มี-ไม่หนี-ไม่จ่าย: เมื่อ ‘การของบเพิ่ม’ อาจไม่ใช่คำตอบทั้งหมด?

กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้คนรายได้น้อยสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ เสมือนกุญแจเปิดประตูสู่โอกาสทางการศึกษาและสร้างหลักประกันว่าความฝันของเด็กจะไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว

โมเดลการสนับสนุนของ กยศ. นั้นนับว่าใจดีมาก เพราะสนับสนุนให้ทุนกู้ยืมค่าเรียนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา โดยไม่คิดดอกเบี้ยระหว่างที่ศึกษาอยู่และจะเรียกชำระเงินคืนหลังจบการศึกษา โดยจะมีระยะเวลาปลอดหนี้ให้ 2 ปีหลังจากสำเร็จการศึกษา เพื่อให้ผู้กู้มีเวลาในการตั้งตัวและเริ่มต้นทำงาน ก่อนที่จะเริ่มชำระเงินคืนเพื่อนำเงินจากการชำระหนี้ไปหมุนเวียนปล่อยให้แก่รุ่นถัดไป

อย่างไรก็ดี ความใจดีดังกล่าว เมื่อรวมเข้ากับการที่มีคนจำนวนมากยังไม่จ่ายคืนหนี้แก่ กยศ. ตรงเวลา ทำให้ กยศ. ต้องเผชิญปัญหาสภาพคล่องจน กยศ. ก็ประเมินเองว่าจะไม่เหลือเงินสดไว้หมุนเวียนในปี 2568 จึงต้องของบประมาณมาช่วยอุดหนุนเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี และขอต่อเนื่องมาในปีงบประมาณ 2569 ไปจนถึงปี  2573 เป็นอย่างน้อย

ในบทความนี้ 101 PUB ชวนอัพเดตสถานการณ์สภาพคล่องของ กยศ. ผ่านข้อมูลหลักจากเอกสารประกอบการชี้แจงงบประมาณของ กยศ. ที่เสนอต่อกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 และพิจารณาว่ารัฐให้ความช่วยเหลือ กยศ. อย่างไรบ้างและช่วยได้จริงไหม รวมถึงชวนสำรวจเส้นทางของ กยศ. ในอนาคตว่ามีทางเลือกใดบ้างที่จะช่วยให้ผ่านพ้นวิกฤตสภาพคล่องนี้ไปได้

ติดลบน้อยลง แต่ยังเสี่ยงถังแตก

จากเอกสารประกอบการชี้แจงคำเสนอของบประมาณของ กยศ. ต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตัวเลขการประมาณการเงินสดคงเหลือปลายปี จากการดำเนินงาน (ไม่รวมงบประมาณที่ได้รับสนับสนุน) พบว่าติดลบถึง 30,888.65 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมากเมื่อเทียบว่ากองทุน กยศ. เคยมีทุนประเดิมราว 4 แสนล้านบาท แม้สถานการณ์ในปี 2569 จะดีขึ้นบ้างแล้ว โดยรายงานตัวเลขคาดการณ์เงินสดติดลบหดตัวลง เหลือเพียง 4,536.49 ล้านบาท แต่ก็ยังชี้ให้เห็นว่า กยศ. นั้นยังไม่รอดพ้นจากวิกฤตกระแสเงินสดไปได้

ภาพที่ 1: ประมาณการกระแสเงินสดของ กยศ. 2568-2573

ที่มา: กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (2567-2568)

สาเหตุสำคัญหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหากระแสเงินสดติดลบคือ รายได้ของ กยศ. ที่มาจากการชำระหนี้ของผู้กู้มีแนวโน้มลดลงอย่างมาก ข้อมูลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2564–2568) พบว่ารายได้จากการชำระหนี้ของผู้กู้ลดลง จาก 32,066 ล้านบาทในปี 2564 เหลือ 25,177 ในปี 2567 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการบังคับใช้พระราชบัญญัติ กยศ. ฉบับใหม่ พ.ศ. 2566 ที่ลดอัตราดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ[1] รวมถึงเปลี่ยนลำดับการตัดชำระหนี้โดยให้นำไปหักเงินต้นก่อน ส่งผลให้ในปี 2569 กยศ. ประมาณการว่ารายรับจะอยู่ที่ 26,870 ล้านบาท แต่รายจ่ายทั้งหมด (เงินให้กู้ ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ และการจ่ายคืนผู้กู้) พุ่งสูงถึง 46,847 ล้านบาท[2] รายจ่ายของ กยศ. จึงมากกว่ารายรับถึง 1.7 เท่า

เมื่อรายรับลดลงสวนทางกับภาระค่าใช้จ่ายที่มีอยู่ จึงทำให้ กยศ. ต้องเผชิญกับภาวะกระแสเงินสดติดลบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ กยศ. ซึ่งเคยดำเนินงานได้โดยไม่ต้องพึ่งพางบประมาณแผ่นดินมาหลายปี จำเป็นต้องกลับมาขอรับการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐอีกครั้ง แต่ทั้งนี้ในปี 2568 กยศ. ประมาณการของบประมาณไป 19,000 ล้านบาท แต่ได้รับอนุมัติงบประมาณมาเพียง 4,573 ล้านบาท ทำให้ในร่างคำของบประมาณปี 2569 กยศ. ประมาณการของบประมาณล่วงหน้าของปี 2570-2573 เพิ่มขึ้นจาก 31,500 ล้านบาทเป็น 62,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 98% เพื่อพยุงงบกระแสเงินสดไม่ให้ติดลบมากไปกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีงบสนับสนุนจากภาครัฐเข้ามาเสริมแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ กยศ. หลุดพ้นจากภาวะการเงินติดลบไปได้ หากไม่รีบปรับโครงสร้างรายรับ-รายจ่าย ปัญหาเงินหมุนเวียนไม่พอใช้ก็จะยังคงวนซ้ำในปีต่อๆ ไป

ถอดรหัสทางรอด กยศ.

กยศ. จำเป็นต้องสำรวจทางเลือกที่ตนเองมีเพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤตสภาพคล่องนี้ ตามที่ 101 PUB  เคยเสนอไปนั้นมี 3 แนวทาง ไม่ว่าจะเป็นลดการปล่อยกู้, ให้รัฐสนับสนุนงบประมาณเพิ่มต่อเนื่อง และให้คนจ่ายหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งในปีที่ผ่านมา กยศ. ก็พยายามปรับตัว ผ่านแนวโน้มการของบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บทความนี้ก็จะทบทวนทางแก้ปัญหาหลักๆ ที่ กยศ. สามารถทำได้ ดังนี้

1. ลดการปล่อยสินเชื่อให้รายใหม่

แนวทางหนึ่งในการจัดการสภาพคล่องคือ การลดขนาดการปล่อยสินเชื่อใหม่ด้วยวิธีลดการปล่อยสินเชื่อต่อปีลงโดยเฉลี่ย 14,100.83 ล้านบาท (เท่ากับผลขาดทุนจากการปล่อยสินเชื่อเฉลี่ยปีงบฯ 2025 – 2030)[3] ในสถานการณ์ปัจจุบันผลการให้กู้ยืมปีการศึกษา 2568 (ซึ่งเป็นปีแรกที่ กยศ. มีกระแสเงินสดคงเหลือปลายงวดติดลบ) พบว่าจำนวนผู้ได้รับอนุมัติกู้ยืมลดลงจาก 823,301 ราย เหลือ 636,027 หรือลดลงถึง 187,274 ราย คิดเป็นการลดลง 22.75 % โดยเป็นผู้กู้รายใหม่ประมาณ 94,000 ราย ซึ่งเกือบเทียบเท่ากับข้อมูลที่ 101PUB ประมาณให้เห็นว่าการเลือกใช้วิธีการลดการปล่อยสินเชื่อให้รายใหม่ จะส่งผลให้ผู้ขอกู้รายใหม่ถูกตัดโอกาสไปราว 180,000 คน[4]

2. การให้รัฐสนับสนุนงบประมาณต่อเนื่อง

อีกหนึ่งในแนวทางแก้ปัญหาที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การให้รัฐสนับสนุนงบประมาณโดยตรงอย่างต่อเนื่อง จากการคาดการณ์ของ กยศ. พบว่าวิธีนี้รัฐบาลจำเป็นต้องสนับสนุนอย่างน้อยประมาณปีละ 15,766.7 ล้านบาท จนถึงปี 2572 เพื่อให้กองทุนสามารถอยู่ต่อได้โดยไม่พึ่งงบประมาณในปีถัดไป

อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ นอกจากจะเบียดบังพื้นที่งบประมาณ อาจทำให้ กยศ. ไม่สามารถรักษาสถานะการเป็นกองทุนหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่สามารถยืนด้วยตนเองได้หากขาดการสนับสนุนจากรัฐ จนกลายเป็นความเปราะบางของ กยศ. ในระยะยาว แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่สภาพคล่องเป็นปัญหาเฉพาะหน้า ดูเหมือนว่าแนวทางการพึ่งพิงงบประมาณจากรัฐนี้กลับเป็นทางเลือกที่ กยศ. มีแนวโน้มจะให้น้ำหนักมากขึ้นสำหรับปี 2569

3. ทำให้คนกลับมาชำระหนี้มากยิ่งขึ้น

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รายได้จากการชำระหนี้ของ กยศ. ลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้ กยศ. มีรายจ่ายมากกว่ารายรับถึง 1.7 เท่า วันที่ 9 เมษายน 2568 กยศ. ได้ประกาศแนวทางเพิ่มอัตราการหักเงินเดือนของผู้กู้ยืมที่มียอดค้างชำระ โดยหวังว่าจะเป็นการเร่งรัดให้เงินกลับคืนสู่ระบบได้มากขึ้น ต่อมาเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 มาตรการดังกล่าวถูกประกาศให้ชะลอลง ซึ่งก่อให้เกิดคำถามว่า การเพิ่มภาระทางการเงินให้กับลูกหนี้กลุ่มที่ค้างชำระอยู่แล้ว จะเป็นทางออกที่ได้ผลจริงหรือไม่ เนื่องจากลูกหนี้กลุ่มนี้ประสบปัญหาในการชำระหนี้อยู่เป็นทุนเดิม การเพิ่มอัตราการหักเงินที่สูงขึ้นอาจยิ่งผลักให้บางกลุ่มไม่สามารถที่จะนำเงินมาชำระได้และอาจนำไปสู่การหลีกเลี่ยงหรือผิดนัดชำระหนี้มากขึ้นแทนที่จะกระตุ้นให้เกิดการชำระหนี้

กยศ. มีทางเลือกอะไรบ้างเพื่อความอยู่รอด

การสนับสนุนด้านการศึกษาถือเป็นหนึ่งภารกิจที่จำเป็นของรัฐ เพราะเป็นการลงทุนในอนาคตของชาติที่ให้ผลตอบแทนแก่สังคมโดยรวม แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่งบประมาณมีจำกัดและเงินทุกบาทล้วนเป็นต้นทุนของภาษีประชาชน คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ ‘ควร’ อุดหนุนหรือไม่ แต่คือ ‘จะทำอย่างไร’ ให้การลงทุนนี้เกิดความยั่งยืนและไม่สร้างภาระทางการคลังในระยะยาว

กรณีของ กยศ. ในช่วง 22 ปีที่ผ่านมา (2539-2560) มีการใช้งบประมาณสนับสนุนรวม 465,674 ล้านบาท มีช่วงปี 2560-2567 ที่ กยศ. สามารถดำเนินกิจการด้วยตัวเองได้โดยไม่พึ่งพิงงบประมาณแผ่นดิน แต่ก็ต้องกลับมาของบประมาณสนับสนุนต่อ เนื่องจากงบหมุนเวียนมีไม่เพียงพอและรายรับจากการชำระหนี้ที่น้อยลง กยศ. พยายามจะหาวิธีติดตามหนี้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ปรับปรุงเงื่อนไขการผ่อนจ่ายจากรายปีเป็นรายเดือน ให้แรงจูงใจอย่างการลดดอกเบี้ยควบคู่ไปกับการใช้มาตรการบังคับอย่างการหักเงินเดือนผ่านนายจ้าง แต่ที่ผ่านมามาตรการที่ใช้อาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการคืนเงินจริง หรือการจัดการหนี้ที่มีช่องว่าง จึงยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้จริง อย่างไรก็ตาม ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าหากจะทำให้ กยศ. ยังคงเป็น ‘กองทุนหมุนเวียน’ ที่สร้างโอกาสสำหรับนักเรียนรุ่นน้องต่อไปได้ การสร้างระบบจัดการหนี้ที่ชาญฉลาดและมีกลยุทธ์เป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญ

ในระยะสั้นการอัดฉีดงบประมาณก้อนหนึ่งเสมือนการให้เลือดเพื่อประคองระบบไว้ไม่ให้หยุดชะงัก และเพื่อให้นักเรียนนักศึกษารุ่นปัจจุบันยังคงได้รับโอกาสทางการศึกษาต่อไป แต่ต้องยอมรับว่านี่อาจเป็นเพียงการรักษาตามอาการ ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นตอ หากปราศจากการผ่าตัดใหญ่เพื่อปรับเปลี่ยนการดำเนินงาน กยศ. ก็จะกลับมาอยู่ในภาวะวิกฤตเช่นเดิมในไม่ช้าและต้องพึ่งพิงงบประมาณรัฐต่อไป

 หนึ่งในแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินที่ต้นเหตุคือ การหาวิธีเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ ซึ่งแนวทางที่สามารถนำมาพิจารณาได้คือ การนำข้อมูลหนี้ กยศ. เข้าสู่เครดิตบูโร เพื่อกระตุ้นให้ผู้กู้มีวินัยในการชำระหนี้มากขึ้น จากข้อมูลของ ThaiPublica พบว่าในปี 2563 มีลูกหนี้ที่ถูกบังคับคดีจำนวนมากที่มีความสามารถในการชำระหนี้แต่เลือกที่จะไม่จ่าย ดังนั้น การสร้างระบบติดตามหนี้ที่ชาญฉลาดจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น

อีกหนึ่งแนวทางแก้ไขปัญหาด้านรายรับ กยศ. อาจต้องพิจารณาว่า โมเดลการให้กู้ยืมแบบเดิมอาจไม่ยั่งยืนอีกต่อไป กยศ. ควรปรับมุมมองการให้กู้ยืมให้เป็น ‘การลงทุนในการศึกษา’ ที่ควรให้ผลตอบแทนกลับมาสู่กองทุนมากขึ้น อย่างน้อยๆ เพื่อให้มีเงินเพียงพอสำหรับนักเรียนรุ่นถัดไป การกำหนดทิศทางการให้กู้ยืมในอนาคตอาจต้องพิจารณาอย่างรอบคอบมากขึ้น ควรมีการจัดสรรเงินกู้ให้เหมาะสมกับแต่ละสาขาวิชาและสถานศึกษา โดยพิจารณาจากปัจจัยด้านผลตอบแทนจากการทำงานและการชำระหนี้ในอดีต แนวทางนี้จะดำเนินการโดยให้ กยศ. ให้น้ำหนักพิเศษหรือจัดสรรโควตาการให้กู้ยืมเพิ่มขึ้นให้กับสาขาวิชาและสถาบันที่มีข้อมูลผลตอบแทนและการชำระหนี้ที่ดี เพื่อเป็นแรงจูงใจและส่งเสริมการศึกษาในสาขาที่ตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานได้ดี เพื่อให้มั่นใจว่าเงินทุนจะถูกนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และกองทุนยังคงเป็นแหล่งทุนหมุนเวียนที่ช่วยเหลือนักเรียนรุ่นต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการดำเนินการดังกล่าวต้องพิจารณาเรื่องการให้โอกาสทางการศึกษากับนักเรียนในสาขาอื่นๆ อย่างทั่วถึงด้วย  

References
1 กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา. 2567. เอกสารประกอบการชี้แจงเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สภาผู้แทนราษฎร. กระทรวงการคลัง
2 กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา. 2568. เอกสารประกอบการชี้แจงเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สภาผู้แทนราษฎร. กระทรวงการคลัง
3 กษิดิ์เดช คำพุช. กยศ. จะถังแตกใน 3 เดือน!?: ปัญหาเงินสดหมดกองทุนและหนทางเอาตัวรอด. ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง (101 PUB). 30 กันยายน 2024. https://the101.world/student-loan-fund-crisis/
4 กษิดิ์เดช คำพุช. กยศ. จะถังแตกใน 3 เดือน!?: ปัญหาเงินสดหมดกองทุนและหนทางเอาตัวรอด. ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง (101 PUB). 30 กันยายน 2024. https://the101.world/student-loan-fund-crisis/

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Education

20 Jul 2023

คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ในวิกฤต (?)

ข่าวการปรับหลักสูตรของอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ชวนให้คิดถึงอนาคตของการเรียนการสอนสายมนุษยศาสตร์ เมื่อตลาดแรงงานเรียกร้องทักษะสำหรับการทำงานจริง จนมีการลดความสำคัญวิชาพื้นฐานอันเป็นการฝึกฝนการวิเคราะห์วิพากษ์เพื่อทำความเข้าใจโลกอันซับซ้อน

เสียงเล็กๆ จากประชาคมอักษร

20 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save