‘ชาติ’ นี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้?: 
ฟังเสียงความรัก ความชัง และสัมพันธ์ไทย – กัมพูชา ผ่าน ‘เพลงลูกทุ่งไทย’

ท่ามกลางสถานการณ์สู้รบอันดุเดือดระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาในเดือนกรกฎาคมปี 2568 กระแส ‘ชาตินิยม’ ลุกโชนหัวใจหลายๆ คน ราวกับฟืนไฟที่พร้อมจะแผดเผาทำลายอีกฝ่ายให้แหลกเป็นจุณ ความเสียใจและความโมโหเดือดดาลเดินทางมาบรรจบบนร่างนักรบทหารและการสดุดีความตายจากการสู้รบด้วยวาทศิลป์ พลีชีพเพื่อชาติ สละชีพเพื่อชาติ

ความรุนแรงในระดับนิยามคำว่า สงคราม ยิ้มต้อนรับ แสดงให้เห็นว่า ‘ชาติ’ ในความหมาย ‘ประเทศ’ อันหมายถึงดินแดนที่มีขอบเขต ความเป็นรัฐ และอำนาจอธิปไตย เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่ทหารกล้าหรือชาวประชาในชาติพร้อมยินยอมสละชีวิตรักษาไว้ ในขณะเดียวกัน ความแค้นและความชิงชังที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆ กัน ก็ส่งผลต่อ ‘ชาติ’ ในความหมาย ภพชาติ หรือการเกิด ราวกับว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา ‘ชาติ’ นี้
คงจะรักกันไม่ได้

แต่ ไทยกับกัมพูชา ‘ชาติ’ นี้ จะรักกันไม่ได้จริงหรือ แล้วที่ผ่านมาทั้งสองชาตินี้เคยรักกันบ้างหรือเปล่า บางคนจำไม่ได้ หลายคนอาจหลงลืม ฉะนั้น หากมีเวลา โปรดจงพักเสียงปืน หยุดเสียงระเบิด แล้วสดับรับฟังเสียงความรัก ความชัง และสัมพันธ์ไทย – กัมพูชา ผ่านพงศาวดารฉบับ ‘เพลงลูกทุ่งไทย’

1. ‘ลูกคอเขาพระวิหาร’ 

ในพงศาวดารฉบับเพลงลูกทุ่งไทย มีหลายบทเพลงที่บันทึกประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา นับตั้งแต่ในยุคที่เพลงลูกทุ่งยังถูกเรียกว่า ‘เพลงตลาด’ (คนนิยมเรียกเพลงลูกทุ่งในช่วงหลังปี 2507) โดยภายหลังกัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสอย่างสมบูรณ์ ในปี 2496 เมื่อความรักยังเดินทางมาไม่ถึง ความชิงชังก็ปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน ซึ่งความขัดแย้งแรกๆ ระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ปรากฏออกมาเป็นบทเพลง ก็มาจากกรณีพิพาทปราสาทเขาพระวิหารในราวปี 2502 – 2505 ดังปรากฏเป็นเพลง ‘เขาพระวิหารต้องเป็นของไทย’ ผลงานการขับร้องโดย ก้าน แก้วสุพรรณ

YouTube video

“(พูด) เขาพระวิหารต้องเป็นของไทย

(เข้าเนื้อร้อง) เขาพระวิหาร โบราณวัตถุของไทย

อ่านข่าวแล้วแสนเจ๊บใจ เรื่องเขตแดนไทยเขาพระวิหาร

สองครั้งแล้วซิ ที่ก่อเหตุทำรุกราน

ผมเลือดสุพรรณ จะร่วมใจท่านอาสา

พวกเราคนไทย ได้รู้กันทั่วทั้งหมด

ขุ่นเคืองสุดแสนรันทด เมื่อถูกคนคดเกเรหนักหนา

ร้องเอาดื้อๆ ของใครก็ไม่นำพา

จะเอาของข้า ข้ามศพข้าก่อนเถิดเหวย

ประวัติศาสตร์ไทย ทำไมไม่พลิกอ่านดู

ของไทยใครๆ ก็รู้ อยู่ๆ จะเอาเฉยๆ

ทำมาขี้ตู่ ดูๆ เป็นเด็กนักเหวย

เป็นอันธพาลเสียเคย เขาว่าช่างหน้าไม่อาย

ผมอยู่สุพรรณ เลือดเนื้อผมนั้นเป็นไทย

ถ้าจะเรียกร้องเมื่อใด ผมต้องรับใช้ดังใจมุ่งหมาย

ทุกคนชาวไทย มอบตัวมอบใจยอมตาย

รุกรานเมื่อไร ต้องได้เห็นดีกัน

ผมร้องเพลงนี้ อุทิศพลีเงินรายได้

ร่วมทุนสมทบชาติไทย ได้ปกป้องไว้ดินแดนเขตขันธ์

ขอเทพเทวา ปกปักรักษาป้องกัน

ผืนดินไทยนั้น สุขสันต์นิรันดร”1

ก้าน แก้วสุพรรณ เจ้าของผลงานเพลงดัง ‘น้ำตาลก้นแก้ว’ ขับร้องเพลง ‘เขาพระวิหารต้องเป็นของไทย’ ผลงานการประพันธ์ของ ครูเปรื่อง ชื่นประโยชน์ (ป.ชื่นประโยชน์) ด้วยอารมณ์ชิงชังกัมพูชา สะท้อนมุมมอง และอารมณ์ของคนไทยที่ว่าดินแดนของไทยถูกกัมพูชารุกราน และ ‘เขาพระวิหารต้องเป็นของไทย’ ไม่เพียงเท่านั้น ก้าน แก้วสุพรรณ ยังใช้ ‘ลูกคอ’ ปลุกกระแสชาตินิยมเลือดไทยให้พร้อมสละชีพเพื่อชาติถึงขนาด ‘มอบตัวมอบใจยอมตาย รุกรานเมื่อไร ต้องได้เห็นดีกัน’ รวมทั้งแสดงเจตนารมณ์ด้วยว่า ร้องเพลงนี้ก็เพื่ออุทิศพลีเงินรายได้ ร่วมทุนสมทบชาติไทยสู้คดีเขาพระวิหาร อันเนื่องมาจากในช่วงปลายปี 2502 กัมพูชาได้ยื่นฟ้องกรณีข้อพิพาทดังกล่าวต่อศาลโลก ทำให้คนในสังคมไทยหลายภาคส่วน ทั้งลูกเด็กเล็กแดงตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ร่วมใจบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อสมทบทุนรัฐบาลสู้คดี2

ก้าน แก้วสุพรรณ เล่าว่า ที่มาของเพลง ‘เขาพระวิหารต้องเป็นของไทย’ มาจากวันหนึ่ง ได้เดินทางไปจังหวัดศรีสะเกษกับ ครู ป.ชื่นประโยชน์ (ก้าน เคารพรักครู ป.ชื่นประโยชน์ เป็นอย่างมาก โดยจะเรียกว่า พ่อ) ในระหว่างการเดินทาง ครู ป.ชื่นประโยชน์ ได้ถามว่า

“แดง (ชื่อเล่นของก้าน แก้วสุพรรณ – ผู้เขียน) เอ็งว่าเขาพระวิหารเนี่ยเป็นของใคร”

ก้าน แก้วสุพรรณ ตอบว่า “พ่อ ก็เป็นของไทย” โดยให้เหตุผลว่า เพราะทางขึ้นปราสาทอยู่ในฝั่งไทย

เมื่อ ครู ป.ชื่นประโยชน์ ได้ฟังคำตอบจึงเขียนเป็นเพลง ‘เขาพระวิหารต้องเป็นของไทย’ ให้ ก้าน แก้วสุพรรณ ศิษย์รักขับร้อง ก้าน ซึ่งเป็นหนึ่งในนักร้องขวัญใจของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ยังเล่าด้วยว่า ได้นำเพลง ‘เขาพระวิหารต้องเป็นของไทย’ ไปร้องให้จอมพลสฤษดิ์ฟังที่หอประชุมกองทัพบก ปรากฏว่า จอมพลสฤษดิ์ชอบเพลงนี้มากถึงขนาด ‘หัวเราะพุงกระเพื่อม’ และจอมพลสฤษดิ์ยังได้สอบถามที่มาของเพลง ‘เขาพระวิหารต้องเป็นของไทย’ โดยมี หลวงวิจิตรวาทการ (ตำแหน่ง ปลัดบัญชาการสำนักนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น) นั่งร่วมอยู่ในวงสนทนา

ก้าน แก้วสุพรรณ ยืนยันว่า เขาพระวิหารต้องเป็นของไทยเพราะทางขึ้นอยู่ฝั่งไทย และบอกจอมพลสฤษดิ์ด้วยว่าเขาและคนไทยพร้อมบริจาคเงินช่วยเหลือรัฐบาลสู้คดีเขาพระวิหาร ซึ่งจอมพลสฤษดิ์ก็เห็นดีด้วย ก้าน เชื่อว่าการสนทนานี้ทำให้ต่อมารัฐบาลสนับสนุนกิจกรรมคนไทยร่วมใจบริจาคเงินคนละ 1 บาท เพื่อช่วยรัฐบาลสู้คดีเขาพระวิหาร และตัวก้านเอง ก็บริจาคเงินรายได้จากเพลง ‘เขาพระวิหารต้องเป็นของไทย’ ราวแสนบาทให้แก่รัฐบาลตามที่เขาร้องไว้ในบทเพลง3

มุมมองและทัศนะที่ว่าเขาพระวิหารเป็นของไทย ยังปรากฏลงบนหมึกปากกาของครูเพลงเอกแห่งยุคอย่าง ครูไพบูลย์ บุตรขัน ส่งผ่านลูกคอคำรามของศิษย์รัก คำรณ สัมบุญณานนท์ ในบทเพลง ‘เขาพระวิหารแห่งความหลัง’ โดย ครูไพบูลย์ บุตรขัน ก็ให้เหตุผลในแบบเดียวกับเพลงของ ก้าน แก้วสุพรรณ ดังร้องว่า “หาว่าไทยแย่งยื้อเขาพระวิหารแปลกจัง ทั้งๆ ที่อยู่เขตไทยมีทางบันไดขึ้นเขา”4

แต่เมื่อผลการตัดสินของศาลโลกในเดือนมิถุนายนปี 2505 ตัดสินอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา ก็ยิ่งโหมไฟแห่งความโกรธแค้นเดือดดาลและความชิงชังในหัวใจคนไทย นักร้อง/นักแต่งเพลง ที่ดังที่สุดในยุคนั้นอย่าง ครูสุรพล สมบัติเจริญ จึงแต่งเพลง ‘เขาพระวิหาร’ และขับร้องด้วยความ ‘เจ็บใจร้าวราน’ ว่า

YouTube video

“เขาพระวิหาร โบราณวัตถุของไทย

เคยครองอธิปไตย เพราะเป็นของไทยมาตั้งนมนาน

ถึงใครโกงไป คงครองไว้ได้ไม่นาน

วิญญาณเขาพระวิหาร ของเราโบราณคงอยู่กับไทย

(ลิเก) มันน่าเจ็บใจร้าวราน เขาพระวิหารของเรา

ด้วยเป็นของไทยครั้งเก่า ถูกโจรปล้นเอาไปได้

ลูกเด็กเล็กแดงก็รู้ เป็นเขาคู่เมืองไทยมา

บันไดขึ้นเขาก็หันหน้า ตั้งทางขึ้นมาทางไทย

ถูกเจ้าคนโกงขี้ตู่ ร้องกู่ว่าเป็นของเขา

ใช้เหลี่ยมเล่ห์กลโกงเรา มันเจ็บเข้าในหัวใจ

ถ้าหากว่าเป็นของเจ้า จะต้องขึ้นเขาทางหน้าผา

เจ้าไม่อายชาวประชา ดูหรือไม่น่าเป็นไปได้

ใช้อุปเท่ห์เล่ห์กล เป็นโจรเบอร์หนึ่งของโลก

มีนโยบายสกปรก ฟ้องกล่าวศาลโลกแก้ไข

ชาวไทยเราแสนจะช้ำ ศาลโลกอธรรมไม่เที่ยง

พิจารณาไม่ลำเอียง ไม่ฟังเสียงข้างคนไทย

เรายอมแพ้เพราะถือเป็นพระ หลีกทางชนะให้มัน

ไม่ช้าหรอกคำจะผลาญ ไม่นานหรอกเจ้าจะบรรลัย

เจ้าอย่าโอ้อวดผยอง ลำพองว่าเจ้าชนะ

สักวันหนึ่งเถิดธรรมะ ย่อมต้องชนะอธรรมได้

เราเก็บความช้ำเคยอยู่ ไม่อยากร้องกู่ต่อกลอน

ถึงเลือดภายในเราจะร้อน สู้เอาธรรมผ่อนข่มใจ

อย่าอวดสำแดงแผลงฤทธิ์ แรงน้อยเพียงนิดอย่ายวน

เจ้าเป็นผู้นำเรรวน ชักชวนเขมรแตกไทย

เมืองไทยเป็นเมืองแห่งขุน ควรนึกคุณสังวรณ์

เมื่อคราวที่เจ้าเดือดร้อน เคยมาพักผ่อนหนีภัย

เจ้าลืมบุญคุณคุ้มครอง ลืมเมืองพี่น้องที่ใจดี

กลับคิดจะมาย่ำยี ไหงเป็นเช่นนี้ไปได้

เจ้าสร้างแผลใจให้เรา ยังเฝ้าก่อกวนกล่าวหา

วันนี้เราหลั่งน้ำตา วันหน้าเถิดเจ้าจะร้องไห้

เราไม่ลุกแต่เตรียมรับ ถ้าใครขยับถึงตาย”

ครูสุรพล สมบัติเจริญ ก็ยังเชื่อในเหตุผลที่ว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของไทย เพราะทางขึ้นอยู่ฝั่งไทย เพราะเหน็บแนมกัมพูชาว่า ‘ถ้าหากว่าเป็นของเจ้า จะต้องขึ้นเขาทางหน้าผา’ และแน่นอนว่า ครูสุรพล แต่งเพลงนี้ด้วยอารมณ์โกรธแค้นชิงชังกัมพูชา เพราะถึงขนาดเขียนว่า ‘เป็นโจรเบอร์หนึ่งของโลก’ 

เช่นเดียวกับเพลง ‘เขาพระวิหารที่รัก’ ผลงานการขับร้องของนักร้องเจ้าของฉายา ‘แมน ซิตี้ ไลอ้อน’ ชาย เมืองสิงห์ ที่ร้องคู่กับ ชัย อนุชิต จากผลงานการแต่งของ พล พรภักดี ที่ก็ร้องด้วยความโมโหจากการตัดสินของศาลโลก ว่า

“…เขาพระวิหารเป็นของไทยแท้ เจ้าว่าเป็นของขแมร์เป็นไปไม่ได้

บรรพบุรุษไทยเราสมัยนั้น สละเลือด เนื้อท่านป้องกันไว้

เขาพระวิหารสถานที่เคารพ อยากได้ต้องข้ามศพของเราไป

ทำผยองพองตัวเหมือนดังวัวเปลี่ยว ก้อนดินก้อนเดียว เราก็ไม่ให้…”5

บางอย่างเริ่มต้นด้วยความงดงาม จนใครต่อใครอิจฉา แต่ทว่าสำหรับความสัมพันธ์ไทย – กัมพูชา ในพงศาวดารฉบับเพลงลูกทุ่งไทย ดูเหมือนว่าจะเริ่มต้นจากความชิงชังเพราะกรณีข้อพิพาทเขาพระวิหารในช่วงทศวรรษ 2500 

อย่างไรก็ตาม ต่อมาในช่วงทศวรรษ 2510 สถานการณ์ทางการเมืองกัมพูชามีความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากอำนาจและบทบาทนำทางการเมืองของเจ้านโรดม สีหนุ ที่ใช้กระแส ‘ชาตินิยม’ เป็นแรงขับเคลื่อนทางการเมืองมาโดยตลอดช่วงทศวรรษ 2500 ถูกรัฐประหารล้มอำนาจโดย นายพล ลอน นอล ในปี 2513 การเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจของผู้นำกัมพูชา ส่งผลทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น จนปรากฏเพลงรักลูกทุ่ง ไทย – กัมพูชา ในพงศาวดารฉบับเพลงลูกทุ่งไทย

2. ลูกคอบองสลันโอน : ‘กัมพูชาที่รัก’ เพลงรักลูกทุ่งข้ามพรมแดนไทย – กัมพูชา

ในพงศาวดารฉบับเพลงลูกทุ่งไทย ปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวชี้วัดความสัมพันธ์ไทย – กัมพูชา ก็คือตัวผู้นำทางการเมืองของกัมพูชา ดังจะเห็นว่า อำนาจและบทบาทนำทางการเมืองของเจ้านโรดม สีหนุ ตั้งแต่ในช่วงราวปี 2498  – 2513 ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงที่เจ้านโรดม สีหนุ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงต้นทศวรรษ 2500 ก็ตรงกับช่วงกรณีพิพาทปราสาทเขาพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชา6

รัฐบาลกัมพูชาภายใต้การบทบาทนำของ นายพล ลอน นอล ซึ่งล้มอำนาจของเจ้านโรดม สีหนุ ในปี 2513 ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชา ดังปรากฏว่า ในช่วงกลางทศวรรษ 2510 รัฐบาลกัมพูชาแสดงท่าทีเป็นมิตรกับไทยอย่างเห็นได้ชัด เช่น มีการปล่อยตัวชาวประมงและทหารไทยที่ทางการกัมพูชาจับกุมตัวไว้ มีการผ่อนปรนการข้ามแดนไปมาระหว่างสองประเทศ รวมทั้งมีความพยายามในการฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างจริงจัง

เมื่อความสัมพันธ์ดี ชายแดนเปิดประตูต้อนรับ ความรักก็บังเกิดขึ้น

ในปี 2515 ม่านวงการเพลงลูกทุ่งไทยเปิดตัวต้อนรับ นักร้องลูกทุ่งดาวดวงใหม่นาม ภูษิต ภู่สว่าง จากการสร้างสรรค์ของครูเพลงนักเดินทางบนเรือทราย ครูฉลอง ภู่สว่าง กับผลงานเพลง ‘กัมพูชาที่รัก’

YouTube video

“บองสลันโอนแม่คุณ เหมือนมีบุญที่พี่มาเห็น

งามเหลือเกินหนอเจ้า แม่สาวเมืองเขมร

สาวพนมเปญ ละออละออ

บองสลันโอน บองสลันโอน

เห็นใจคนเมืองไทยเถิดหนอ

ความรักยังฝังแน่น ข้ามแดนมายืนเฝ้ารอ

ละออละออ สาวกัมพูชา

พี่พบงามงอนที่นครธม ใต้ร่มทองกวาว

คืนฟ้าสกาวมีดาวเด่นฟ้า

พี่หลงเสน่ห์ สาวงามแห่งกัมพูชา

จึงย้อนรอนแรมกลับมา ที่รักจ๋าน้องจงอย่างชัง

บองสลันโอน บองสลันโอน

แม้นไม่เจอคนที่พี่หวัง หากไม่เจอขวัญอ่อน

ไม่ย้อนหวนคืนกลับหลัง จะฝังร่างกายไว้ที่เขมร”7

เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเปลี่ยน ‘เสียง’ ในบทเพลงลูกทุ่งไทยก็เปลี่ยนแปลงตาม จาก ‘ลูกคอเขาพระวิหาร’ แห่งความโกรธแค้นชิงชัง ได้เปลี่ยนแปลงเป็น ‘ลูกบองสลันโอน’ บังเกิดความรักระหว่างชายไทยกับสาวกัมพูชาที่เดินทางข้ามแดนมาพบรัก แน่นอนว่า ความรักของชายไทยกับสาวกัมพูชาในเพลง ‘กัมพูชาที่รัก’ ของ ครูฉลอง ภู่สว่าง เกิดขึ้นได้ก็เพราะการปรับเปลี่ยนนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของกัมพูชากับไทย อันส่งผลทำให้หนุ่มชาวไทยสามารถเดินทางข้ามแดนไปพบรักกับและสาวกัมพูชา 

“บองสลันโอน บองสลันโอน” (พี่รักน้อง พี่รักน้อง)

ดังนั้น เมื่อมิตรรักนักเพลงตั้งใจฟังก็คงจะเห็นได้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ‘ความรัก’ มิใช่เป็นเรื่องของคนเพียงสองคน แต่ยังเป็นเรื่อง ‘การเมืองภายในประเทศและการเมืองการระหว่างประเทศ’ ด้วย 

‘กัมพูชาที่รัก’ เป็นผลงานสร้างชื่อให้แก่ ภูษิต ภู่สว่าง เป็นอย่างมาก ซึ่ง ครูฉลอง ภู่สว่าง ก็สานต่อความสำเร็จด้วยการแต่งเพลง ‘รอพี่ที่กัมพูชา’8 ให้นักร้องสาว ยุพิน แพรทอง ร้องแก้ไปมาว่า ‘บองสรันโอน ละออแล้วให้รอ พี่ไปอยู่ไหน…’ จนกลายเป็นปรากฏการณ์เพลงรักลูกทุ่งข้ามพรมแดน ไทย – กัมพูชา ที่มิตรรักนักเพลงหลายท่านคงจะหลงลืม

กระนั้น ความรักเดินทางข้ามพรมแดนไทย – กัมพูชา เพียงไม่นาน ความโกรธแค้นเดือดดาลก็เดินทางมาถึง เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองภายในกัมพูชาเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง จาก ‘ลูกคอบองสรันโอน’ ก็แปรเปลี่ยนเป็น ‘ลูกคอพลีชีพ’ จากความรักกลายเป็นความแค้น 

3. ‘ยอมตายที่ตาพระยา’ : ลูกคอพลีชีพสู้เขมรแดงของ สายัณห์ สัญญา จากกระสุนปากกา ครูชลธี ธารทอง

ตลอดช่วงทศวรรษ 2500 ถึงกลางทศวรรษ 2510 ประเทศไทยปกครองด้วยระบบเผด็จการทหาร (ยุคจอมพลสฤษดิ์ – จอมพลถนอม) อย่างยาวนานนับสิบปี แม้จะมีช่วงยุคสมัยประชาธิปไตยอยู่บ้างภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 แต่เมื่อเกิดการรัฐประหารในช่วงเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลาฯ 2519 ทหารก็กลับเข้ามามีบทบาทและอำนาจนำในทางการเมืองอีกครั้งแม้ว่าจะมีหน้าฉากเป็นรัฐบาลพลเรือนก็ตาม 

แตกต่างออกไปจากการเมืองภายในกัมพูชาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปมาบ่อยครั้ง เพราะเมื่อขึ้นสู่ทศวรรษ 2520 ‘เขมรแดง’ หรือ กองทัพแห่งชาติกัมพูชาประชาธิปไตย ซึ่งเป็นกองกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์กัมพูชา โดยการนำของ พล พต (ซาลอธ ซาร์) ก็เรืองอำนาจหลังกองทัพเขมรแดงสามารถเข้ายึดกรุงพนมเปญในช่วงราวปี  2518 

ในยุค ‘เขมรแดง’ ความสัมพันธ์ไทย – กัมพูชา เป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนัก เนื่องจากเกิดเหตุการณ์โจมตีโดยกองกำลังเขมรแดงบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา หลายครั้ง และนำมาซึ่งการสูญเสียทรัพย์สินและชีวิตของคนไทยในหมู่บ้านต่างๆ บริเวณแนวชายแดนไทยด้านจังหวัดปราจีนบุรี (ปัจจุบันคือ จังหวัดสระแก้ว) 

เหตุการณ์ที่สร้างความโกรธแค้นให้แก่คนไทยมากที่สุด คือเหตุกาณ์ในคืนวันที่ 2 สิงหาคมปี 2520 เมื่อกองกำลังเขมรแดงบุกโจมตีชายแดนไทยครั้งใหญ่ในพื้นที่สามหมู่บ้าน ได้แก่ บ้านสะแหง (แสง์) บ้านสันลอชงัน (ปัจจุบันคือ หมู่บ้านทัพไทย) และบ้านกระสัง อำเภอตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี (ปัจจุบันคือเขตพื้นที่จังหวัดสระแก้ว) การบุกโจมตีครั้งใหญ่นี้ทำให้มีราษฎรคนไทยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของหมู่บ้านเสียชีวิตจำนวนมากถึง 42 คน9

เช้ารุ่งขึ้นของวันที่ 2 สิงหาคม ปี 2520 นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ในขณะนั้น) ได้ออกเดินทางโดยเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เป็นการด่วนไปยังหมู่บ้านและฐานปฏิบัติการที่ถูกกองกำลังเขมรแดงโจมตี นายสมัคร สุนทรเวช ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวพร้อมกล่าวชื่นชมชาวบ้านที่ร่วมมือกับทหาร ตชด. ยิงตอบโต้ทหารเขมรแดงอย่างห้าวหาญ ผู้สื่อข่าวถาม นายสมัคร ว่า ชาวบ้านของเราเสียขวัญหรือไม่ นายสมัครตอบว่า ไม่ “ผู้ชายทุกคนขอยืนกรานขอสู้” เช่นเดียวกับชาวบ้านหมู่บ้านทัพเสด็จ ซึ่งเป็นหมู่บ้านในเขตอำเภอตาพระยา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีกำนัน พร้อมชาวบ้าน ออกมาร่วมกันชุมนุม ประกาศกร้าวว่า ‘พวกเขาจะไม่ยอมถอยทุกคน พร้อมที่จะสู้เคียงข้างทหารจนเลือดหยดสุดท้าย’10

หากมิตรรักนักเพลงหลับตาแล้วย้อนเวลากลับไป คงพอจะจำกันได้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลไทยอยู่ในบริบทสถานการณ์สงครามเย็นและสงครามแย่งชิงมวลชนกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จนทำให้วงการเพลงลูกทุ่งไทยได้เกิดปรากฏการณ์ ‘เพลงลูกทุ่งทหาร’ บนหน้าปัดวิทยุ ยิงกระหน่ำครอบครองใจมิตรรักแฟนเพลงทั่วไทย อาทิเพลง ทหารบกพ่ายรัก จดหมายจากแนวหน้า ทหารใหม่ไปกอง ทหารอากาศขาดรัก ทหารพิการรัก หนุ่ม น.ป.ข. ทหารเรือมาแล้ว ฯลฯ11 ไม่เพียงเท่านั้น ในส่วนของพลเรือนก็เกิดปรากฏการณ์ ‘ลูกทุ่งรักชาติ’ อาทิเพลง ล้นเกล้าเผ่าไทย ลูกเสือชาวบ้าน สัจจะลูกเสือ12

ครูเพลงลูกทุ่งไทยที่มีความโดดเด่นอย่างมากในช่วงเวลาดังกล่าวคือ ‘ครูชลธี ธารทอง’ ผู้สรรค์สร้างผลงานเพลงและนักร้องเพลงลูกทุ่งชื่อดังมากมาย อาทิ สายัณห์ สัญญา, ยอดรัก สลักใจ, เสรี รุ่งสว่าง, สุนารี ราชสีมา ฯลฯ ไม่เพียงเท่านั้น ครูชลธี ธารทอง ยังถือเป็นนักประพันธ์เพลงลูกทุ่งไทยระดับ ‘จอมพลแห่งเพลงลูกทุ่งทหาร’ และ ‘ผู้นำพลเรือนแห่งเพลงลูกทุ่งรักชาติ’ จากผลงานการประพันธ์เพลงลูกทุ่งแนวเลือดไทยรักชาติจำนวนมาก อาทิเพลง จดหมายจากแนวหน้า ทหารอากาศขาดรัก ห่มธงนอนตาย ไม่ตายจะกลับมาแต่ง ทหารกองหนุน หนาวใจที่ชายแดน นักรบหลังเขา สุดทางที่ด่านซ้าย ฯลฯ 

แน่นอน เหตุการณ์ที่อำเภอตาพระยาในปี 2520 ย่อมทำให้นักแต่งเพลงลูกทุ่งไทยเลือดรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่าง ‘ครูชลธี ธารทอง’ ผู้มีความเชื่อว่า ‘เพลงมีอำนาจมากกว่าปืน’13 ลุกโชนเดือดพล่าน และกลั่นอารมณ์ความโกรธแค้นเดือดดาลออกมาโดยใช้ปากกาเป็นกระบอกปืน ยิงออกมาเป็นกระสุนคำร้องด้วยผลงานเพลง ‘ยอมตายที่ตาพระยา’14

YouTube video

“เลือดและน้ำตาบ่าท่วมชายแดน

มันสร้างรอยแค้นแค้นเป็นหนักหนา

คนไทยโดนเชือดเลือดนองที่ตาพระยา

เด็กเล็กคนชราเขมรมันฆ่า

เหมือนปลาเหมือนปู

อยากร้องตะโกนให้ก้องโลกา

แผ่นดินแผ่นฟ้าโปรดจงมารับรู้

ขวานท้องทั้งสิ้นนี่มันแผ่นดินของกู

จะให้ขุดเหวขุดรูหนีมันไปอยู่ที่ใด

พ่อกูชื่อนเรศวรมหาราช

เคยเอาเลือดล้างพระบาท

ประวัติศาสตร์ยังจารึกไว้

ไอ้หลานพระยาละแวกที่มันแหกรั้วเข้าใน

เข่นฆ่าคนไทยเหมือนหยามน้ำใจพ่อกู

เลือดและน้ำตาบ่าท่วมดวงใจ

สู้ไหวไม่ไหวสู้ไปเดี๋ยวมันก็รู้

ไม่ยอมหนีหน้าถิ่นตาพระยาบ้านกู

พี่น้องไทยจงคอยดูเราขอสู้ให้โลกบูชา”

เพลง ‘ยอมตายที่ตาพระยา’ ขับร้องโดยนักร้องศิษย์เอกของ ครูชลธี ธารทอง ในขณะนั้นอย่าง นักเพลงคนจน ขวัญใจคนเดิม ‘สายัณห์ สัญญา’ ที่กำลังโด่งดังได้รับความนิยมจากแฟนเพลงเป็นอย่างมาก สายัณห์ สัญญา ขับร้องเพลง ‘ยอมตายที่ตาพระยา’ ออกมาด้วยลูกคอเศร้าก่อนจะจบเพลงด้วย ‘ลูกคอพลีชีพ’ ในท่อนสุดท้ายของเพลงที่ว่า ‘สู้ไหวไม่ไหวสู้ไปเดี๋ยวมันก็รู้ ไม่ยอมหนีหน้า ถิ่นตาพระยาบ้านกู พี่น้องไทยจงคอยดูเราขอสู้ให้โลกบูชา’ ซึ่งเบื้องหลังที่มาของเพลง ‘ยอมตายที่ตาพระยา’ ครูชลธี ธารทอง ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ ดังนี้

“ประมาณปี 2519-2520 เหตุเกิดที่ อ.ตาพระยา (จังหวัดปราจีนบุรี) เขมรเข้ามาฆ่าคนไทย ผมจึงแต่งเพลงนี้ขึ้นมา แต่เพลงนี้ กบว.เขาห้ามเปิดออกอากาศ เพราะเกรงว่าจะกระทบกระเทือนสัมพันธไมตรี ผมแต่งเพลงนี้ขึ้นมาเพราะผมรักคนไทย หวงแหนประเทศไทย

เพลงนี้เขากล่าวหาว่าใช้คำรุนแรง (กู-มัน) ที่ผมต้องใช้สรรพนามอย่างนั้น เพราะจะให้ใช้คำสุภาพกับข้าศึกหรือ ผมใช้คำสมัยพ่อขุนรามคำแหง ผมว่ามันยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำไป อยากแสดงให้คนเขมรรู้ว่า มันทำเกินไป ย้อนไปถึงเรื่องในประวัติศาสตร์ก็ยังกำแหง ตั้งแต่สมัยเรื่องพระยาละแวก จะไปกลัวเขาหาอะไร เพราะคนไทยเราเป็นเลือดนักสู้ ผมโกรธและน้อยใจมากที่เพลงถูกห้ามเปิดในสมัยนั้น ทางการไม่ให้ความสำคัญ ผมเขียนแทนใจคนไทยทุกคน 

…ระดับผมเขียนเพลงไม่ให้ใครว่าได้ เพราะเพลงลูกทุ่งคือบันทึกประวัติศาสตร์”15

ในมุมมองและความเชื่อประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลัก พระยาละแวกเป็นกษัตริย์ของเขมรที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น ‘นักตีท้ายครัว’ เนื่องจากในช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 พระยาละแวกได้ยกทัพมาตีหัวเมืองอยุธยาและกวาดต้อนผู้คนในแถบเมืองปราจีนบุรี เมืองนครนายก และเมืองจันทบุรีอยู่บ่อยครั้ง จนทำให้ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงนำกองทัพไปตีเมืองละแวกและจับพระยาละแวกประหารชีวิต โดยมีการทำพิธีกรรมนำโลหิตของพระยาละแวกมาล้างพระบาทของสมเด็จพระนเรศวร แม้ว่าในปัจจุบัน จะมีนักวิชาการประวัติศาสตร์บางท่านได้โต้แย้งว่า พระยาละแวกไม่ได้ถูกประหารชีวิตและไม่มีพิธีกรรมนำโลหิตมาล้างพระบาทเกิดขึ้นเนื่องจากพระยาละแวกหนีไปได้ แต่ทว่า เรื่องเล่าประวัติศาสตร์พระยาละแวกถูกจับประหาร ‘ล้างพระบาท’ ก็ยังคงเป็น ความรู้/ความเชื่อกระแสหลักในหมู่คนไทยจนถึงปัจจุบัน

แม้ ครูชลธี ธารทอง จะมิใช่นักประวัติศาสตร์โดยตรง แต่หากเชื่อว่าเพลงลูกทุ่งคือการเมืองวัฒนธรรม (cultural politics) รูปแบบหนึ่ง บทบาทและความคิดของ ครูชลธี ธารทอง ก็คงมีอิทธิพลในสังคมไทยไม่แพ้นักวิชาการประวัติศาสตร์ท่านใดๆ (และอาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ) เพราะเพลงลูกทุ่งในสังคมไทยมีลักษณะแบบวัฒนธรรมมวลชน (mass culture) ซึมลึกสู่ประชาชนเป็นวงกว้าง มิใช่ข้อถกเถียงที่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมหรือในหนังสือวิชาการที่มีผู้อ่านไม่มากคนนัก

เพลง ‘ยอมตายที่ตาพระยา’ จึงแสดงให้เห็นถึงความอัจฉริยะและอิทธิพลในงานประพันธ์ของ ครูชลธี ธารทอง ที่นำเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาผูกโยงและ ‘สวม’ เข้ากับเหตุการณ์ยุคปัจจุบัน แต่งออกมาเป็นบทเพลงเพื่อสื่ออารมณ์ ความรู้สึก และเผยแพร่อุดมการณ์รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไปพร้อมๆ กันได้อย่างไพเราะ สุนทรีและแนบเนียน เพลง ‘ยอมตายที่ตาพระยา’ จึงไม่เพียงแต่เป็นบันทึกพงศาวดารฉบับเพลงลูกทุ่งไทย หากฟังและวิเคราะห์ให้ดีแล้ว ยังเป็นองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ถูกนำเสนอโดยกระสุนปากกา ครูชลธี ธารทอง ในฐานะนักประวัติศาสตร์วัฒนธรรมมวลชน ผ่าน ‘ลูกคอพลีชีพ’ ของ สายัณห์ สัญญา 

ไม่เพียงเพลง ‘ยอมตายที่ตาพระยา’ เข้าใจว่าครูเพลงชาวบ้าน นักเดินทางบนเรือทราย เจ้าของฉายา ‘ราชาเพลงต่อว่าต่อขานผู้หญิง’ อย่าง ครูฉลอง ภู่สว่าง ผู้แต่งเพลงรักลูกทุ่งข้ามพรมแดน ไทย – กัมพูชา อย่าง ‘กัมพูชาที่รัก’ เมื่อปี 2515 เมื่อทราบข่าวก็กลั่นอารมณ์ความรู้สึกจาก ‘หัวใจแหลกลาญ’ ในเหตุการณ์ตาพระยา เขียนออกมาเป็นผลงานเพลง ‘ตาพระยาร้องไห้’ ให้นักร้องศิษย์รักผู้ ‘เจอครูที่อู่ซ่อมรถ’ อย่าง ศรชัย เมฆวิเชียร ขับร้อง

YouTube video

“ดึกดื่นคืนนั้นบ้านสันรอชะงัน ก็มีเหตุการณ์รุนแรง

เห็นไฟลุกไหม้หลายแหล่ง 

เสียงลูกเล็กเด็กแดง ร้องระงมผสมเสียงปืน

อ้ายหนุ่ม อ.ส. สิ้นหนทางการต่อ เขามีแต่ก็ดุ้นปืน

เห็นแฟนล้มตายตันตื้น แสนเจ็บช้ำกล้ำกลืน

โธ่ใจดำพวกกัมพูชา

ตั้งแต่วันนั้นหนุ่มสันรอชะงัน หัวใจแหลกลาญเย็นชา

เหมือนคนที่จวนจะบ้า แค้นสุดแค้นหนักหนา

เขาเข้ามาเข่นฆ่าทำไม

กอดเนินที่ฝังศพของเจ้าร้อยชั่ง น้ำตาก็หลั่งรินไหล

ขวัญเอยขวัญเคยเคียงใกล้ น้องมาลับดับไป เหมือนหัวใจจะขาดรอนรอน”

ผลงานจากสองเพลงดังของ ครูฉลอง ภู่สว่าง อย่าง ‘กัมพูชาที่รัก’ (ปี 2515) และ ‘ตาพระยาร้องไห้’ (ปี 2520) สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยน จากลูกคอ  ‘บองสลันโอน บองสลันโอน’ ความรักข้ามแดน ก็กลับกลายเป็น ‘หัวใจแหลกลาญเย็นชา เหมือนคนที่จวนจะบ้าแค้นสุดแค้น’

จาก ความรัก กลายเป็น ความแค้น ในบัดดล

4. ‘ชาติ’ นี้ที่รักเราคงรักกันไม่ได้?

ในประวัติศาสตร์สัมพันธ์ไทย – กัมพูชา ฉบับเพลงลูกทุ่งไทย เมื่อมิตรรักนักเพลงได้ตั้งใจฟังให้ดีแล้ว ก็จะพบว่า ความสัมพันธ์ทางการเมืองของสองประเทศนี้ มิได้เป็นเรื่องเฉพาะผู้นำทางการเมืองหรือความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศเพียงมิติเดียว แม้ในเชิงข้อเท็จจริง ปัจจัยชี้ขาดความสัมพันธ์จะขึ้นอยู่กับบริบทผู้นำทางการเมืองเป็นอย่างมาก แต่ผลจากการตัดสินใจและดำเนินนโยบายของผู้นำทางการเมืองกลับส่งผลต่อ ‘อารมณ์ความรู้สึก’ ของผู้คนหรือประชาชนทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศโดยตรง

ในด้านหนึ่ง การเมืองจึงเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก (politics of emotions) และหากชื่อว่า เพลงลูกทุ่งไทยเป็นการเมืองวัฒนธรรม ความรัก ความชัง และความแค้นที่ปรากฏในบทเพลง ก็สะท้อนภาพของการเป็น ‘การเมืองวัฒนธรรมของอารมณ์ความรู้สึก’ (cultural politics of emotion)

ความเป็นการเมืองจึงมิใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องที่แทรกซึมเข้าไปอยู่ในอณูชีวิต สามารถกำหนดอารมณ์ความรู้สึกและชะตาชีวิตของคนทั่วไป เพราะ ‘ความรัก’ ของหนุ่มไทยกับสาวกัมพูชาจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะบริบททางการเมือง เช่นเดียวกับ  ‘ความชัง’ และ ‘ความแค้น’ ที่แม้คนไทยกับคนกัมพูชาจะไม่รู้จักกันโดยตรง แต่ก็โกรธแค้นชิงชังกันได้เพราะความเป็นการเมือง และในบางครั้งก็ยกระดับกลายเป็นความรุนแรงให้คนทั้งสอง ‘ชาติ’ นี้ สังหารกันได้

ดังนั้น หากถามว่า ‘ชาติ’ นี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้?

ตามบันทึกพงศาวดารฉบับเพลงลูกทุ่งไทย คำตอบคือ ได้ และเคยรักกันมาแล้วด้วย

ทว่า สำหรับสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน ผู้เขียนกลัวใจว่า ไม่นานเกินรอหลังจากนี้ จะปรากฏบทเพลงแนวต่างๆ ทั้งลูกทุ่งและสตริง ที่บันทึกสัมพันธ์ไทย – กัมพูชา ด้วย ‘เสียง’ แห่งความชิงชังและโกรธแค้น หรือไม่ก็จะปรากฏภาพยนตร์ไทยที่มีกัมพูชา ‘เป็นร่างประทับ’ ของความโกรธแค้น ซึ่งอาจจะมาในรูปแบบของ ผี ศัตรูผู้รุกราน หรือความเป็นอื่นในรูปแบบต่างๆ แล้วจบลงด้วยการใช้ความรุนแรงเข้าจัดการ

ท่ามกลางกระแสชาตินิยมที่กำลังลุกโชน และดูเหมือนว่าไฟแค้นคงจะยังไม่ดับลงง่ายๆ เพื่อไม่ให้ความชิงชังและความโกรธแค้นกัดกินทำลายหัวใจของคนทั้งสอง ‘ชาติ’ ไปมากกว่านี้ ผู้เขียนจึงหวังใจว่า ‘ความรัก’ จะเดินทางมาถึงในเร็ววัน 

และ ‘ชาติ’ นี้ที่รัก เราคงจะรักกันได้อีกครั้ง.


  1. ฟังเพลงนี้ได้ใน ‘เขาพระวิหารเป็นของไทย – ก้าน แก้วสุพรรณ’, เข้าถึงข้อมูลใน https://www.youtube.com/watch?v=g7TftRvBItI ↩︎

  2. ดูเหตุการณ์นี้ได้ใน อิทธิเดช พระเพ็ชร, คนเล็กของเล่นใหญ่ : เมื่อเด็กไทยบริจาค ‘ของเล่น’ ไปสู้ ‘คดีปราสาทเขาพระวิหาร’ กับกัมพูชา, https://www.the101.world/the-cambodianthai-border-dispute/ ↩︎

  3. ดู ‘ก้าน แก้วสุพรรณ (ประวัติ) รายการตามรอยเพลง EP 13’, เข้าถึงข้อมูลใน https://www.youtube.com/watch?v=nBYcaZZVRs4 ↩︎

  4. ฟังเพลงนี้ได้ใน ‘เขาพระวิหารแห่งความหลัง … คำรณ สัมบุณณานนท์ ขับร้อง / วงดนตรี ไพบูลย์ บุตรขัน’, เข้าถึงข้อมูลใน https://www.youtube.com/watch?v=BZ18wpc7wTI ↩︎

  5. ฟังเพลงนี้ได้ใน ‘เขาพระวิหารที่รัก … ชัย อนุชิต – ชาย เมืองสิงห์ ขับร้อง’, เข้าถึงข้อมูลใน https://www.youtube.com/watch?v=Nwr_OyZTst4 ↩︎

  6. ยิ่งยศ บุญจันทร์, ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับไทย ระหว่าง ค.ศ. 1955-1970: ศึกษาผ่านทรรศนะสมเด็จพระอุปยุวราชนโรดมสีหนุ, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์  ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2566, 7. ↩︎

  7. ฟังเพลงนี้ได้ใน ‘กัมพูชาที่รัก : ภูษิต ภู่สว่าง’, เข้าถึงข้อมูลในhttps://www.youtube.com/watch?v=qBVdQlEVZ28 ↩︎

  8. ฟังเพลงนี้ได้ใน รอพี่ที่กัมพูชา ยุพิน แพรทอง, เข้าถึงข้อมูลใน https://www.youtube.com/watch?v=phgfdzb72zE&list=RDphgfdzb72zE&start_radio=1 ↩︎

  9. หนังสือพิมพ์เจ้าพระยา 3 สิงหาคม 2520 ↩︎

  10. หนังสือพิมพ์เจ้าพระยา 3 สิงหาคม 2520 ↩︎

  11. ดู อิทธิเดช พระเพ็ชร, ทหารบกพ่ายรัก ทหารเรือเบื่อรัก ทหารอากาศขาดรัก : อาการ ‘ทหารพิการรัก’ ในสงครามสาดกระสุน ‘เพลงลูกทุ่งทหารยุคสงครามเย็น’, เข้าถึงข้อมูลใน https://www.the101.world/soldiers-relationship-in-thai-country-music/ ↩︎

  12. ดู อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ, ฟังเสียงประวัติศาสตร์ผ่านลูกคอนักร้องลูกทุ่ง 14 ตุลาคม 2516 – 6 ตุลาคม 2519, เข้าถึงข้อมูลใน https://waymagazine.org/14-oct-2516-6-oct-2519-in-luk-thung-music/ ↩︎

  13. ขจร ฝ้ายเทศ, การสื่อสารทางการเมืองในเพลงไทยลูกทุ่ง พ.ศ. 2507-2547, วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณทิต (สื่อสารมวลชน) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2549, 435. ↩︎

  14. ฟังเพลงนี้ได้ใน ‘ยอมตายที่ตาพระยา – สายัณห์ สัญญา [Official Audio]’, เข้าถึงข้อมูลใน https://www.youtube.com/watch?v=hWhEgeljhkY ↩︎

  15. อ้างใน ‘ชลธี’ เผยแค้นเขมร เตรียมแต่งเพลงปลุกรักชาติ, เข้าถึงข้อมูลใน https://www.komchadluek.net/entertainment/37599. (เน้นข้อความโดยผู้เขียน) ↩︎

MOST READ

World

1 Oct 2018

แหวกม่านวัฒนธรรม ส่องสถานภาพสตรีในสังคมอินเดีย

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก สำรวจที่มาที่ไปของ ‘สังคมชายเป็นใหญ่’ ในอินเดีย ที่ได้รับอิทธิพลสำคัญมาจากมหากาพย์อันเลื่องชื่อ พร้อมฉายภาพปัจจุบันที่ภาวะดังกล่าวเริ่มสั่นคลอน โดยมีหมุดหมายสำคัญจากการที่ อินทิรา คานธี ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก

1 Oct 2018

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save