่อง ‘การฮั้วเลือกตั้ง’ อยู่ก็ยิ่งทำให้ความชอบธรรมของศาลดังกล่าวมลายไปสิ้น
ประการต่อมา ใครคือผู้ฟ้องร้องและนำไปสู่การดำเนินการทางกฎหมายต่อตำแหน่งหัวหน้าบริหารของไทย ตอบคือใครก็ได้ ยิ่งเป็นคำตอบที่คนอเมริกันฟังแล้วอิจฉายิ่ง โดยเฉพาะอเมริกันชนที่ไม่ชอบทรัมป์ คงอยากได้สิทธิในการฟ้องร้องทรัมป์ต่อศาลสูง เพื่อให้ดำเนินคดีในข้อหาร้อยแปด ตั้งแต่จริยธรรมฐานชู้สาว ฉ้อโกงเงินเลือกตั้ง มาถึงการออกคำสั่งขณะนี้ของประธานาธิบดีที่เป็นการใช้อำนาจอย่างผิดกฎหมายหลายประการ
นับถึงเดือนกรกฎาคมปีนี้ มีการฟ้องร้องต่อศาลกรณีคำสั่งประกาศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่มีผลต่อการปิด ตัดงบประมาณ ไล่พนักงานออก จนถึงยุบหน่วยงานที่เขาไม่พอใจ รวมทั้งสิ้น 314 คดี ครอบคลุมประเด็นปัญหาต่างๆ เช่น นโยบายผู้อพยพก็มีการใช้กฎหมายศัตรูต่างชาติ (Alien Enemies Act) นำไปสู่การเนรเทศคนต่างด้าวจำนวนหนึ่ง
ประกาศฝ่ายบริหารอย่างการยุติสิทธิจากการเกิดของพลเมืองอเมริกัน นำไปสู่การฟ้องร้องหลายคดี รวมถึงการฟ้องคดีแบบกลุ่ม (class action) ทั่วประเทศ โครงการที่ระงับหรือยับยั้งค่ายผู้ลี้ภัยและที่พักพิงสำหรับผู้หนีภัย รัฐบาลพยายามตัดงบประมาณของมลรัฐและเมืองที่เป็นแหล่งพักพิงของผู้ลี้ภัยที่เรียกว่า sanctuary cities รวมถึงการละเมิดทำลายกฎระเบียบว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข จนถึงกิจกรรมเกี่ยวพันกับด้านสิทธิพลเมือง
แต่คนอเมริกันธรรมดาหรือแม้เป็นสมาชิกรัฐสภาก็ฟ้องร้องทรัมป์ต่อศาลอะไรก็ไม่ได้ นอกจากคดีอาญาเท่านั้น ดังที่ได้กระทำกันอยู่ขณะนี้ แต่จะฟ้องร้องเพื่อให้ศาลสั่งให้เขายุติหน้าที่และปลดออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีไม่ได้ อันหลังนี้ทำได้อย่างเดียวคือผ่านกระบวนการทางรัฐสภาที่เรียกว่าการถอดถอน (impeachment) เท่านั้น โดยเริ่มที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ทำเรื่องเสนอขอมติก่อนว่าสมควรจะถอดถอนทรัมป์ไหม เมื่อสภาผู้แทนฯ ลงมติเสียงส่วนใหญ่เห็นพ้องด้วย จึงดำเนินการรวบรวมหลักฐานแล้วส่งเรื่องไปยังวุฒิสภาเพื่อให้พิจารณาตัดสินว่าจะถอดหรือไม่ถอด แสดงว่าแม้สภาผู้แทนราษฎรเองก็ถอดถอนประธานาธิบดีไม่ได้ ทำได้แค่รวบรวมหลักฐานแล้วส่งขึ้นไปยังวุฒิสภาอีกที ในสมัยที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก (2017-2020) เขาถูกดำเนินการถอดถอนถึงสองครั้ง แต่ก็รอดตัวมาได้ทั้งสองครั้ง เพราะพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา แต่ก็สร้างความหวังให้แก่คนอเมริกันที่ไม่พอใจทรัมป์และรัฐบาลของเขาได้ว่า สามารถพึ่งพาอาศัยรัฐธรรมนูญเป็นกลไกในการไล่ประธานาธิบดีที่ไม่มีจริยธรรมเป็นที่ประจักษ์ออกไปได้
แม้แต่ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ก็ไล่ ปลด หรือถอดประธานาธิบดีไม่ได้ ศาลสูงทำได้เพียงแค่พิจารณาให้ความเห็นว่ามติถอดถอนของวุฒิสภานั้นถูกต้องชอบธรรมไหมเท่านั้น แต่ไม่ใช่มาทำหน้าที่สอบสวนพฤติกรรมของประธานาธิบดีเหมือนศาลรัฐธรรมนูญไทย ที่น่าตื่นเต้นกว่าคือการที่ทรัมป์กลับพยายามใช้อำนาจศาลไปเล่นงานศัตรูทางการเมืองของเขามากกว่าผู้นำคนอื่นๆ จนแทบจะทำให้ศาลทุกระดับกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายบริหารไป
ทั้งสองกรณีคือไทยและสหรัฐฯ มีรูปแบบภายนอกเหมือนกันคือการอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการไล่หัวหน้ารัฐบาลออกจากตำแหน่งได้ แต่ที่ต่างกันและไม่เหมือนกันเลย คือเนื้อหาและเหตุผล รวมถึงกระบวนการในการสอบสวนและลงมติถอดถอน กรณีสหรัฐฯ เห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญเขาไม่เปิดช่องให้ใครก็ได้ เช่น นักร้องประจำ หรือ สว.เจ้าเก่า คอยมายื่นคำร้องต่อศาลเวลาไหนก็ได้เมื่อมีกระแสและข้อมูลจำนวนหนึ่งที่เอาเรื่องได้ แบบแผนของไทยจึงสุ่มเสี่ยงและเอนเอียงให้มีการใช้อำนาจอย่างไม่ชอบ (abuse of power) ในทุกขั้นตอนของการฟ้องร้องไล่หัวหน้ารัฐบาล
เมื่อเปรียบเทียบรัฐธรรมนูญสองฉบับ เห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญอเมริกันให้อำนาจแก่สภานิติบัญญัติสูงมาก เคียงข้างและพอฟัดพอเหวี่ยงกับอำนาจบริหาร เรียกว่าเป็นการสร้างอำนาจสูงสุดที่คอยถ่วงและคานกัน ทั้งนี้ด้วยเหตุผลพื้นฐานคือทั้งสภานิติบัญญัติและบริหารต่างมาจากการเลือกตั้งโดยตรง เปิดเผย และตามกำหนดเวลาแน่นอน โดยราษฎรทั้งหลายไปลงคะแนนเสียงให้ ดังนั้น ทั้งประธานาธิบดี สส. สว. ต่างต้องไปให้ประชาชนเลือกและเลือกใหม่ทุกสี่ปี (ประธานาธิบดี) หรือสองปี (สภาผู้แทนฯ) และหกปี (วุฒิสภา)
ดังนั้น แม้ว่าจะมีคนไม่พอใจและประท้วงทรัมป์มากขึ้นเรื่อยๆ จากพันคนมาเป็นแสนคน ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังเดินหน้าออกประกาศและคำสั่งไปในแทบทุกปริมณฑลของการเมืองการปกครองประเทศทุกวันนี้อย่างไม่สะทกสะท้านต่อเสียงคัดค้านและการประท้วง เพราะเขารู้ว่าอำนาจในการเล่นงานเขานั้นต้องมาจากในรัฐสภาเท่านั้น ไม่ใช่บนท้องถนนหรือเวทีหน้าอนุสาวรีย์
นั่นคือ ประท้วงได้ เรียกร้องให้ออกได้ แต่ไม่ใช่ตามใจผู้ประท้วง หากต้องรอถึงวันเลือกตั้งเท่านั้น
หากมีคนถามว่าด้วยเหตุปัจจัยอะไรหรือที่ทำให้การถอดและไล่หัวหน้ารัฐบาลไทยถึงง่ายดายและสุ่มเสี่ยงต่อการใช้อำนาจอย่างผิดๆ ได้ คำตอบก็ต้องไปดูที่ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะการสร้างรัฐบาล การดำเนินการปกครอง การแก้ไขคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างชนชั้นและกลุ่มคนต่างๆ ในประเทศ กรณีของไทยนั้นการสร้างรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่ยากและประสบอุปสรรคหลายประการมาโดยตลอด ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา อำนาจอธิปไตยก็ไม่เคยเป็นของประชาชนจริงๆ เลย หากแต่ถูกมอบให้โดยพระมหากษัตริย์และใช้ผ่านสภาผู้แทน ฝ่ายบริหาร และตุลาการ พัฒนาการต่อมาจึงนำไปสู่การสร้างอำนาจบริหารให้สูงสุดเหนืออำนาจอื่นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐบาล
ที่น่าสนใจอีกประการคือวิธีการเปลี่ยนตัวหัวหน้ารัฐบาล กระทำในครั้งแรกปีเดียวหลังการเปลี่ยนแปลง ก็ด้วยการรัฐประหารรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งกระทำการอันพิสดารที่ก่อนหน้านี้คือประกาศงดใช้บางมาตราในรัฐธรรมนูญเพื่อกำจัดรัฐมนตรีสายคณะราษฎรที่ก้าวหน้าออกไป อาจเรียกว่ารัฐประหารเงียบก็ได้ นั่นคือกำเนิดระบอบประชาธิปไตยไทยอันมีที่มาขรุขระและไม่ราบรื่นตามกฎหมาย ยังไม่ทันสร้างกระบวนการก็ทำลายมันลงไปเสียก่อน
ทั้งหมดนั้นสรุปสั้นเพื่อให้นักข่าวต่างประเทศเข้าใจ ก็คือการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีไทยนั้นไม่ได้กระทำผ่านการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน หากแต่ส่วนใหญ่กระทำการโดยผ่านการใช้อำนาจนอกระบบ ก่อนนี้ที่ใช้ได้ผลดีและรวดเร็วคือการรัฐประหารโดยกองทัพบก แต่มาช่วงสองทศวรรษนี้กระแสประชาธิปไตยขึ้นสูง ต่างชาติมีการคัดค้านรัฐบาลรัฐประหารมาก ที่สำคัญคือสหรัฐฯ และยุโรป ฝ่ายเสนาธิการไทยเลยหันมาใช้กลวิธีทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ เขียนรัฐธรรมนูญให้ไม่เป็นของประชาชนที่สุด แล้วสร้างสถาบันอิสระ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นต้น เข้ามาทำหน้าที่ในการไล่หรือถอดถอนหัวหน้ารัฐบาล สมาชิกสภาผู้แทนฯ และพรรคการเมืองที่ไม่ไว้วางใจ
อีกปัจจัยที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยวนเวียนอยู่ในเขาวงกต นอกจากชนชั้นนำทางอำนาจและจารีตจะผูกขาดอำนาจและผลประโยชน์ไว้เฉพาะพวกและกลุ่มแล้ว พลังประชาชนที่เรียกว่าประชาสังคม จากการจัดตั้งของคนทั่วไปนอกสถาบันและอำนาจรัฐ เช่น กลุ่มพัฒนาเอกชน กลุ่มพิทักษ์ประชาชน แรงงาน สตรี และสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ในที่สุดส่วนใหญ่ก็หันเข้าหาการประท้วงและคัดค้านนโยบายและการปฏิบัตินโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก ยิ่งรัฐบาลไม่สถาพรและไม่ต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงและประสานเข้ากับความเรียกร้องต้องการของประชาสังคมยิ่งเป็นไปไม่ได้ ประสบการณ์ดังกล่าวหล่อหลอมให้ความสัมพันธ์ระหว่างภาคประชาสังคมกับภาครัฐเป็นไปอย่างปฏิปักษ์ กระทั่งสมัยรัฐบาลทักษิณมีนโยบายประชาสังคมที่สามารถดึงดูดเสียงสนับสนุนจากประชาชนได้กว้างขวางกว่าพรรคและรัฐบาลใด แต่เมื่อทักษิณสะดุดการขายหุ้นชินคอร์ปเข้าข่ายละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง การประท้วงของประชามหาชนและภาคประชาสังคมก็เกิดขึ้น เกิดสุญญากาศทางอำนาจ เปิดช่องให้แก่กองทัพและชนชั้นนำจารีตที่รอวันเวลาอยู่ข้างหลังให้การสนับสนุนเป็นการใหญ่ บทเรียนการประท้วงของภาคประชาสังคมจึงได้แก่การที่ต้องเอาตัวออกจากวงจรอุบาทว์นี้ จนถึงประสานต่อรองและต่อยอดนโยบายรัฐบาลกับพรรคการเมืองให้เป็นจริงให้ได้ แทนที่จะเป็นพลังในการถอดถอนและไล่หัวหน้ารัฐบาลเท่านั้น
วันที่ 4 กรกฎาคมเป็นวันเอกราชของอเมริกา คาดว่าจะมีประชาชนรวมตัวกันออกมาประท้วงโดนัลด์ ทรัมป์เป็นการใหญ่ อาจนับแสนคนทั่วประเทศ แต่เหตุการณ์ก็จะไม่วุ่นวายและไม่สร้างความคาดหวังปลอมๆ ให้แก่ผู้ประท้วง เพราะพวกเขารู้ดีว่าการไล่ทรัมป์ได้จริงๆ นั้นต้องกระทำที่หีบบัตรเลือกตั้งเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ทางลัดอื่นไม่มี