เส้นเขตแดนมิใช่สิ่งที่มีอยู่โดยธรรมชาติ หากแต่เป็น ‘สิ่งสมมติ’ ที่ปรากฏอยู่บนแผนที่ ซึ่งเป็นผลผลิตของกระบวนการทางเทคนิคและการเมืองในแต่ละยุคสมัย รัฐใช้แผนที่เป็นเครื่องมือในการสร้างการรับรู้ (perception) เกี่ยวกับความเป็น ‘ประเทศ’ และความชอบธรรมของอธิปไตยเหนือดินแดน เส้นที่ถูกลากไว้บนแผนที่จึงมิได้สะท้อนภูมิประเทศจริง หากสะท้อน ‘จินตนาการเชิงภูมิรัฐศาสตร์’ ของผู้สร้างแผนที่ และสมควรตระหนักเอาไว้ด้วยว่าแผนที่ซึ่งจัดทำขึ้นในเวลาที่ต่างกัน ด้วยเทคนิคและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ย่อมแสดงภาพของเส้นเขตแดนที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งอาจเบี่ยงเบนไปจากการรับรู้ของผู้คนในแต่ละยุคสมัย และอาจกลายเป็นจุดตั้งต้นหรือชนวนของข้อพิพาททางการเมืองระหว่างรัฐในเวลาต่อมา
ปัจจุบันมีกระแสเรียกร้องจากกลุ่มชาตินิยมฝ่ายขวาให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ซึ่งลงนามกันใน ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) เพราะเหตุว่ามันไปให้การ ‘รับรอง’ แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งเป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ฉบับปี 1904 และ 1907 อันจะส่งผลให้ประเทศไทยต้องยอมรับเส้นเขตแดนตามที่ปรากฎในแผนที่ดังกล่าวนั้นจนก่อให้เกิดการ ‘เสียดินแดน’ ที่อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของไทยและกลายเป็นการตอกย้ำความเจ็บช้ำแห่งชาติอีกครั้งหนึ่ง
พวกเขาเสนอว่าเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชาจะต้องเป็นไปตามที่ได้แสดงเอาไว้ในแผนที่ L 7017/7018 มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งผลิตขึ้นมาภายหลังโดยความช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกาในยุคสงครามเวียดนามเท่านั้น จึงจะถูกต้องตามหลัก ‘สากล’ และ ‘สันปันน้ำ’ ตามที่ได้ระบุเอาไว้ในสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสอย่างชัดเจน
ในขณะที่เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ เฉพาะอย่างยิ่งกรมแผนที่ทหาร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจในการจัดทำและใช้แผนที่ได้แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าในที่สาธารณะว่า แผนที่ทั้งสองแบบนั้นไม่เพียงใช้มาตราส่วนที่แตกต่างกันเท่านั้น หากแต่จัดทำด้วยเทคนิคที่แตกต่างกัน สร้างขึ้นในยุคสมัยและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ซึ่งย่อมจะแสดงผลแตกต่างกันเป็นธรรมดา ประเทศไทยไม่อาจจะถือแผนที่ซี่งจัดทำขึ้นฝ่ายเดียวในภายหลังมากำหนดเส้นเขตแดน แต่ดูเหมือนคำชี้แจงเหล่านั้นไม่เป็นผล เพราะปรากฎว่าพวกเขายังโต้แย้งและทุ่มเถียงด้วยเหตุผลเดิมว่ามันใช้ได้
ในที่นี้ไม่ต้องการที่จะถกเถียงว่าแผนที่ชุดใด ‘ถูกต้องแม่นยำ’ ตรงตาม ‘ภูมิประเทศจริง’ มากกว่ากัน แต่อยากจะทำความเข้าใจบทบาทและอิทธิพลของแผนที่ในการสร้างความรับรู้เกี่ยวกับเส้นเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชาได้อย่างมีพลังจนมันสามารถใช้เป็นตัวจุดชนวน (trigger) ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งและข้อพิพาททั้งกับประเทศเพื่อนบ้านและภายในประเทศไทยเอง
องค์ความรู้ว่าด้วยเขตแดนและแผนที่
เพื่อจะทำความเข้าใจประเด็นที่กล่าวมาข้างต้น สำหรับคนธรรมดาสามัญที่ไม่ได้มีการศึกษามากมายนัก จำเป็นต้องอาศัยแนวคิดของปราชญ์ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ได้ศึกษาวิจัยสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเขตแดนและแผนที่เอาไว้อย่างดีแล้วมาช่วยเป็นเครื่องชี้นำทางปัญญา
แผนที่ไม่ได้เป็นเพียงภาพทางภูมิศาสตร์ หากเป็น ‘เทคโนโลยีทางการเมือง’ ที่ช่วยกำหนดและทำให้จินตนาการเรื่องความเป็นชาติปรากฏเป็นรูปธรรมมากขึ้น ดังที่ Benedict Anderson (Imagined Communities: Reflection on the Origin and Spread of Nationalism)[1] อธิบายไว้ว่า ‘ชาติ’ คือชุมชนที่ถูกจินตนาการขึ้นโดยผู้คนซึ่งไม่รู้จักกันทั้งหมดแต่รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งเดียวกัน เมื่อรัฐเริ่มใช้แผนที่เป็นเครื่องมือในการทำให้อาณาเขตของชาติถูกมองเห็นและจับต้องได้ เส้นที่ถูกลากไว้จึงกลายเป็นกรอบความคิดที่กำหนดว่า ‘เราอยู่ที่ไหน’ และ ‘คนอื่นอยู่ที่ไหน’ แผนที่จึงทำหน้าที่ไม่ต่างจากสื่อที่สร้างความเป็นจริงชุดหนึ่งขึ้นมาให้ผู้คนในสังคมยึดถือร่วมกัน และความจริงนั้นมีพลังมากพอที่จะนิยามความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับดินแดนได้อย่างลึกซึ้ง
การถือกำเนิดของระบบกฎหมายระหว่างประเทศสมัยใหม่และเทคนิคการทำแผนที่เชิงวิทยาศาสตร์ ได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านให้ขึ้นอยู่กับเส้นเขตแดนที่เป็นผลผลิตของกระบวนการทางเทคนิคและการเมืองแบบรัฐชาติสมัยใหม่ Stuart Elden[2] ได้ชี้ให้เห็นว่า ดินแดนจึงไม่ใช่เพียงที่ตั้งหรือพื้นที่ทางภูมิศาสตร์อีกต่อไป แต่เป็นหน่วยการเมืองที่ถูกคำนวณและจัดระเบียบ ซึ่งรัฐใช้เป็นฐานในการนิยามอำนาจและอธิปไตยของตน
ในบริบทของสังคมไทย ธงชัย วินิจจะกูล[3] เสนอว่าการนำแผนที่เข้ามาใช้อย่างเป็นระบบในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้รัฐสยามเปลี่ยนวิธีการรับรู้และปฏิบัติต่ออาณาเขต จากเดิมที่ขอบเขตอำนาจทางการเมืองเป็นแบบยืดหยุ่นและสัมพันธ์กับความสัมพันธ์เชิงเครือญาติหรืออำนาจเชิงเครือข่าย กลายเป็นระบบที่อิงกับ ‘เส้น’ ที่แน่นอนและตรวจวัดได้บนกระดาษขณะเดียวกัน คุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่สุดของงานทางปัญญาของธงชัยชิ้นนี้คือการแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งที่สุดว่า ความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับดินแดนและเขตแดนระหว่างอดีตกับปัจจุบันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แผนที่สมัยโบราณกับสมัยใหม่แสดงข้อมูลและความรับรู้เกี่ยวกับความเป็นชาติแตกต่างกันชนิดที่เรียกว่าอยู่กับคนละโลกเลยทีเดียว และที่โดดเด่นที่สุด ธงชัยบอกให้เรารู้ว่าความรู้สึกที่ว่าเราจะเสียไปไม่ได้แม้แต่ตารางมิลลิเมตรเดียวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เอง และความรู้สึกเช่นว่านั้นไม่ได้เกิดจากการที่เรารู้เห็นว่าดินแดนนั้นอยู่ตรงไหนแต่มันมาจากการรับรู้เรื่องราวผ่านการดูแผนที่ (ความจริงเรียกว่าภาพกราฟิคแผนผังคงจะเหมาะสมมากกว่า)
เมื่อมาถึงยุคปัจจุบันและเพื่อให้เข้ากับบริบทของข้อถกเถียงที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยในเวลานี้ ก็จะต้องทำความเข้าใจด้วยว่า ความรู้ (knowledge) และความรับรู้ (perception) ที่ฝังอยู่ในแผนที่ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในหมู่เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือผู้เชี่ยวชาญ หากถูกนำออกมาเล่า ถ่ายทอด และต่อสู้กันอย่างกว้างขวางในพื้นที่สาธารณะผ่านสื่อมวลชน สื่อสังคมออนไลน์ (social media) และเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ Gearóid Ó Tuathail[4] บอกว่าเส้นเขตแดนที่ดูเสมือนหนึ่งเป็น ‘ข้อเท็จจริงทางภูมิศาสตร์’ จึงกลายเป็นสนามของการต่อรองทางวาทกรรมและการเมืองระหว่างกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐ นักชาตินิยม หรือประชาชนในพื้นที่ชายแดน การรับรู้ที่แตกต่างกันต่อแผนที่และเส้นเขตแดนสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองได้ไม่น้อยกว่าการเคลื่อนไหวของทหารหรือการเจรจาทางการทูตเลยทีเดียว
แผนที่ฝรั่งเศส 1: 200,000 ปีศาจร้ายทำลายชาติ?
แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งผลิตขึ้นจากผลงานการปักปันเขตแดนผสมสยาม-อินโดจีนฝรั่งเศส เพื่อใช้เป็นเอกสารทางการเพื่อ ‘กำกับการแสดง’ เส้นเขตแดนระหว่างไทย-ลาว-กัมพูชาในยุคใหม่นั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 ชุด ชุดแรกจัดทำขึ้นตามอนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1904 เป็นผลงานของคณะกรรมการชุดที่มีพลตรีหม่อมชาติเดชอุดม เป็นประธานร่วมกับ พันเอก แบร์นาร์ด (ฝ่ายฝรั่งเศส) มีทั้งหมด 11 ระวาง ใช้สำหรับเขตแดนด้านเหนือ (ติดลาว) 5 ระวาง ได้แก่ เมืองคอบ-เชียงล้อม, แม่น้ำด้านเหนือ,เมืองน่าน,ปากลาย และน้ำเหือง อีก 6 ระวางสำหรับเขตแดนที่ติดลาวและกัมพูชา ได้แก่ ป่าสัก, แม่โขง, ดงรัก, พนมกูเลน, ทะเลสาบ และตราด แผนที่ชุดนี้จัดพิมพ์ในฝรั่งเศสและส่งผ่านสถานทูตไทยในกรุงปารีสมายังกระทรวงการต่างประเทศในกรุงเทพฯ ระวางละ 50 ฉบับ (แต่สถานทูตขอเก็บไว้ระวางละ 2 ฉบับเพื่อแจกจ่ายไปยังสถานทูตไทยในอังกฤษ เยอรมนี รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา จึงเหลือส่งมากรุงเทพฯ ระวางละ 44 ฉบับ รัฐบาลสยามในเวลานั้นรับเอาไว้และสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในเวลานั้นได้มีหนังสือแสดงความขอบคุณผ่านสถานทูตฝรั่งเศสและได้ขอเพิ่มเติมอีกระวางละ 15 ฉบับ เพื่อจัดส่งไปให้จังหวัดต่างๆ ของสยามเพื่อให้ใช้เป็นเอกสารอ้างอิงเขตแดน
อีกชุดหนึ่งจัดทำขึ้นภายใต้สนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ปี 1907 ภายหลังจากที่ได้มีการแลกเมืองพระตะบอง เสียมเรียบ และศรีโสภณ กับเมืองด่านซ้าย ตราด และบรรดาเกาะทั้งหลายที่อยู่ใต้แหลมสิงไปจนถึงเกาะกูด แล้วจึงได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการผสมชุดใหม่ขึ้น ฝ่ายไทยมีพลเอกพระองค์เจ้าบวรเดชเป็นประธานร่วมกับฝ่ายฝรั่งเศสคือ พันตรี กีชาร์ด มองแกรต์ ทำการสำรวจเขตแดนและจัดทำแผนที่ชุดใหม่ขึ้นมาอีก 5 ระวาง คือ Secture No. 1-5 ด้วยมาตราส่วน 1:200,000 เช่นกัน ผลของมันคือทำให้ระวางพนมกูเลน ทะเลสาบและตราด ของชุดแรกต้องถูกยกเลิกไปโดยปริยายและแทนที่ด้วยของใหม่ ดังนั้นเราจึงเห็นภาพที่กระทรวงการต่างประเทศหรือกรมแผนที่ทหารแสดงเขตแดนไทย-กัมพูชาในปัจจุบัน ที่กำกับด้วยแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ระวาง Secture 1-5, Dangrak, Khong ไล่เรียงจากจังหวัดตราดถึงอุบลราชธานี
คงไม่ผิดถ้าจะกล่าวว่า ก่อนคดีปราสาทพระวิหารในทศวรรษ 1960 ผู้คนในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นผู้ดีหรือไพร่ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับแผนที่ฝรั่งเศสทั้ง 2 ชุดนี้เลย จนกระทั่งประเทศไทยได้บุกยึดดินแดนบางส่วนของกัมพูชา รวมทั้งพระตะบอง เสียมเรียบ จอมกระสาน และเขาพระวิหารที่มีปราสาทหินชื่อเดียวกันตั้งอยู่ ในปี 1941 มาไว้ในครอบครองชั่วคราว แต่สุดท้ายก็ต้องคืนกลับไปให้กัมพูชาเพราะเหตุแห่งการแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง จำต้องทำความตกลงกับฝรั่งเศสในปี 1946 เพื่อเพิกถอนอนุสัญญากรุงโตเกียว 1941 และผลของคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ 1962 ที่ว่า ‘ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา’[5] อีกทั้งการตีความคำพิพากษานั้นในปี 2013 ทำให้ปรากฏชัดต่อสายตาชาวโลกว่า ‘กัมพูชามีอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ทั้งหมดของภูเขาพระวิหาร’[6]
ด้วยความที่แผนที่ 1:200,000 ระวางดงรัก ซึ่งได้กำหนดเส้นเขตแดนบริเวณนั้นให้ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเส้นภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ได้มีบทบาทสำคัญในการให้เหตุผลของศาลจนเป็นเหตุให้ประเทศไทยพ่ายแพ้ในคดีนั้น ซึ่งนับเป็นความอับอายขายหน้าแห่งชาติ (national humiliation) มันจึงถูกหยิบขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของความบาดแผลทางใจที่ได้รับการคัดสรร (chosen trauma)[7] ตอกย้ำให้คนไทยจำนวนหนึ่งรับรู้ กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอุปทานแห่งความเจ็บปวดรวมหมู่อันเกิดจากการเสียดินแดนที่ได้รับตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้คนไทยรู้สึกหวงแหนในแผ่นดิน (ที่ไม่ใช่ของตัวเอง) จนถึงยุคปัจจุบัน
เค้าโครงหลักที่กลุ่มชาตินิยมฝ่ายขวาหยิบขึ้นมาเล่าเพื่อสร้างความเจ็บปวดร่วมคือ ฝ่ายฝรั่งเศสทำแผนที่ชุดนี้ขึ้นมาฝ่ายเดียว ประเทศไทยไม่เคยยอมรับมันและปฏิเสธมาโดยตลอด ในการต่อสู้ในศาลนั้นฝ่ายไทยยืนยันว่าแผนที่นี้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายเพราะแผนที่ไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการโดยคณะกรรมการผสมตามที่สนธิสัญญา 1904 กำหนด แต่จัดทำโดยเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสฝ่ายเดียว จึงไม่ใช่เอกสารที่เห็นชอบร่วมกันของสองฝ่าย ไม่มีหลักฐานว่ารัฐบาลสยามเคยให้ความเห็นชอบหรือยอมรับอย่างชัดแจ้งในเวลานั้น เส้นที่ปรากฏบนแผนที่คลาดเคลื่อนจากแนวสันปันน้ำจริง ซึ่งฝ่ายไทยถือเป็นเส้นเขตแดนตามสนธิสัญญาจึงไม่อาจใช้เป็นเส้นเขตแดนได้ หลังจาก 1907 ไทยยังคงปฏิบัติการปกครอง พิสูจน์สิทธิ และควบคุมพื้นที่โดยพฤตินัยบริเวณปราสาทและสันเขาโดยตลอด เช่น การเข้าถึงจากฝั่งไทยและการใช้พื้นที่ทางทหาร
“อย่างไรก็ดี ศาลมีความเห็นว่าประเทศไทยใน ค.ศ. 1908-1909 ได้ยอมรับแผนที่ในภาคผนวก 1 ว่าเป็นผลงานของการปักปันเขตแดนและด้วยเหตุนี้จึงได้รับรองเส้นบนแผนที่ว่าเป็นเส้นเขตแดน อันเป็นผลให้พระวิหารตกอยู่ในดินแดนกัมพูชา ศาลมีความเห็นต่อไปว่า เมื่อพิจารณาโดยทั่วๆ ไป การกระทำต่อๆ มาของไทยก็มีแต่ยืนยันและชี้ให้เห็นชัดถึงการยอมรับแต่แรกนั้น และว่าการกระทำของไทยในเขตท้องที่ก็ไม่เพียงพอจะลบล้างข้อนี้ได้ คู่กรณีทั้งสองฝ่ายโดยการประพฤติปฏิบัติของตนเองได้รับรองเส้นบนแผนที่นี้และดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นการตกลงให้ถือว่าเส้นนี้เป็นเส้นเขตแดน”[8]
ในปี 2011–2013 กัมพูชายื่นคำร้องให้ศาลตีความคำพิพากษา 1962 โดยยืนยันว่า คำว่า ‘บริเวณใกล้เคียง’ (vicinity) และ ‘ดินแดนของกัมพูชา’ ในคำสั่งศาลปี 1962 หมายถึง “พื้นที่ทั้งหมดทางใต้ของเส้นแผนที่ Annex I (คือแผนที่ 1:200000 ระวางดงรัก)” ซึ่งครอบคลุมเขาพระวิหารทั้งหมด กัมพูชาจึงมีสิทธิในพื้นที่ดังกล่าวทั้งหมด ฝ่ายไทยพยายามที่จะโต้แย้งเรื่องอิทธิพลของแผนที่ต่อเส้นเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารว่า คำพิพากษา 1962 ไม่ได้กำหนดเส้นเขตแดน และศาลไม่มีอำนาจตีความเพื่อ “ขีดเส้นเขตแดนใหม่” คำว่า “บริเวณใกล้เคียง” ควรถูกจำกัดเพียงพื้นที่เล็กๆ รอบตัวปราสาท ไม่ใช่ภูเขาทั้งลูก เส้นเขตแดนใน Annex I map ไม่ใช่ “เส้นเขตแดนที่มีผลผูกพัน” และคำพิพากษาปี 1962 ไม่ได้ตัดสินเรื่องเส้นเขตแดนทั้งหมด
แต่สุดท้ายก็ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ตามการตีความของศาลในคำตัดสินปี 1962 มีผลครอบคลุมทั้งบริเวณเนินเขาพระวิหาร (promontory) ที่อยู่ด้านใต้ของเส้นแผนที่ Annex I ไทยมีพันธกรณีต้องถอนเจ้าหน้าที่ออกจาก “พื้นที่ทั้งหมดของเนินเขาพระวิหาร” ไม่ใช่แค่ตัวปราสาท แม้ว่าศาลจะได้บรรยายโดยละเอียดว่าพื้นที่เช่นว่านั้นไปสิ้นสุดที่ใดแต่ก็ไม่ได้กำหนดเส้นเขตแดนอย่างชัดเจน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสองประเทศดำเนินการต่อไป ซึ่งทั้งสองประเทศก็ปล่อยให้คาราซังนับแต่นั้นมาจนกระทั่งมาเกิดเหตุพิพาทและปะทะกันอีกในปีนี้ ความเจ็บปวดจากแผนที่ 1:200,000 ก็ถูกผลิตซ้ำอีกครั้ง
แผนที่ฝรั่งเศสมาตราส่วน 1:200,000 กลายเป็นหนึ่งในวัตถุทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีพลังเชิงสัญลักษณ์สูงยิ่งในความทรงจำของรัฐไทยและสังคมไทยร่วมสมัย ทั้งที่ในทางข้อเท็จจริง แผนที่ชุดนี้มีสถานะเป็นเพียงเอกสารเทคนิคที่จัดทำขึ้นเพื่อประกอบการปักปันพรมแดนตามสนธิสัญญา 1904 และ 1907 อย่างไรก็ดี แม้ว่าคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศปี 1962 ได้นำระวางดงรักมาเป็นเหตุผลสำคัญของการวินิจฉัย ขอบเขตของคำพิพากษานี้จึงผูกพันเฉพาะพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร ไม่ใช่แผนที่ 1:200,000 ทั้งชุด แต่ความทรงจำและวาทกรรมในสังคมไทยกลับมักเหมารวมว่าแผนที่ฝรั่งเศสทั้งหมดเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้และเสียดินแดนซึ่งเป็นการตีความที่ขยายขอบเขตเกินกว่าที่คำพิพากษากำหนดไว้จริง
ในความเป็นจริง ระวางอื่นของแผนที่ชุดนี้ไม่เคยถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของศาล และยังคงต้องอาศัยมันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสำรวจและเจรจากันในปัจจุบัน ภายใต้กรอบของบันทึกความเข้าใจปี 2543 เพื่อกำหนดเส้นเขตแดนโดยละเอียดชัดเจน การทำความเข้าใจอย่างแยกแยะระหว่างระวางดงรักที่เป็นข้อพิพาทเฉพาะจุดกับระวางอื่นที่อยู่ในกระบวนการปักปันจึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดการตีขลุมเหมารวมกันด้วยอารมณ์ เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับการจัดการปัญหาพรมแดนในเชิงเทคนิคและกฎหมายระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
น่าสนใจด้วยว่า ภาครัฐไทยในยุคสมัยปัจจุบันก็มิได้ปฏิเสธแผนที่ฝรั่งเศสโดยสิ้นเชิง หากแต่ใช้มันเป็นจุดอ้างอิงเชิงเทคนิคในบริบทอื่น เช่น บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย–ลาว ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตลอดแนวร่วมกัน 1996 (พ.ศ. 2539)[9] ได้ระบุให้ใช้ “แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามสนธิสัญญา 1904 และ 1907” เป็นเอกสารอ้างอิงเบื้องต้นสำหรับการปักปันพรมแดน แสดงให้เห็นว่า แผนที่ชุดเดียวกันนี้อาจมีสถานะทางการเมือง–กฎหมายที่ต่างกันไปตามบริบทและความสัมพันธ์ทางการทูต การยึดโยงแผนที่กับความรู้สึกสูญเสียดินแดนแบบเหมารวม จึงสะท้อนการผลิตความทรงจำทางการเมืองมากกว่าจะสะท้อนความจริงของกฎหมายระหว่างประเทศที่ซับซ้อนและแยกแยะเป็นกรณีๆ ได้
แผนที่อเมริกัน 1:50,000 โลกทัศน์สงครามเย็น
แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องผิดเสียเลยทีเดียวที่แม่ทัพนายกองของไทยจำนวนมากพากันประกาศว่าทำหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของไทยโดยยึดตามแผนที่ 1:50,000 เท่านั้น แต่ก็เป็นคำกล่าวที่สร้างความไขว้เขวให้ประชาชนเข้าใจว่า แผนที่ชุดนี้เป็นแผนที่ซึ่งแสดงเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับเพื่อนบ้าน ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วแผนที่นี้ใช้สำหรับการปฏิบัติการทางทหารเป็นหลัก เส้นเขตแดนที่ปรากฏบนแผนที่แม้จะอ้างว่าทำขึ้นจากสันปันน้ำตามที่ปรากฎอยู่ในสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส 1904 และ 1907 แต่เส้นเขตแดนที่ปรากฏอยู่ท้ายระวางทุกแผนว่า “แนวแบ่งเขตระหว่างประเทศในแผนที่ระวางนี้ต้องไม่ถือกำหนดเป็นทางการ” (INTERNATIONAL BOUNDARY REPRESENTATION MUST NOT BE CONSIDERED AUTHORITATIVE)
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่เกิดความตึงเครียดและเหตุปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อช่วงกลางปี 2025 กองทัพไทยและผู้นำทางทหารทุกระดับ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไทยยึดแผนที่ 1:50,000 ตลอดเวลา คำพูดและภาพของแผนที่ซึ่งแสดงแนวปฏิบัติการ ได้รับการเผยแพร่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสื่อมวลชนและในหมู่ผู้ทรงอิทธิพล (influencer) ยุคใหม่ ในฐานะที่มันเป็น ‘เส้นเขตแดน’ ของไทยที่คงทนถาวรอยู่อย่างนั้นมานานและมีความเป็นสากล ไม่ใช่แค่เส้นปฏิบัติการทหารที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ได้รับการแนะนำเข้ามาสู่ความทรงจำของทางการไทยเป็นครั้งแรกในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เมื่อรัฐบาลจอม ป. พิบูลสงคราม ได้ทำความตกลงกับสหรัฐฯ (US Army Map Service) ในปี 1951 และใช้เวลาจัดทำเป็นเวลานานกว่าจะแล้วเสร็จในปี 1969 เป็นแผนที่ในชุด L 708 ถือเป็นแผนที่มาตรฐานฉบับแรกของไทยที่ใช้มาตราส่วน 1:50,000[10] ข้อมูลของเอกสารวิชาการของศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ[11] ระบุแตกต่างออกไปเล็กน้อยว่ากรมแผนที่ทหารได้ดำเนินการผลิตแผนที่ภูมิประเทศ ชุด L708 มาตราส่วน 1:50,000 ในปี 1967 ตามโครงการทำแผนที่ร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อใช้ในกิจการทหารด้วยข้อมูลจากรูปถ่ายทางอากาศ เริ่มกระบวนการที่บินถ่ายรูปถ่ายทางอากาศ สำรวจภูมิประเทศ เขียนถ่ายทอดรายละเอียดประกอบเป็นแผนที่และพิมพ์แผนที่กระดาษ
ต่อมากรมแผนที่ทหารยกเลิกการใช้แผนที่ชุด L708 และดำเนินการผลิตแผนที่ภูมิประเทศ ชุด L7017 มาตราส่วน 1:50,000 ขึ้นมาทดแทนในปี 1971 และในปี 2002 ได้พัฒนาและปรับปรุงแผนที่ชุดเดียวกันนี้ให้มีคุณภาพดีขึ้นเป็น L 7018 นำมาใช้ทางทหารและบ่งชี้ ‘เส้นปฏิบัติการ’ กำหนดขอบเขตของการป้องกันประเทศมาจนถึงปัจจุบัน
อาจจะกล่าวได้ว่าแผนที่ชุดนี้ได้รับการผลิตขึ้นมาใช้งานเพื่อประโยชน์ทางการเมืองโดยแท้ เพราะไม่เพียงปรากฎว่ามีรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นที่ในประเทศไทยที่ลึกลงไปถึงระดับหมู่บ้าน แต่ยังปรากฏว่าสหรัฐฯ ได้จัดทำแผนที่ใน Series L ด้วยมาตราส่วน 1:50,000 ให้กับประเทศพันธมิตรในอินโดจีนที่ร่วมกันต่อต้านภัยคอมมิวนิสต์ในเวลานั้น คือเวียดนามใต้ L 7014, ลาว L 7015, กัมพูชา L 7011 (ปี 1966) และ L 7016 (1971)
เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ของกรมแผนที่ทหารไทยต่างยกย่องแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ว่าเป็นเครื่องมือที่มีความแม่นยำสูง ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นแผนที่รุ่นใหม่ที่มีมาตราส่วนละเอียดกว่าของฝรั่งเศสเท่านั้น หากแต่ยังสะท้อนระบอบเทคนิค (regime of technique) ที่เปลี่ยนวิธีที่รัฐมองและควบคุมภูมิประเทศอย่างสิ้นเชิง แผนที่ชุดนี้จัดทำขึ้นโดยอาศัยพื้นฐานของภาพถ่ายทางอากาศ ไม่ใช่การเดินสำรวจแบบโบราณด้วยระบบเส้นโครง Mercator Projection ซึ่งใช้ผิวทรงกระบอกแปลงโลกทรงกลมให้เป็นระนาบ ทำให้สามารถถ่ายทอดลักษณะภูมิประเทศ เช่น แนวสันเขา ลำธาร เส้นทางคมนาคม หรือรูปทรงของภูเขา ได้อย่างสอดคล้องกับพื้นที่จริง ความละเอียดในระดับที่ระยะ 1 มิลลิเมตรบนแผนที่เท่ากับ 50 เมตรบนภูมิประเทศ ประกอบกับการเขียนเส้นชั้นความสูง (Contour Line) ตามรูปร่างภูเขาอย่างประณีต ทำให้แผนที่กลายเป็นดวงตาเชิงเทคนิคของรัฐ (technical gaze) ที่สามารถมองพื้นที่ชายขอบและพรมแดนได้อย่างเป็นระบบและแม่นยำราวกับตัดพื้นที่ออกมาแผ่บนโต๊ะปฏิบัติการ
ความเหนือกว่าของเทคนิคนี้มักถูกหยิบมาเปรียบเทียบกับแผนที่ฝรั่งเศสมาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งผลิตขึ้นจากการสำรวจภาคพื้นดินและใช้ระบบเส้นโครง Sinusoidal Projection ที่เน้นความถูกต้องด้านพื้นที่และขนาดมากกว่า แผนที่ฝรั่งเศสจึงเหมาะสำหรับการมองภาพรวมและการคำนวณพื้นที่ แต่ไม่สามารถสะท้อนภูมิทัศน์จริงได้อย่างละเอียด เมื่อวัดระยะหรือพิจารณาแนวสันปันน้ำบนแผนที่ 1:200,000 มักเกิดความคลาดเคลื่อนจากภูมิประเทศจริง เช่น แนวสันปันน้ำที่ปรากฏบนแผนที่ไม่ตรงกับแนวภูเขาในภูมิประเทศจริง ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ก่อให้เกิดการตีความแตกต่างในข้อพิพาทเขตแดนไทย–กัมพูชา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แผนที่ 1:50,000 ไม่ได้เป็นเพียงแผ่นกระดาษที่แม่นยำกว่า แต่เป็นตัวแทนของเทคโนโลยีการทำแผนที่สมัยใหม่ที่รัฐไทยนำมาใช้เพื่อกำหนดความจริงเชิงภูมิศาสตร์ขึ้นใหม่ แทนที่การรับรู้แบบอาณานิคมฝรั่งเศส กล่าวในแง่นี้แผนที่จึงไม่ใช่หลักวิชาการที่ปราศจากอคติ หากแต่เป็นกลไกที่รัฐใช้สร้างระเบียบทางภูมิศาสตร์และอำนาจต่อรองในพื้นที่ชายแดนขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
แผนที่จินตนาการใหม่
บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกฉบับปี 2000 (2543) กำหนดให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมทำการพิสูจน์ทราบตำแหน่งหลักเขตและเส้นเขตแดนของสองประเทศที่ได้ทำกันเอาไว้ตั้งแต่ยุคอาณานิคมตามสนธิสัญญา 1904 และ 1907 และเมื่อดำเนินการสำรวจและซ่อมแซมหรือจัดทำหลักเขตใหม่ทดแทนของเก่าที่ชำรุดเสียหายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้อ 2 (ฉ) กำหนดให้ “ผลิตแผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกที่ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกแล้ว”[12] นั่นหมายความว่า หากการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้แล้วเสร็จไทยและกัมพูชาจะมีแผนที่ฉบับใหม่เพื่อกำกับการแสดงเส้นเขตแดนเพียงหนึ่งเดียว
บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกฉบับนี้มีสถานะเป็นเครื่องนำทางสำคัญที่นำทั้งสองฝ่ายย้อนกลับไปสำรวจ ตรวจสอบ และยืนยันแนวเส้นเขตแดนและหลักเขตแดนที่เคยกำหนดไว้ภายใต้สนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ 1907 สำหรับเอกสารสำคัญที่ต้องถูกนำมาใช้เป็นฐานนั้นได้แก่ แผนที่ฝรั่งเศสมาตราส่วน 1:200,000 ทั้ง 2 ชุดจำนวน 7 ระวาง บันทึกปากคำการปักหลักเขตแดน (Proces-Verbaux) และแผนผังตำแหน่งหลักเขต (Planche d’indications tophographiques) ซึ่งเป็นชุดข้อมูลที่สะท้อนภูมิรัฐศาสตร์แบบอาณานิคมในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 MOU 43 จึงมิใช่กรอบใหม่ที่สร้างเส้นเขตแดนขึ้นมาเอง หากแต่เป็นการกลับไปเปิดเอกสารเก่าเพื่อค้นหาพื้นฐานทางกฎหมายที่ทั้งสองฝ่ายเคยยอมรับร่วมกันมาก่อน
เพื่อต่อยอดจากเอกสารอาณานิคมเหล่านี้ ไทยและกัมพูชาได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission – JBC) และได้มีการเขียนขอบเขตและข้อกำหนดของภารกิจ (Term of Reference-TOR) ในปี 2003 ซึ่งกำหนดให้การสำรวจร่วมในภูมิประเทศเป็นกลไกหลักในการยืนยันและปรับปรุงแนวเขตแดนเดิม แผนที่ฝรั่งเศส 1:200,000 ถูกใช้เป็นเอกสารอ้างอิงเบื้องต้นในการระบุจุดสำรวจ เช่น แนวสันปันน้ำหรือจุดสังเกตภูมิประเทศ ขณะเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการสำรวจภาคสนามอย่างเป็นระบบโดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 7 ตอน ตั้งแต่จังหวัดตราดไปจนถึงอุบลราชธานี การสำรวจใช้ระบบพิกัด GPS จุดควบคุมร่วม (Joint Control Points) และการเดินสำรวจภูมิประเทศเพื่อหาตำแหน่งหลักเขตที่ปรากฏในเอกสารเก่าให้ตรงกับสภาพจริง
ในการสำรวจยุคใหม่นั้นภาพถ่ายทางอากาศแบบ Orthophoto ถูกนำมาใช้เป็นฐานข้อมูลกลาง เพราะสามารถแสดงลักษณะภูมิประเทศได้อย่างเที่ยงตรงหลังการปรับแก้ความโค้งงอของผิวโลกในเชิงเรขาคณิตแล้ว ทำให้สามารถระบุแนวสันปันน้ำและตำแหน่งหลักเขตได้ตรงกับพื้นที่จริงมากกว่าการอ้างอิงจากแผนที่ยุคอาณานิคมเพียงอย่างเดียว การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมครั้งที่ 6 ที่กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2025 ได้ให้การรับรองผลการประชุมของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคไทย–กัมพูชา ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2024 ที่เมืองเสียมเรียบ ซึ่งทั้งสองฝ่ายสามารถยืนยันตำแหน่งหลักเขตได้ 45 หลักจากทั้งหมด 74 หลัก และมีมติให้ใช้เทคโนโลยี LiDAR มาประกอบการสำรวจเพิ่มเติม เทคโนโลยีนี้สามารถสร้างภาพภูมิประเทศสามมิติที่ละเอียดระดับเซนติเมตร ทำให้สามารถลากเส้นเขตแดนตามแนวสันปันน้ำได้ตรงกับภูมิประเทศจริงในยุคปัจจุบันที่สุด
บนฐานข้อมูลภาคสนามและเทคโนโลยีร่วมสมัยนี้ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมมีแผนจะผลิต ‘แผนที่ชุดใหม่’ สองระดับมาตราส่วน ได้แก่ มาตราส่วน 1:25,000 สำหรับการกำหนดแนวเส้นเขตแดนโดยละเอียด และมาตราส่วน 1:250,000 สำหรับการแสดงภาพรวม กระบวนการผลิตแผนที่ใหม่จะดำเนินภายใต้กรอบทางเทคนิคและกฎหมายเดียวกัน ทั้งในด้านระบบพิกัด การประมวลผลข้อมูล การลงนามรับรองร่วม และการเสนอให้คณะรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศนำเข้าสู่กระบวนการให้สัตยาบัน แผนที่เหล่านี้จะเป็นเอกสารอ้างอิงทางกฎหมายชุดใหม่ที่มีสถานะเหนือกว่าแผนที่ฝรั่งเศส 1:200,000 ซึ่งเคยเป็นจุดเริ่มต้นของความคลุมเครือในศตวรรษที่ผ่านมา หรือกล่าวอีกนัยคือมันจะมาทดแทนมรดกของอาณานิคม
การใช้เทคโนโลยีสำรวจสมัยใหม่ควบคู่กับการผลิตแผนที่ใหม่ในระดับมาตราส่วนที่ละเอียดและแม่นยำเช่นนี้ มิได้เป็นเพียงการปรับปรุงเทคนิค หากแต่เป็นการเปลี่ยนฐานคิดของภูมิรัฐศาสตร์ชายแดนอย่างสิ้นเชิง ภูมิรัฐศาสตร์เชิงเทคนิคที่เกิดขึ้นนี้เปิดโอกาสให้สองรัฐสามารถสร้างระเบียบภูมิศาสตร์ชุดใหม่บนฐานของข้อมูลจริง ความร่วมมือ และความเท่าเทียม แทนที่จะต้องผูกพันอยู่กับเส้นแผนที่ที่อาณานิคมฝรั่งเศสเคยลากทิ้งไว้เมื่อกว่าร้อยปีก่อน แผนที่ใหม่ที่กำลังจะถูกผลิตขึ้นจึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือเชิงเทคนิคในการกำหนดพรมแดน แต่เป็นจุดเริ่มต้นของ ‘การสร้างจินตนาการใหม่เกี่ยวกับเส้นเขตแดน’ ที่ชัดเจน โปร่งใส และได้รับการยอมรับร่วมกัน เป็นการปลดเปลื้องพันธนาการทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ตกทอดจากยุคอาณานิคม และเปิดทางสู่กรอบความสัมพันธ์ชายแดนที่มั่นคงและเท่าเทียมมากขึ้นในอนาคต
บทสรุป
เส้นเขตแดนไม่เคยเป็นเพียงเส้นทางภูมิศาสตร์ แต่เป็นผลลัพธ์ของการต่อรองเชิงจินตนาการระหว่างอำนาจ ความทรงจำ และเทคโนโลยี แผนที่ที่รัฐเลือกใช้ในแต่ละยุคสมัยจึงสะท้อนมากกว่าความรู้ทางเทคนิคแต่มันบอกเล่าระบอบความคิดและความสัมพันธ์เชิงอำนาจของรัฐกับเพื่อนบ้านและกับประชาชนของตนเอง จากแผนที่ฝรั่งเศสซึ่งเป็นมรดกของภูมิรัฐศาสตร์อาณานิคม มาจนถึงแผนที่อเมริกันยุคสงครามเย็น และล่าสุดคือแผนที่ร่วมสมัยภายใต้กรอบ MOU 2543 ที่ใช้เทคโนโลยี LiDAR และ Orthophoto ล้วนแสดงให้เห็นว่า ‘การทำแผนที่’ คือการทำให้รัฐเข้าใจและนิยามตนเองในโลกที่เส้นแบ่งไม่ได้ตายตัว
ความคลุมเครือของเขตแดนไทย–กัมพูชาในรอบศตวรรษที่ผ่านมาไม่ได้เกิดจากเส้นที่ลากบนกระดาษ หากเกิดจากการที่ผู้คนส่วนหนึ่งในสังคมไทยยังคงผูกพันกับจินตนาการแห่งการสูญเสียดินแดน ซึ่งถูกผลิตซ้ำผ่านการศึกษา ประวัติศาสตร์ และสื่อมวลชน แผนที่จึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจ็บปวดมากกว่ากรอบความเข้าใจทางภูมิศาสตร์ การขจัดความคลุมเครือนี้จึงไม่อาจทำได้ด้วยเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาพร้อมกับการปลดปล่อยความคิดจากวาทกรรมชาตินิยมที่ผูกความรักชาติไว้กับเส้นบนแผนที่
อย่างไรก็ตาม ภูมิรัฐศาสตร์เชิงเทคนิคที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะการผลิตแผนที่ใหม่ร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา ด้วยมาตราส่วนที่ละเอียดและระบบพิกัดร่วม อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างจินตนาการใหม่ นั่นคือจินตนาการที่ยอมรับว่าเส้นเขตแดนคือสิ่งสมมติที่ต้องอาศัยความร่วมมือ ความเท่าเทียม และความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ไม่ใช่พื้นที่แห่งความหวาดระแวง ตึงเครียด หรือสนามแข่งขันที่มีไว้แสดงความเหนือชั้น หากเราสามารถทำให้แผนที่กลายเป็นสื่อแห่งสันติภาพแทนสัญลักษณ์แห่งความบาดหมางได้ ความคลุมเครือที่คงค้างมากว่าร้อยปีก็อาจถูกแปลงเป็นพื้นที่แห่งความเข้าใจใหม่ระหว่างสองรัฐและผู้คนทั้งสองฝั่งพรมแดน
[1] งานของ Ben Anderson เป็นงานคลาสสิคที่อ่านเข้าใจยาก มีภาษาไทยที่ช่วยลดอุปสรรคของภาษาเอาไว้ใน ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (บรรณาธิการ) ชุมชนจินตกรรม: บทสะท้อนว่าด้วยกำเนิดและการแพร่ขยายของชาตินิยม (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2552)
[2] Stuart Elden The Birth of Territory (Chicago: The University of Chicago Press, 1971)
[3] Thongchai Winichakul. Siam Mapped: A history of the geo-body of a nation. (Chiangmai: Silkworm Book,2004)
[4] Gearoid O Tuathail Critical Geopolitics (London: Routledge, 1996)
[5] International Court of Justice Report of judgments, advisory and orders, case concerning the temple of Preah Vihear (Cambodia-Thailand) 15 June 1962 p. 34
[6] Request for interpretation of the judgement of 15 June 1962 in the case concerning the temple of Preah Vihear (Cambodia-Thailand) 11 November 2013 p. 36
[7] สนใจแนวคิดนี้โปรดดู Shane Strate The Lost Territories: Thailand’s history of national humiliation (Honolulu: University of Hawaii Press, 2015.
[8] บวรศักดิ์ อุวรรณโณ แฉเอกสารลับที่สุดปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505-2551 (กรุงเพพฯ: มติชน, 2551 หน้า 112
[9] สนใจโปรดดู สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี “พรมแดนไทย-ลาว: สนธิสัญญา เขตแดน และ แผนที่” ใน ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (บรรณาธิการ) ประมวลแผนที่: ประวัติศาสตร์-ภูมิศาสตร์-การเมืองกับลัทธิอาณานิคมในอาเซียน-อุษาคเนย์ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์, 2555 หน้า 412-432
[10] Kengkit Kitirianglarp “Thailand Map” New Mandala May 04, 2018
[11] น.อ. หญิง กัลยา พัวธนาโชคชัย แผนปฏิบัติราชการของกรมแผนที่ทหารเพื่อขับเคลื่อนพัฒนาระบบงานแผนที่และภูมิสารสนเทศระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) เอกสารวิชาการ ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ 2565 หน้า 11
[12] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ประมวลสนธิสัญญา (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2554) หน้า 235