ความทรงจำสังเคราะห์ และอนาคตใหม่ของประวัติศาสตร์

ในทางวิชาการ (อันหมายความถึงทั้งสังคมวิทยา มานุษยวิทยา และประสาทวิทยา) มนุษย์เรา ‘สร้างความทรงจำใหม่’ กันอยู่ตลอดเวลา

ถ้าไม่เชื่อ ไปดูการถกเถียงในโซเชียลมีเดียได้นะครับ ทุกวันนี้เราจะเห็นทั้งการ ‘บิด’ และการ ‘แบก’ ข้อมูลข่าวสารต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับกลุ่มก้อนของตัวเองมากที่สุดเท่าที่จะ (พอ) ทำได้ แม้ต้องใช้ ‘ตรรกะวิบัติ’ มารองรับการ ‘แบก’ และ ‘บิด’ ก็ยังทำ ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้นนะครับ แต่ทุกฝ่ายมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ

ถามว่าทำไมต้องทำกันถึงขนาดนั้น – คำตอบหนึ่งที่เป็นไปได้ก็คือ คนเหล่านี้อาจต้องการสร้าง ‘ความทรงจำร่วม’ ใหม่ให้กับกลุ่มของตัวเอง แม้ความทรงจำร่วมนี้จะไม่ตรงกับข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ แต่ถ้าเกิดมี ‘ฝูง’ (หรือคนที่มี herd mentality) จำนวนมากพอมาร่วมเชื่อในความทรงจำร่วมใหม่เดียวกันได้ ก็อาจช่วยให้เชื่อได้ง่ายขึ้น – ว่านั่นคือ ‘ความจริง’

ความทรงจำร่วมเป็นเรื่องสำคัญมากต่อการสร้างอุดมการณ์ของรัฐมาแต่โบราณ เพราะมันคือสิ่งที่รัฐและผู้มีอำนาจทางการเมืองใช้ ‘ควบคุม’ ประชาชนให้อยู่ในร่องในรอยโดยไม่ต้อง ‘บังคับ’ อะไรมากมายนัก เพราะหากคนจำนวนหนึ่งมีความเห็นพ้องต้องกันเสียแล้วว่านี่คือ ‘ความจริง’ ซึ่งยืนยันได้โดยความทรงจำร่วม คนในกลุ่มหรือเผ่านั้นก็ย่อมทำตามอุดมการณ์ดังกล่าวได้โดยสมัครใจ บางส่วนอาจเชื่อโดยเนื้อแท้ว่านั่นคือ ‘โลกที่พึงเป็น’ เสียด้วยซ้ำ ในขณะที่บางส่วนก็แค่รักษาอำนาจและผลประโยชน์ โดยการ ‘ฉวยใช้’ (exploit) กลุ่มคนที่เดินตามตัวเองอยู่ต้อยๆ

จริงๆ การใช้ความทรงจำร่วมไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไปนะครับ เพราะมันคือส่วนหนึ่งของการสร้าง ‘อัตลักษณ์’ ของรัฐขึ้นมา ทุกรัฐมี ‘เรื่องเล่า’ ที่เอาไว้ปลูกฝังประชาชนมาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งนั้น เช่น เรื่องของ ‘ตำนานแห่งชาติ’ (national myth) ต่างๆ (ที่ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งมีอิทธิปาฏิหาริย์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ) ซึ่งหลายตำนานเกิดขึ้นเพื่อรองรับความชอบธรรมในการใช้อำนาจของผู้มีอำนาจ

การเน้นย้ำเรื่องเสรีภาพหรือบอกคนอื่นว่าฉันคือประเทศประชาธิปไตย ก็จัดเป็นการใช้ ‘ความทรงจำร่วม’ เพื่อสร้างเอกภาพของชาติได้ด้วยเหมือนกัน ทั้งนาซีเยอรมันและทหารฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง ต่างก็พยายามสร้าง ‘ความทรงจำร่วม’ กันขึ้นมาทั้งนั้น

ถ้าอำนาจของประเทศหรือกลุ่มสังคมหนึ่งๆ เป็นไปอย่างราบเรียบ คนบางกลุ่มมีอำนาจนำเหนือกลุ่มอื่นๆ เป็นเวลานาน คนเหล่านั้นอาจสถาปนาความทรงจำร่วมหนึ่งๆ ให้กลายเป็นความทรงจำหลักของสังคมได้ไม่ยากนัก แต่ปัญหาเรื่องความทรงจำร่วมจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสังคมนั้นๆ เกิดวิกฤตหรือเกิดการเปลี่ยนแปลง คน ‘กลุ่มอื่น’ ที่มี ‘ความทรงจำร่วม’ แบบอื่นก็มักอยาก ‘นำเสนอ’ ความทรงจำของตัวเองขึ้นมาด้วย แต่กลับพบว่าความทรงจำของตัวเองไม่ถูก ‘เลือก’ เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำหลัก ความขัดแย้งในทางความทรงจำจึงเกิดขึ้น

ในอดีต การสถาปนาความทรงจำหลักนั้นเป็นไปได้ไม่ยากนัก เพราะยังไม่มีเทคโนโลยีต่างๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีการสื่อสาร เรียกได้ว่าผู้มีอำนาจบอกอย่างไร คนในประเทศก็ต้อง ‘เชื่อ’ ไปตามนั้น ถ้าอำนาจนำยืนระยะได้ยาวนานพอสมควร ความทรงจำที่ว่าจะถูกถ่ายทอดผ่านคนรุ่นใหม่ตั้งแต่เกิด ทำให้กลายเป็น ‘ความทรงจำที่ถูกหลอมรวม’ (incorporated memory) เข้าไปอยู่ในวัฒนธรรม พฤติกรรม และวิธีคิดของคนรุ่นนั้นๆ มาตั้งแต่เกิดเลย

แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีทางการสื่อสารและวิธีคิดในการมองข้อมูลทางประวัติศาสตร์เปลี่ยนไปจากเดิม การ ‘ขันแข่ง’ (contest) ในเรื่อง ‘ความทรงจำร่วม’ จึงผุดโผล่ขึ้นมามากมาย โดยเฉพาะความทรงจำของคนตัวเล็กตัวน้อยทั้งหลาย นักวิชาการจำนวนไม่น้อยพูดถึง ‘ความทรงจำดิจิทัล’ (digital memory) ซึ่งหมายถึงการที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการ ‘จัดเก็บ’ และ ‘ถ่ายทอด’ ความทรงจำนั้นๆ ออกมา

แต่ต่อให้เป็นความทรงจำที่เกิดจากการจัดเก็บของเทคโนโลยี ก็ไม่ได้แปลว่าความทรงจำเหล่านั้นจะถูกต้องไปเสียทั้งหมดนะครับ เราจะเห็นปรากฏการณ์ deepfake หรือความหลอกลวงอันล้ำลึกในระดับที่เราแทบมองไม่ออกเลยว่ามันคือสิ่งที่ ‘จริง’ หรือ ‘fake’ กันแน่ แล้วเมื่อผสมกลมกลืนเข้ากับอาการอยาก ‘แบก’ และ ‘บิด’ ของกลุ่มก้อนทางการเมืองในปัจจุบันแล้ว บ่อยครั้งความทรงจำร่วมก็เป็นเหมือนซากฟอสซิลที่ถูกถมทับจนซับซ้อนไม่รู้จักกี่ชั้น จนยากจะมองทะลวงเข้าไป ‘เห็น’ ถึงข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ซ่อนอยู่จริงๆ เพื่อจะตัดสินใจเรื่องต่างๆ โดยละวางอคติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

มีพอดแคสต์ของ TED Radio Hour ตอนหนึ่งมีชื่อว่า The Future of Our Memories หรือ ‘อนาคตความทรงจำของเรา’ พอดแคสต์นี้เล่าเอาไว้ว่า ในอนาคต เทคโนโลยีน่าจะเข้ามามีบทบาทกับการ ‘จัดการความทรงจำ’ ของเรามากขึ้นไปอีก โดยเล่าถึงเรื่องราวของ พาว อาลีคุม การ์เซีย (Pau Aleikum Garcia) หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Domestic Data Streamers Studio ในบาร์เซโลนา บริษัทของเขาทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีและความทรงจำ โดยงานหลักของเขาคือการใช้เอไอ สร้างสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ‘Synthetic Memories’ หรือ ‘ความทรงจำสังเคราะห์’ ขึ้นมา

อะไรคือ ‘ความทรงจำสังเคราะห์’ ?

การ์เซียบอกว่า เขาเคยคุยกับหญิงชราผู้ลี้ภัยคนหนึ่ง เธอบอกว่าสิ่งที่เธอกลัวที่สุด ไม่ใช่การเป็นผู้ลี้ภัย แต่กลัวว่าลูกหลานของเธอจะกลายเป็น ‘ผู้ลี้ภัยชั่วชีวิต’ เพราะการลี้ภัยทำให้คนเหล่านี้ต้องจากบ้าน จึงไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสกับ ‘ราก’ ของตัวเองได้ ถึงไปมีบ้านใหม่ในแผ่นดินอื่น แต่พวกเขาก็ได้สลัดหรือตัดขาดจากรากเดิมจนสิ้น พวกเขาจึงอาจตอบคำถามที่ว่า ‘ฉันมาจากไหน’ ไม่ได้

การ์เซียอึ้งกับคำตอบมาก เขาพบว่าการที่ประเทศถูกคนอื่นมายึดครองจนสูญเสียบ้านของตัวเอง สูญเสียละแวกบ้าน สูญเสียอัลบั้มรูปครอบครัวทั้งหมดไป มันไม่ใช่แค่การสูญเสียประวัติศาสตร์ของชุมชนหรือประเทศเท่านั้น แต่คือการสูญเสีย ‘ประวัติศาสตร์ครอบครัว’ ของตัวเอง – ก็คือ ‘ความทรงจำส่วนบุคคล’ ด้วย

โปรดอย่าลืมนะครับ ว่าความทรงจำร่วมเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีความทรงจำส่วนบุคคลมาประกอบรวมกันเข้าเป็นความทรงจำใหญ่ ดังนั้น การที่ความทรงจำส่วนบุคคลของครอบครัวหนึ่งๆ หายไป ก็เท่ากับพวกเขากำลังฉีกทึ้งความทรงจำร่วมนั้นให้แหว่งวิ่นนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ การ์เซียจึงคิดถึงเรื่องการ ‘สังเคราะห์ความทรงจำ’ ขึ้นมาใหม่ และใช้เวลาอีกเป็นสิบปี เพื่อสร้างเทคโนโลยี ‘ความทรงจำสังเคราะห์’ ขึ้นมา

ความทรงจำสังเคราะห์หมายถึงการสร้าง ‘ตัวแทนดิจิทัล’ ของความทรงจำส่วนบุคคลขึ้นมาใหม่ โดยใช้โมเดลเอไอ มาสร้างภาพจากคำบรรยาย เป้าหมายคือการ ‘สร้างภาพ’ ที่ช่วยให้ผู้คนเห็น ‘ใบหน้า’ ของเรื่องราวที่สูญเสียไปแล้ว เห็นภาพที่ไม่เคยมีใครบันทึกไว้ที่ไหน ยกเว้นในสมองผู้เฒ่าผู้แก่ที่บันทึกภาพเหล่านี้เอาไว้ในความทรงจำ

นักประวัติศาสตร์บางคนบอกว่า ความทรงจำที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือความทรงจำถึง ‘สถานที่’ การนึกถึงสถานที่หนึ่งๆ ทำให้เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่นั้นๆ เราเรียกสถานที่แบบนี้ว่า sites of memory ซึ่งแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน ผู้เฒ่าผู้แก่อาจจะมี ‘ภาพ’ ของสถานที่แห่งความทรงจำบางอย่างอยู่ เช่น อากงอาม่าของหลายคนอาจมีภาพจำของบ้านบรรพบุรุษที่ซัวเถา แต่เมื่อเดินทางกลับไปในปัจจุบัน ภาพนั้นอาจไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ดังนั้น การ ‘สร้างภาพ’ เหล่านี้ขึ้นมา จึงทำให้คนที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส ได้รับรู้เกี่ยวกับอดีต และอาจช่วยให้ ‘เข้าใจ’ ที่มาของตัวเองได้ในระดับที่ลึกขึ้น

ที่น่าสนใจก็คือ ก่อนหน้านี้ สมัยที่เทคโนโลยีเอไอยังไม่ก้าวหน้านัก ภาพที่ได้จะไม่ชัดเจน พร่ามัว ไม่สมจริง ดูเหมือนภาพวาดหรือเป็นภาพขาวดำจนเหมือนความฝันมากกว่าจะเป็นภาพถ่ายจริงๆ แต่การ์เซียบอกว่า พอมาถึงยุคปัจจุบันที่เอไอเก่งขึ้น และสามารถสร้างภาพที่ ‘สมจริง’ และ ‘ชัดเจน’ ได้มากขึ้น ผู้คนที่รำลึกถึงภาพเหล่านั้นกลับรู้สึก ‘สบายใจ’ กับภาพน้อยลง

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือมนุษย์เรา ‘ชอบ’ ความพร่ามัวไม่ชัดเจนของภาพในอดีตมากกว่า!

การ์เซียบอกว่า การค้นพบนี้สอดคล้องกับวิธีรำลึกความทรงจำจากสมองของมนุษย์เรานี่แหละ เพราะเวลาเรา ‘รำลึก’ (recall) ความทรงจำขึ้นมา เราจะรู้เลยว่าความทรงจำของเราไม่ได้ชัดเจนแจ่มแจ้งแบบ 100% นั่นก็เพราะความทรงจำไม่ได้ถูกเก็บไว้ในสมองทั้งก้อนเป็นเรื่องๆ แต่กระจายแยกย้ายไปเก็บตามส่วนต่างๆ เวลาจะ ‘รำลึก’ ก็จะต้องไป ‘เรียก’ ความทรงจำย่อยเรื่องต่างๆ ขึ้นมาประกอบร่างกันอีกหน จึงเหมือนการ ‘สร้างเรื่อง’ ขึ้นมาใหม่ การสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่ (recollection) จึงทำให้ภาพที่อยู่ในหัวของเราพร่าๆ มัวๆ ไม่มีโครงสร้างตายตัว ภาพประเภทเดียวกันที่เอไอยุคแรกๆ สร้างขึ้นจึงทำให้เรา ‘เชื่อมโยง’ กับความทรงจำได้มากกว่า

การ์เซียบอกว่า สิ่งนี้บ่งชี้ให้เราเห็นว่า เราจะชอบ ‘ความทรงจำสังเคราะห์’ หนึ่งๆ อย่างไร ไม่เกี่ยวกับ ‘ความแม่นยำ’ ของ ‘รายละเอียด’ ในเรื่องนั้นๆ มากเท่ากับ ‘อารมณ์ความรู้สึก’ ที่ฝังอยู่ในภาพ (ซึ่งก็คือความทรงจำ) โดยนักจิตวิทยาที่ศึกษาเรื่องความทรงจำ บอกว่าสมองของเราไม่ได้จำ ‘สิ่งที่เกิดขึ้นจริง’ แต่ ‘จำ’ สิ่งที่สมอง ‘ตีความ’ ว่าได้เกิดขึ้นต่างหาก สิ่งที่เราจดจำได้ว่าจริง จึงอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเสมอไป

มีการนำเอาความทรงจำสังเคราะห์ไปใช้งานหลายด้าน ซึ่งก็นับว่าเป็นประโยชน์ไม่น้อย เช่น ใช้กับผู้ป่วยสมองเสื่อมที่ต้องรับการบำบัดด้วยภาพถ่ายเก่าและเสียงเพลง ชุมชนที่ต้องอพยพออกจากบ้านเกิดเมืองนอน รวมถึงคนที่สูญเสียภาพถ่ายเก่าๆ ของครอบครัว ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของ ‘ความทรงจำสังเคราะห์’ ก็คือมันช่วย ‘ยืนยัน’ กับเราอีกครั้งว่า – เมื่อเป็นเรื่องของ ‘ความทรงจำ’ แล้ว สิ่งที่มนุษย์ให้ความสำคัญมากกว่า ‘ข้อเท็จจริง’ และ ‘ความแม่นยำ’ ทางข้อมูล ก็คือ ‘อารมณ์ความรู้สึก’ ที่แฝงฝังมากับภาพและความทรงจำนั้นๆ

กรณีที่การ์เซียเล่าให้เราฟัง อาจเป็นความทรงจำส่วนบุคคลเสียส่วนใหญ่ แต่กระนั้นก็ชวนตั้งคำถามต่อว่า แล้วถ้าเป็น ‘ความทรงจำร่วม’ ที่เรานำมาใช้ในการ ‘แบก’ และ ‘บิด’ ในเรื่องต่างๆ เล่า มันก่อกำเนิดขึ้นด้วยวิธีการแบบเดียวกันหรือเปล่า และเป็นไปได้ไหม ที่จะเกิดการสร้าง ‘ความทรงจำเท็จ’ ขึ้นมาเป็นฐานให้กับความทรงจำร่วม

ยิ่งในปัจจุบัน การเมืองกลายเป็น identity politics เสียมาก (จนเกิด ‘ชนเผ่า’ ทางการเมือง หรือ political tribes ขึ้นมา) ก็เป็นไปได้ที่เราจะนำเอา ‘ความทรงจำส่วนบุคคล’ (ที่มักจะพร่ามัว) มาประกอบสร้างใหม่ แล้วทึกทักว่านั่นคือ ‘หลักฐาน’ ทางประวัติศาสตร์ ทั้งที่มันคือประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้างในสมองของเราเมื่อไม่นานมานี้เอง แถมยังอาจสร้างขึ้นจากอคติในปัจจุบันด้วย

สภาวะแบบนี้อาจนำไปสู่ ‘การเมือง’ แบบ ‘หลังความจริง’ (post-truth politics) ซึ่งไม่ใช่แค่การเผยแพร่ข่าวปลอมหรือความเชื่อผิดๆ แต่คือกระบวนการที่ทำให้คนหันไปให้คุณค่ากับ ‘อารมณ์ความรู้สึก’ มากกว่าข้อเท็จจริง และมักจะต่อต้านข้อมูลที่ขัดแย้งกับอารมณ์และอัตลักษณ์ของตนเอง โดยเฉพาะถ้าอารมณ์ความรู้สึกนั้นสอดคล้องกับผู้มีอำนาจ ก็อาจทำให้นักการเมืองและกลุ่มอำนาจต่างๆ สามารถใช้ความทรงจำเป็นอาวุธได้โดยไม่จำเป็นต้องยึดโยงกับข้อเท็จจริงใดๆ อีกต่อไป

ประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นแค่เรื่องราวของอดีต แต่ประวัติศาสตร์คือสิ่งที่กำลัง ‘ถูกสร้างใหม่’ อยู่ตลอดเวลาโดยผู้ที่มีเครื่องมือในการควบคุม ‘ความทรงจำร่วม’ ของสังคม

เมื่อเอไอสามารถสร้างภาพเหตุการณ์ ‘คล้ายๆ ของจริง’ แต่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง เพื่อใช้ภาพแบบนั้นมายืนยัน ‘ความจริง’ เพื่อสร้างผลกระทบด้านบวกได้ เทคโนโลยีแบบ deepfake ก็อาจสร้างผลกระทบทางลบได้ไม่แพ้กัน

สิ่งที่เลวร้ายกว่า deepfake ในทางเทคโนโลยี อาจคือ deepfake ในทางการเมือง เมื่อการ ‘บิด’ และ ‘แบก’ ถูกใช้โดยผู้ที่ยึดกุมอำนาจนำ เพื่อเร้าอารมณ์ความรู้สึกให้ดูสำคัญกว่าข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ แล้วสิ่งนี้ก็อาจกลายเป็น ‘ความทรงจำร่วม’ แบบหนึ่ง ซึ่งหากเราเลือกจะสร้างความทรงจำร่วมกันแบบนี้จนสูญเสียความสามารถในการแยกแยะ ‘ความจริง’ ก็ยากจะตอบได้ว่า – สุดท้ายแล้วอนาคตของประวัติศาสตร์จะเป็นอย่างไร?

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Thai Politics

6 Jun 2025

101 SUPPORT — ร่วมซัพพอร์ต ร่วมส่งพลัง ร่วมสร้างสรรค์สื่อ

ร่วมซัพพอร์ตให้ ‘วันโอวัน’ ทำงานสื่อความรู้สร้างสรรค์แบบมืออาชีพ เปิดเบื้องหลังเบื้องหลังของปรากฏการณ์รอบตัวอย่างตรงไปตรงมา ชวนสังคมตั้งคำถามที่ ‘ใช่’ ในเรื่องสำคัญต่อชีวิต และเป็นตลาดวิชาคุณภาพให้สังคมไทย

กองบรรณาธิการ

6 Jun 2025

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save