ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชากลายเป็นหัวข้อร้อนที่สังคมไทยจับตาอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี, การที่รัฐบาลกัมพูชายื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศให้วินิจฉัยข้อพิพาทใหม่ในวันครบรอบ 63 ปีแห่งชัยชนะคดีปราสาทพระวิหาร หรือกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธารกับฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา ที่สร้างความสั่นสะเทือนต่อสังคมการเมืองไทยซึ่งนำไปสู่การยกระดับมาตรการตอบโต้ของรัฐบาลไทย
จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศจะทวีความร้อนแรงขึ้น พร้อมกับการที่รัฐบาลพลเรือนมอบอำนาจในการตัดสินใจบางส่วนให้กองทัพ และการหวนกลับมาของกระแสชาตินิยมในสังคมไทยอย่างชัดเจน ต้องยอมรับว่าความขัดแย้งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กลับเป็นปมประวัติศาสตร์ที่ฝังรากลึกในจิตสำนึกของสังคมไทย และในบางแง่มุมก็ถูกหล่อหลอมเป็น ‘มายาคติ’ ที่ส่งอิทธิพลต่อทัศนคติของผู้คนมาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายประเด็นที่สังคมไทยมักเข้าใจผิด หากเราต้องการทำความเข้าใจพื้นที่ชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาอย่างถ่องแท้ อาจต้องเริ่มต้นจากการรื้อถอนมายาคติ – ทั้งในมิติของพื้นที่ เส้นเขตแดน และกฎหมายระหว่างประเทศ ผ่านมุมมองของสามนักวิชาการ ประกอบด้วย ผศ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ อาจารย์ประจำโครงการไทยศึกษา วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ดร.ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เพื่อร่วมกันตอบคำถามว่า ในปี 2568 เราจะทำความเข้าใจประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชาได้อย่างไรบ้าง และเราจะจัดการกับ ‘มายาคติ’ ที่ฝังลึกในสังคมไทยอย่างไรได้บ้าง
หมายเหตุ: บทความนี้สรุปเนื้อหาจากงานเสวนา ไทยนี้รักสงบ? ‘พรมแดน ความรู้ ไทย-กัมพูชา’ จัดโดยศูนย์วิจัยดิเรก ชัยนาม (Direk Jayanam Research Center) คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568
เขตแดน พรมแดน และพื้นที่ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา
ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศ มักมีสองคำที่ถูกกล่าวถึงและมักถูกใช้ผิดอยู่บ่อยครั้ง คือ ‘เขตแดน’ (boundaries) และ ‘พรมแดน’ (frontiers) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลายคนอาจยังไม่เข้าใจความแตกต่างของทั้งสองคำนี้อย่างชัดเจน
อัครพงษ์ ค่ำคูณ เริ่มต้นการสนทนาด้วยการอธิบายความหมายและความแตกต่างระหว่างคำว่า ‘เขตแดน’ และ ‘พรมแดน’ โดยอ้างอิงคำอธิบายของจอห์น โรเบิร์ต วิกเตอร์ เพรสคอตต์ (John Robert Victor Prescott) จากหนังสือ The Geography of Frontiers and Boundaries (1965) ซึ่งอธิบายไว้ว่า “เขตแดน (Boundaries) หมายถึงเส้น ในขณะที่พรมแดน (Frontiers) หมายถึงพื้นที่” (Boundaries refers to a line, while frontiers refers to a zone.)
หากอ้างอิงข้อมูลจากกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย พบว่าประเทศไทยและประเทศกัมพูชามีพื้นที่พรมแดนประมาณ 798 กิโลเมตร โดยมี 7 จังหวัดที่มีพรมแดนติดกับกัมพูชา ได้แก่ ตราด, จันทบุรี, สระแก้ว, บุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี โดยมี ‘เทือกเขาพนมดงรัก’ เป็นแนวพรมแดนธรรมชาติที่แบ่งเขตระหว่างสองประเทศ
ทั้งนี้ หนึ่งในความเข้าใจคลาดเคลื่อนของสังคมไทยคือเทือกเขาพนมดงรักฝั่งกัมพูชาเป็นหน้าผาสูงชันตลอดแนว ซึ่งการให้เหตุผลดังกล่าวเพื่อสร้างความชอบธรรมในการแสดงความเป็นเจ้าของ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นหน้าผาชันนั้นพบเพียงบางพื้นที่เท่านั้น
นอกจากนี้ สำหรับกระบวนการแบ่งเส้นเขตแดนระหว่างประเทศโดยทั่วไปประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ การกำหนดเขตแดน (definition), การปักปันเขตแดน (delimitation) และการปักหลักเขตแดน (demarcation)
สำหรับการกำหนดเขตแดน (definition) นั้น ประเทศไทยและประเทศกัมพูชาต่างยึด ‘สันปันน้ำ’ (watershed) เป็นเกณฑ์ที่กำหนดเขตแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชา โดยกำหนดให้เขตแดนเป็นไปตามสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรักตามอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904
หากอ้างอิงความหมายของสันปันน้ำจาก อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย เล่ม 1 ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปี 2545 อธิบายไว้ว่า “สันปันน้ำในการกำหนดเขตแดนนั้น หมายถึง ที่สูงหรือส่วนใหญ่คือสันเขาที่ต่อเนื่องกัน และจะปันน้ำหรือน้ำฝนที่ตกลงมาให้แบ่งเป็น 2 ฟาก โดยไม่มีการไหลย้อนกลับ ในกรณีที่มีสันเขาแยกออกเป็นหลายสันจะยึดถือสันเขาที่มีความต่อเนื่องมากที่สุด นั่นคือสันเขาที่สูงที่สุดไม่จำเป็นต้องเป็นสันปันน้ำเสมอไป แต่สันเขาที่สูงและมีความต่อเนื่องมากที่สุดมักจะได้รับการพิจารณาให้เป็นสันปันน้ำ” ซึ่งจากความหมายดังกล่าวทำให้เข้าใจได้ว่าสันปันน้ำที่ใช้สำหรับการกำหนดเขตแดนนั้นต้องยึดสันเขาที่สูงและมีความต่อเนื่องมากที่สุดเป็นหลัก และไม่ใช่ทุกสันปันน้ำที่สามารถใช้เป็นเกณฑ์ที่กำหนดเขตแดนได้
ต่อมาเมื่อมีการกำหนดเขตแดนเสร็จสิ้นค่อยมีการปักปันเขตแดน (delimitation) กล่าวคือสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ยังระบุให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสเพื่อปักปันเขตแดน เพื่อมีการสำรวจภูมิประเทศจริงและจัดทำแผนที่สองชุดคือ แผนที่ชุด Bernard (ตามอนุสัญญาฯ ค.ศ. 1904) ซึ่งมี 11 ระวาง โดยปัจจุบันเหลือใช้เพียง 8 ระวาง[1] และแผนที่ชุด Montguers (ตามสนธิสัญญา ค.ศ. 1907) ซึ่งมีทั้งสิ้น 5 ระวาง จึงทำให้เกิดเป็นแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 จำนวน 13 แห่ง
เมื่อมีการกำหนดเขตแดนและการปักปันเขตแดนเรียบร้อยแล้ว จึงมีการปักหลักเขตแดน (demarcation) ผ่านบันทึกวาจาปักหลักหมายเขต (procès-verbal d’abornement) โดยมีการปักหลักเขตแดนไว้จำนวน 73 หลักใหญ่และ 2 หลักย่อย
อัครพงษ์กล่าวย้ำอีกครั้งว่า ตนต้องการนำเสนอเพียงว่าบทสนทนาว่าด้วยข้อพิพาทไทย–กัมพูชา ที่เกิดขึ้นตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมักวนเวียนอยู่กับประเด็นเรื่อง ‘แผนที่’ นั้น ในความเป็นจริงแล้ว ‘แผนที่’ อาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุดเท่ากับการลงพื้นที่จริงเพื่อค้นหาหลักเขตและปักหลักเขตจริง
เนื่องจากต้องยอมรับว่าแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ที่ถูกอ้างอิงอยู่บ่อยครั้งนั้นเป็นเพียงแผนที่ที่ใช้เพื่อแสดง ‘เส้นสัญลักษณ์’ เพื่อระบุว่าพื้นที่ใดอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐใดเพียงเท่านั้น มิได้มีรายละเอียดหรือความแม่นยำเพียงพอสำหรับการยืนยัน ‘หลักเขตแดน’ อย่างชัดเจนแบบที่หลายคนเข้าใจ
ดังนั้น หากต้องการแก้ไขข้อพิพาทให้เป็นไปอย่างยั่งยืนนั้น การลงพื้นที่จริงและดำเนินการปักหลักเขตอย่างเป็นทางการตามกระบวนการระหว่างประเทศจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการโต้แย้งกันด้วยแผนที่เพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ อัครพงษ์เชื่อว่าพื้นที่ชายแดนไม่จำเป็นต้องเต็มไปด้วยความตึงเครียดหรือความขัดแย้งเหมือนในกรณีชายแดนไทย–กัมพูชาเสมอไป โดยเขายกตัวอย่าง ‘ยอดเขาวาลเซอร์เบิร์ก’ (Vaalserberg) ซึ่งเป็นจุดบรรจบของสามประเทศประกอบด้วยประเทศเยอรมนี ประเทศเบลเยียม และประเทศเนเธอร์แลนด์ที่สามารถจัดการพื้นที่พรมแดนร่วมกันอย่างสันติ
บริเวณดังกล่าวมีหลักเขตที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินข้ามไปมาระหว่างสามประเทศได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่รู้จักกันในชื่อ ‘Drielandenpunt’ ซึ่งมีทั้งร้านอาหารและกิจกรรมสันทนาการโดยไม่จำเป็นต้องมีทหารเฝ้าแนวชายแดนอย่างเข้มงวด
ท้ายที่สุดนี้เขาจึงย้ำว่าสังคมไทยไม่ควรปล่อยให้แนวคิดแบบไม่สร้างสรรค์เป็นตัวนำทาง แต่ผู้นำและผู้มีอำนาจจำเป็นต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกหลาน และไม่สร้างบรรยากาศของความเกลียดชังซึ่งกันและกันในสังคม
ดินแดนและเขตแดนผ่านมุมมองของกฎหมายระหว่างประเทศ
ภัทรพงษ์ แสงไกร ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศเริ่มต้นอธิบายว่า ทำไมเรื่องดินแดนและเขตแดนจึงเป็นประเด็นที่สำคัญในองค์ความรู้ของกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากกฎหมายระหว่างประเทศถูกพัฒนาพร้อมกับรัฐสมัยใหม่ เห็นได้จากนิยามของ ‘รัฐ’ ในอนุสัญญากรุงมอนเตวิเดโอว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของรัฐ (The Montevideo Convention on Rights and Duties of the states) ซึ่งเป็นอนุสัญญาตั้งแต่ปี 1933 ที่วางหลักเกณฑ์พื้นฐานว่ารัฐ (state) คืออะไรในทางกฎหมายระหว่างประเทศ โดยอธิบายว่า
“รัฐในฐานะบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ ควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(ก) มีประชากรถาวร (a permanent population)
(ข) มีดินแดนที่ชัดเจนแน่นอน (a defined territory)
(ค) มีรัฐบาล (government)
(ง) มีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับรัฐอื่นๆ (capacity to enter into relations with the other states)”
จากคำอธิบายดังกล่าวทำให้เห็นว่าหนึ่งในองค์ประกอบของรัฐที่ต้องมีคือ ‘ดินแดนที่ชัดเจนแน่นอน’ (a defined territory) กล่าวคือไม่ได้มีแค่ดินแดนหรืออาณาเขต แต่ต้องมีการระบุให้ชัดเจน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประเด็นเกี่ยวกับดินแดนและเขตแดนจึงเป็นเรื่องสำคัญในปัจจุบัน กล่าวคือแม้ว่าก่อนรัฐสมัยใหม่ แต่ละประเทศอาจมีดินแดนแต่ไม่มีการกำหนดให้ชัดเจนเท่ากับที่กฎหมายระหว่างประเทศเรียกร้อง
นอกจากนี้ยังมีคำชี้ขาดของคดีเกาะปาล์มัส (Island of Palmas Case) กล่าวคือเป็นข้อพิพาทระหว่างเนเธอร์แลนด์กับสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์เหนือเกาะปาล์มัส ซึ่งคดีดังกล่าวได้กลายเป็นบรรทัดฐานสำคัญในการพิจารณาข้อพิพาทเรื่องดินแดน
อนุญาโตตุลาการของคดีเกาะปาล์มัสได้วางหลักไว้ข้อหนึ่งไว้ว่า “this principle of the exclusive competence of the State in regard to its own territory” หรือหลักการที่รัฐมีอำนาจอย่างเอกสิทธิ์ในการจัดการและควบคุมกิจการทั้งหมดภายในดินแดนของตน โดยหลักการดังกล่าวได้ชี้ว่าในดินแดนหนึ่งต้องมีอำนาจรัฐเพียงรัฐเดียวที่ปกครอง ซึ่งภายหลังจากคำชี้ขาดของคดีดังกล่าวทำให้ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับดินแดนและเขตแดนมีความสำคัญขึ้นมา เพราะดินแดนเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าอำนาจรัฐและอำนาจอธิปไตยไปถึงพื้นที่ไหนบ้าง
เมื่อเราเจาะลึกลงไปเกี่ยวกับประเด็นดินแดนและเขตแดนในมุมมองกฎหมายระหว่างประเทศสามารถแบ่งออกมาได้สองประเภท ประกอบด้วย ‘ข้อพิพาทเกี่ยวกับดินแดน/อาณาเขต’ (territory) ที่ต้องการระบุว่าพื้นที่ (รวมใต้น้ำและน่านฟ้า) อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐใด และ ‘ข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดน’ (boundary) ที่ต้องการระบุว่าเส้นแบ่งระหว่างอาณาเขต/ดินแดน ของรัฐต่างๆ จะกำหนดอย่างไร เพื่อกำหนดว่าอำนาจอธิปไตยไปถึงตรงไหน
ภัทรพงษ์อธิบายว่าข้อพิพาทแต่ละประเภทย่อมใช้หลักกฎหมายที่ต่างกัน กล่าวคือหากเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับดินแดน/อาณาเขตก็มีหลักการทางวิชาการที่ใช้พิสูจน์ว่าดินแดนแห่งนี้เป็นของประเทศไหน เช่น หลักการการได้ดินแดนโดยการครอบครอง (acquisition by occupation) โดยมองว่าประเทศที่เข้าไปครอบครองและใช้อำนาจรัฐในพื้นที่นั้นถือว่าได้มาซึ่งดินแดนนั้น หรือหากเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดนก็จะใช้การตีความสนธิสัญญาที่มีการกำหนดลักษณะทางภูมิศาสตร์ เส้นละติจูด ลองติดจูด หรืออื่นๆ ตามที่ตกลงกันเป็นหลัก เพื่อเข้ามาแก้ไขข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดน
ดังนั้น ข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับปราสาทเขาพระวิหารจึงถือว่าเป็น ‘ข้อพิพาทเกี่ยวกับดินแดน/อาณาเขต’ (territory) ที่ต้องการระบุว่าปราสาทเขาพระวิหารอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของของประเทศไทยหรือประเทศกัมพูชา ซึ่งการพิจารณาของศาลโลกมักจะพิจารณาจากข้อต่อสู้ของคู่ความทั้งสองฝ่ายมาเปรียบเทียบกัน โดยที่ฝั่งประเทศไทยอ้างสนธิสัญญาและฝั่งกัมพูชาอ้างแผนที่ ส่งผลให้การต่อสู้คดีข้อพิพาทลักษณะดังกล่าวเทคนิคการต่อสู้คดีจึงเป็นเรื่องสำคัญ หากฝ่ายไหนไม่สามารถอ่านความคิดของผู้พิพากษาว่าต้องการฟังประเด็นไหน หรือกำหนดประเด็นการต่อสู้คดีไม่ถูกก็อาจมีความสุ่มเสี่ยงที่จะแพ้คดีได้ แม้ว่าในความเป็นจริงนอกศาลอาจมีพยานหลักฐานที่หนักแน่นกว่า
“ยกตัวอย่างกรณีข้อพิพาทคดีปราสาทพระวิหารในปี 2505 (ค.ศ. 1962) มีพิพากษาชาวอังกฤษท่านหนึ่งชื่อ เซอร์ เจรัลด์ ฟิตซ์มอริส (Sir Gerald Fitzmaurice) ท่านเคยตั้งข้อสังเกตว่าประเทศไทยสู้คดีไม่ดี กล่าวคือเรารับง่ายไปว่าข้อพิพาททั้งหมดเกิดขึ้นภายหลังอนุสัญญากำหนดเขตแดนระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และยึดสนธิสัญญาเป็นหลัก” ภัทรพงษ์อธิบาย
ทั้งนี้ แม้ว่าการพิจารณาของศาลโลกจะพิจารณาและเปรียบเทียบจากข้อต่อสู้ของคู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นหลัก แต่ก็มีหลักการสำคัญที่ผู้พิพากษาใช้สำหรับการพิจารณา โดยมีบทความชื่อ Self-determination in territorial disputes before the International Court of Justice: From rhetoric to reality? ของ Yusra Suedi ระบุว่า “ในการวินิจฉัยคดี ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้พัฒนาลำดับชั้นของแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการตัดสินข้อพิพาทเรื่องดินแดน โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับ ‘สนธิสัญญาเขตแดน’ ระหว่างรัฐคู่กรณี ตามด้วย ‘ข้อตกลงระหว่างอดีตเจ้าอาณานิคมของรัฐเหล่านั้น’ และสุดท้ายคือ ‘การกระทำของรัฐคู่กรณีที่แสดงออกถึงการใช้อำนาจเหนือดินแดนพิพาท’” [2]
ประเด็นที่สำคัญต่อมาคือ ‘การระงับข้อพิพาท’ โดยในมุมมองของกฎหมายระหว่างประเทศยึดหลักที่สำคัญคือหากเกิดข้อพิพาทขึ้นต้องระงับด้วยสันติวิธี ซึ่งแนวทางดังกล่าวทั้งประเทศไทยและประเทศกัมพูชากำลังทำอยู่ และการใช้กำลังทหารเป็นเรื่องต้องห้ามในทางระหว่างประเทศ โดยประเด็นดังกล่าวถูกบัญญัติไว้ชัดในหลักการภายใต้ข้อ 2 (4) แห่งกฎบัตรสหประชาชาติที่ระบุว่า “รัฐสมาชิกทั้งหมดจะละเว้นการข่มขู่คุกคามหรือการใช้กำลัง (the threat or use of force) ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อรุกรานต่ออธิปไตยทางดินแดน (the territorial integrity) และเอกภาพทางการเมือง (the political independence) ของรัฐใดๆ หรือ (ข่มขู่หรือใช้กำลัง) ในลักษณะที่ขัดแย้งต่อวัตถุประสงค์ของสหประชาชาติ” โดยเป็นหลักการที่ระบุว่าห้ามใช้กำลังทหารหรือขู่ว่าจะใช้กำลังทหารต่อรัฐอื่น เว้นแต่จะเป็นการป้องกันตนเอง หรือได้รับอนุญาตจาก คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ซึ่งถือเป็นหลักการพื้นฐาน
คำถามต่อมาคือ หากมีการใช้กำลังทหารในพื้นที่พิพาทจะเกิดอะไรขึ้น โดยประเด็นดังกล่าว ศาลโลกได้เคยตัดสินและระบุแนวทางไว้ชัดเจนใน ‘คดีพื้นที่พิพาทนิการากัว-คอสตาริกา’ ซึ่งเป็นข้อพิพาทที่นิการากัวใช้กำลังทหารยึดพื้นที่พิพาทเพื่อขุดลอกคลอง โดยระบุในข้อที่ 97 ของคำพิพากษาว่า “ข้อเท็จจริงที่ว่านิการากัวเชื่อว่ากิจกรรมของตนเกิดขึ้นภายในอาณาเขตของตนเอง มิได้เป็นการตัดโอกาสที่กิจกรรมดังกล่าวจะถูกจัดลักษณะว่าเป็นการใช้กำลังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย”
ประโยคดังกล่าวหมายความว่า แม้นิการากัวจะ ‘เชื่อ’ ว่ากำลังดำเนินการอยู่ในดินแดนของตน แต่หากในเวลาต่อมาศาลโลกตัดสินให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นของคอสตาริกา ถือว่ากิจกรรมดังกล่าวเกิดในดินแดนของรัฐอื่น (คอสตาริกา) และการใช้กำลังทหารหรือการขุดคลองโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ยังถือว่าเป็นการใช้กำลังโดยผิดกฎหมายภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศด้วย
จากคำพิพากษาในคดีดังกล่าว ภัทรพงษ์จึงย้ำว่าการใช้กำลังทหารไม่ใช่ทางออกที่ดี เนื่องจากแม้ว่าประเทศไทยจะยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นดินแดนของไทย แต่ถ้าในอนาคตมีการนำคดีพิพาทขึ้นสู่ศาลโลกและมีการตัดสินว่าเป็นของกัมพูชา อาจทำให้ไทยถือว่าใช้กำลังโดยผิดกฎหมายภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
อีกทั้งกฎหมายระหว่างประเทศในยุคสมัยปัจจุบันยังพัฒนาต่อไปจนถึงขนาดว่า ถ้าประเทศไทยใช้กำลังทหารไปผนวกพื้นที่พิพาททั้งหมดมาเป็นของไทย รัฐอื่นๆ ทั้งโลกห้ามรับรองการกระทำนี้ของไทยว่าถูกกฎหมาย จึงอาจกล่าวได้ว่าการใช้กำลังทหารไม่ได้ช่วยปัญหาข้อพิพาท มีแต่ทำให้ปัญหาซับซ้อนขึ้น และในเชิงยุทธศาสตร์ยิ่งทำให้กัมพูชาที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และศาลโลกได้
รื้อถอนมายาคติของสังคมไทย
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ เริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นว่า ในฐานะนักสังคมศาสตร์ เธอได้เฝ้าสังเกตปรากฏการณ์ ‘ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา’ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และพบว่าภายใต้ความขัดแย้งนี้ ได้ก่อร่างสร้าง ‘มายาคติ’ หลายประการในสังคมไทยซึ่งควรถูกตั้งคำถามและรู้เท่าทัน
มายาคติแรกคือ ‘ดินแดนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์’ กล่าวคือแนวคิดที่ว่าดินแดนไทยเป็นของเรามาอย่างยาวนาน ถูกฝังรากลึกในความคิดของผู้คน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว แนวคิดเรื่อง ‘เขตแดน’ ‘รัฐ’ หรือ ‘ความเป็นชาติ’ ล้วนเป็นสิ่งใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หากแต่เป็นแนวคิดที่รับมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น
ครั้งหนึ่ง ธงชัย วินิจจะกูล เคยกล่าวว่า “รัฐเป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์และประกอบสร้างขึ้น” และในบทความ ประวัติศาสตร์การสร้าง ‘ตัวตน’ ซึ่งตีพิมพ์ใน อยู่เมืองไทย: รวมบทความทางสังคมการเมือง เพื่อเป็นเกียรติแด่ ศาสตราจารย์ เสน่ห์ จามริก ในโอกาสอายุครบ 60 ปี ที่มุ่งอธิบายปัญหาที่เกี่ยวข้องกับดินแดนระหว่างสยามกับพม่า โดยอ้างถึงคำบอกเล่าของเฮนรี เบอร์นี ทูตอังกฤษผู้เดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยามใน พ.ศ. 2368
เบอร์นีพบว่าสำหรับชาวยุโรป การมีเขตแดนที่ชัดเจนเป็นหลักประกันสำคัญของสันติภาพระหว่างรัฐ แต่ราชสำนักสยามกลับไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เมื่อเขาพยายามให้สยามกำหนดแนวเขตแดน ฝ่ายไทยกลับตอบว่า “ในเมื่ออังกฤษปรารถนาจะให้กำหนดเขตแดนเหล่านี้แน่นอนลงไป ก็ให้ไปถามเอาจากผู้เฒ่าที่อาศัยอยู่ตามชายแดนมะริด ทวาย ตะนาวศรี ว่าพวกเขารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับดินแดนที่เชื่อมกัน และให้ถือเอาตามที่คนเหล่านั้นชี้นั่นแหละเป็นเขตแดนระหว่างส่วนของอังกฤษกับสยาม”
คำตอบนี้สะท้อนว่าในอดีตสยามไม่เคยมองเขตแดนหรือดินแดนว่าเป็น ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ซึ่งแตกต่างจากความเชื่อในปัจจุบัน โดยหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ทัศนะดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปคือการมาถึงของ ‘แผนที่’ ที่กำหนดขอบเขตของรัฐชาติอย่างชัดเจน และสร้างความรู้สึกผูกพัน ยึดถือ หรือแม้กระทั่งพร้อมตายเพื่อปกป้องสิ่งที่อยู่บนแผ่นกระดาษนั้น
สำหรับเธอจึงเป็นเรื่องน่าสนใจว่า แม้ว่า ‘แผนที่’ จะเป็นเพียงการกำหนดความหมายของพื้นที่ผิวโลก แต่กลับส่งผลต่อการปฏิบัติของมนุษย์และการปฏิบัติของกันและกันต่อมนุษย์ด้วย เห็นได้จากบางกลุ่มมองว่าดินแดนละเมิดไม่ได้แม้เพียงแต่ตารางนิ้วเดียวและพร้อมที่จะพรากชีวิตของคนอื่นหรือสละชีวิตของตนเองเพื่อรักษาดินแดน
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ ชี้ให้เห็นว่ามายาคติอีกประการหนึ่งที่ฝังรากอยู่ในสังคมไทยคือความเชื่อที่ว่า ‘ดินแดนสำคัญกว่าคน’ ท่ามกลางบทสนทนาเรื่องชาติ ดินแดนมักถูกหยิบยกเป็นคุณค่าหลักเหนือเรื่องอื่นๆ ขณะที่ความทุกข์ยากหรือแม้แต่ชีวิตของเพื่อนร่วมชาติกลับไม่ถูกพิจารณาอย่างจริงจังเท่าที่ควร
ตัวอย่างที่สะท้อนทัศนคตินี้ชัดเจนปรากฏในปฏิกิริยาต่อข่าวของ ข่าวสดเรื่อง “นักธุรกิจตราด ชี้ลดเวลาเปิดด่าน ไทยกระทบมากกว่า เผยส่งออกเขมรเดือนละหลายพันล้าน” ซึ่งแม้จะเสนอข้อมูลด้านเศรษฐกิจที่น่าสนใจ กลับมีความคิดเห็นจำนวนมากที่แสดงออกถึงการยึดมั่นในดินแดนมากกว่าความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ เช่น “ถ้าห่วงแต่นักธุรกิจ ไม่ห่วงแผ่นดินแล้วเสียดินแดน คุณจะยังมีที่ให้ทำธุรกิจอีกหรือไม่?” หรือ “นักธุรกิจแบบนี้ควรไล่ให้ไปทำธุรกิจที่กัมพูชาเสียเลย”
“แน่นอนว่าอาณาเขตคือองค์ประกอบสำคัญของรัฐชาติสมัยใหม่ แต่ชีวิต ความสูญเสีย และความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมชาติก็สำคัญไม่แพ้กัน” ชญานิษฐ์กล่าวพร้อมตั้งคำถามว่า หากเกิดการสู้รบหรือใช้กำลังทหารที่รุนแรงขึ้นจริง ชีวิตของทหารแนวหน้าและประชาชนชายแดนที่ต้องแบกรับความเสี่ยง จะถูกนับว่าสำคัญน้อยกว่าดินแดนหรือไม่
เธอย้ำว่าสงครามไม่เพียงสร้างความสูญเสียมหาศาล แต่ผลพวงจากมันยังคงอยู่ยาวนาน แม้จะมีผู้ที่เชื่อว่าการไม่ทำสงครามคือการยอมจำนน ชญานิษฐ์กลับตั้งคำถามสำคัญว่า “เรามีเพียงสองทางเลือกเท่านั้นหรือ กล่าวคือหากไม่ทำสงครามก็เท่ากับว่าเรากำลังยอมแพ้”
ทั้งที่ในความเป็นจริง รัฐไทยก็ได้แสดงให้เห็นว่าการจัดการปัญหาด้วยแนวทางที่ไม่ใช้ความรุนแรง เช่น การปิดด่านหรือการตัดสัญญาณสื่อสาร ก็สามารถกดดันฝ่ายตรงข้ามได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน ทั้งนี้เธอเตือนว่า แม้มาตรการเหล่านี้จะดูได้ผล แต่เราก็ควรพิจารณาอย่างรอบด้านว่า กลยุทธ์เหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างไรต่อประชาชนระดับล่าง โดยเฉพาะผู้ที่ดำรงชีพอยู่บริเวณชายแดน
ในปัจจุบัน ชญานิษฐ์มองว่ามีปัญหาอื่นๆ ที่สร้างผลกระทบต่อชีวิตผู้คนที่ไปไกลกว่าเรื่องดินแดน หนึ่งในนั้นคือ ‘ปัญหาสแกมเมอร์’ เห็นได้จากรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ระบุว่า กัมพูชากลายเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมไซเบอร์ระดับโลก (scammer hub) ที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจทางการเมือง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่ข้ามพรมแดนและกระทบต่อสวัสดิภาพของคนไทยอย่างชัดเจน
หลังจากเกิดเหตุการณ์คลิปเสียงที่กล่าวถึงการเจรจาชายแดนระหว่างผู้นำไทยและกัมพูชา รัฐบาลไทยจึงเริ่มดำเนินมาตรการตอบโต้อย่างเคร่งครัดต่อกลุ่มสแกมเมอร์ แต่ชญานิษฐ์ตั้งข้อสังเกตว่ารายงานของ UNODC ฉบับนี้มีการเผยแพร่มานานแล้ว ทำไมมาตรการเหล่านี้จึงเพิ่งถูกขับเคลื่อน และการตอบสนองของรัฐครั้งนี้เป็นการปกป้องประชาชน หรือเป็นเพียงการตอบโต้เชิงอำนาจหลังจากคลิปเสียงถูกเผยแพร่เท่านั้น
“เราหวังเพียงว่าหากในอนาคตมีการเจรจากันจนสมประโยชน์ในกลุ่มชนชั้นนำแล้ว เรื่องเหล่านี้จะไม่หายเงียบไปอีก” ชญานิษฐ์กล่าวทิ้งท้าย
↑1 | เนื่องจากเส้นเขตแดน ค.ศ. 1904 ตามแผนที่ชุด Bernard จำนวน 3 ระวางถูกยกเลิกโดยเส้นเขตแดนใหม่ตามสนธิสัญญา ค.ศ.1907 |
---|---|
↑2 | In its jurisprudence, the ICJ has developed a hierarchy of sources it will rely on to resolve territorial disputes: it prioritizes a boundary treaty between the state litigants, followed by agreements between the states’ colonial predecessors, and finally state litigants’ actions displaying their authority over the disputed territory. |