2024 ปีแห่งการเปลี่ยนผ่านสำคัญของเอเชียใต้

ปี 2024 ถือเป็นปีที่มีความสำคัญสำหรับการเมืองในภูมิภาคเอเชียใต้ เพราะหลายประเทศมีการจัดการเลือกตั้งครั้งสำคัญเกิดขึ้นเกือบทั่วทั้งภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ ภูฏาน มัลดีฟ หรือศรีลังกา ขาดเพียงประเทศเนปาลและอัฟกานิสถานเท่านั้น น่าสนใจว่าผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในประเทศเหล่านี้มีผลอย่างมากต่อภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ระดับภูมิภาคและระดับโลก เนื่องจากมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะการขึ้นมามีอำนาจของพรรคการเมืองและผู้นำหน้าใหม่

การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในเอเชียใต้จึงถือเป็นกระแสลมที่มาพร้อมกับคำมั่นสัญญาในการเปลี่ยนแปลง แม้บางประเทศจะได้ผู้นำหน้าเดิม แต่คะแนนนิยมทางการเมืองที่เปลี่ยนไปก็ยังผลสำคัญต่อการถ่วงดุลอำนาจภายในประเทศเหล่านั้น โดยเฉพาะในกรณีของอินเดีย ที่ความนิยมของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีไม่ได้สูงตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนการเลือกตั้ง ไม่นับรวมบรรดาวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในบังคลาเทศที่วันนี้ก็ยังคงใช้รัฐบาลเฉพาะกาลทำงานอยู่

เช่นนั้นแล้ว 2024 จึงเป็นปีที่น่าสนใจปีหนึ่งของเอเชียใต้เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในภูมิภาค ข้อเขียนในครั้งนี้จึงอยากชวนย้อนทบทวนสถานการณ์ทางการเมืองในเอเชียใต้ ผ่านการทำความเข้าใจผลการเลือกตั้งในประเทศต่างๆ เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์ให้เห็นสภาพความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ทางการเมือง อันยังผลอย่างมากต่อภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคนี้ ในสภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้นำของสหรัฐอเมริกา และจีนขยายอิทธิพลเข้ามามากยิ่งขึ้นในเอเชียใต้

จากดินแดนหิมาลัยสู่มหาสมุทรอินเดีย: พลวัตทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป

ปี 2024 อาจถือเป็นหนึ่งในปีสำคัญที่ภูมิภาคเอเชียใต้มีการจัดการเลือกตั้งในเกือบทุกประเทศ ยกเว้นเพียงเนปาล ซึ่งมีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2022 และอัฟกานิสถานซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มตอลีบัน โดยไม่มีแนวโน้มว่าจะมีประชาธิปไตยหรือการเลือกตั้งง่ายๆ ฉะนั้น กล่าวได้ว่าประเทศเกินกว่าครึ่งของภูมิภาคนี้ล้วนมีการเลือกตั้งครั้งสำคัญทั้งสิ้น ซึ่งส่งผลอย่างมากต่อการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง เพราะผลทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงย่อมนำมาซึ่งนโยบายทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่เปลี่ยนไปด้วย

ช่วงรอยต่อข้ามปี 2023 สู่ปี 2024 ถือเป็นช่วงเวลาที่ภูฏานจัดการเลือกตั้งเป็นการทั่วไป โดยการเลือกตั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 4 ในประวัติศาสตร์ภูฏานนับตั้งแต่สถาปนาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ดินแดนเล็กๆ ที่ถูกขนาบด้วยมหาอำนาจอย่างจีนและอินเดียนี้ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในอนุภูมิภาคหิมาลัย ผลการเลือกตั้งของภูฏานจึงเป็นที่จับตาอย่างมากของทั้งอินเดียและจีน ซึ่งผลการเลือกตั้งที่ออกมาเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2024 ส่งผลให้อดีตนายกรัฐมนตรี Tshering Tobgay กลับสู่อำนาจอีกครั้ง โดยเขาถือเป็นหนึ่งในนายกรัฐมนตรีที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลอินเดีย

ในช่วงเดือนเดียวกัน ประเทศที่อยู่ไม่ไกลนักอย่างบังคลาเทศก็จัดการเลือกตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2567 ซึ่งการเลือกตั้งในครั้งนั้น พรรครัฐบาลของนายกรัฐมนตรีชีค ฮาสีนา ได้รับความไว้วางใจให้กลับมาทำหน้าที่รัฐบาลอีกครั้งภายใต้การบอยคอตการเลือกตั้งของพรรคฝ่ายตรงข้าม โดยการเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้ออกเสียงเพียงร้อยละ 17.8 ของประชากรทั้งหมดเท่านั้น ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้จึงเต็มไปด้วยคำวิจารณ์ และในท้ายที่สุดรัฐบาลชีค ฮาสีนาก็ล่มสลายลงในช่วงเดือนสิงหาคมจากการประท้วงครั้งใหญ่ของขบวนการนักศึกษา

ถัดมาในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อนบ้านคู่ขัดแย้งของอินเดียอย่างปากีสถานมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งสำคัญขึ้น หลังเลื่อนมาจากปี 2023 จากปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่เกี่ยวกับคดีของอดีตนายกรัฐมนตรีอิมราน ข่าน การเลือกตั้งครั้งนี้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญเมื่อผู้สมัครอิสระที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคของอิมราน ข่าน ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งในหลายพื้นที่ของประเทศ แม้มีแรงกดดันของกองทัพที่ให้การสนับสนุนพรรคของอดีตนายกรัฐมนตรีนาวาฟ ชารีฟ อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่ากองทัพยังคงมีบทบาทในการเมืองของปากีสถานอยู่

ในขณะที่มัลดีฟส์เองก็มีการจัดเลือกตั้งในช่วงเดือนเมษายน ปี 2024 ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญ เนื่องจากในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในทางการเมืองขึ้น เมื่อ Mohamed Muizzu ผู้ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในแกนนำคนสำคัญที่ต่อต้านอินเดียอย่างหนักได้รับความไว้วางใจให้ขึ้นมามีอำนาจในมัลดีฟส์ และการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 21 เมษายน ก็สะท้อนคะแนนนิยมของฝ่ายต่อต้านอินเดียที่เก็บชัยชนะในการเลือกตั้งระดับรัฐสภาได้อีกด้วย สถานการณ์เช่นนี้จึงไม่เป็นผลดีต่ออินเดียเท่าไรนัก

และแน่นอนว่าในปีนี้ก็เป็นปีที่สำคัญของอินเดีย เพราะมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้น ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งใหญ่ที่มีความสำคัญระดับประเทศ การเลือกตั้งนี้กินเวลาตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงเดือนมิถุนายน โดยผลของการเลือกตั้งค่อนข้างมีความน่าสนใจเนื่องจากคะแนนนิยมของพรรคบีเจพีลดลงอย่างมาก แม้จะสามารถตั้งรัฐบาลได้ แต่ก็ต้องอาศัยเสียงสนับสนุนจากพรรคพันธมิตร ส่งผลให้สภาอินเดียในรอบนี้ฝ่ายค้านมีพลังมาก ในขณะเดียวกันพรรคร่วมก็มีอำนาจต่อรองสูง นั่นส่งผลให้การเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 3 ของนเรนทรา โมดี ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายค่อนข้างมาก แตกต่างจากในอดีต

ในช่วงท้ายปี เพื่อนบ้านข้างเคียงของอินเดียอย่างศรีลังกาก็มีการจัดเลือกตั้งใหญ่ถึงสองครั้ง ทั้งการเลือกตั้งประธานาธิบดีและการเลือกตั้งในระดับรัฐสภา ซึ่งผลของการเลือกตั้งส่งผลให้พรรคฝ่ายซ้ายได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น เป็นที่น่าสนใจว่าพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายในศรีลังกานั้นไม่เคยมีเสียงข้างมากหรือรั้งตำแหน่งประธานาธิบดีมาก่อน ความเปลี่ยนแปลงภายในดินแดนศรีลังกาครั้งนี้จึงเป็นที่น่าจับตามองว่าจะส่งผลอย่างไรต่อความเป็นไปของภูมิภาคเอเชียใต้

จะเห็นได้ว่าตลอดปี 2024 หลายประเทศในเอเชียใต้มีการผลัดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งสำคัญ ทั้งได้ผู้นำหน้าเก่า ทั้งได้ผู้นำหน้าใหม่ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผลของการเลือกตั้งของหลายประเทศได้เปลี่ยนสมการทางการเมืองภายในอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงในระดับภูมิภาค

ภูมิทัศน์ทางการเมืองใหม่ สู่ภูมิรัฐศาสตร์ใหม่?

เอเชียใต้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีความสำคัญมากและได้รับอิทธิพลอย่างมากจากอินเดีย อินเดียถือเป็นมหาอำนาจภายในภูมิภาคเอเชียใต้มาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในประเทศต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ย่อมส่งผลอย่างมากต่อสถานะอำนาจนำของอินเดียในภูมิภาค เพราะการเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคของอินเดียมาจากการดำเนินนโยบายด้านความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลต่างๆ ในเอเชียใต้ ซึ่งจำนวนมากอยู่ภายใต้อำนาจของตระกูลการเมืองไม่กี่ตระกูล นั่นส่งผลให้อินเดียสามารถกำหนดกรอบนโยบายต่างประเทศของตัวเองต่อเพื่อนบ้านและชาติพันธมิตรในเอเชียใต้ได้ไม่ยากนัก

ฉะนั้น ความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ทางการเมืองในประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะประเทศรอบข้างของอินเดียจึงส่งผลกระทบอย่างมากต่อการกำหนดแนวนโยบายต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในบังคลาเทศก็ส่งผลอย่างมากต่อพื้นที่ตามแนวชายแดนของอินเดีย และที่สำคัญ การลงจากตำแหน่งของชีค ฮาสินา ซึ่งเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ของอินเดียย่อมส่งผลกระทบต่ออิทธิพลของอินเดียในบังคลาเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือในกรณีของมัลดีฟส์ที่ประธานาธิบดีผู้ซึ่งขึ้นชื่อว่ารังเกียจอินเดียและมีนโยบายไม่ต้อนรับอินเดียขึ้นมามีอำนาจ ลักษณะเช่นนี้ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเกิดผลกระทบในเชิงลบมาก

เห็นได้ชัดว่าความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ทางการเมืองมีผลอย่างมากต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น ภูมิทัศน์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปยังอาจนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียใต้ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น กรณีการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองของมัลดีฟส์ ซึ่งผู้นำมีแนวโน้มที่จะฝักใฝ่จีนค่อนข้างมาก ลักษณะเช่นนี้ส่งผลให้อิทธิพลของจีนขยายเข้ามาในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่บทบาทของจีนจำกัดอยู่ในประเทศอย่างเนปาลและศรีลังกา สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลให้อินเดียสูญเสียพันธมิตรที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น นั่นหมายความว่าการผูกขาดเอเชียใต้ของอินเดียเหมือนในอดีตนั้นทำไม่ได้อีกต่อไป

อาจกล่าวได้ว่าสมการทางภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียใต้ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อ 20 ปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง และมีลักษณะการแข่งขันกันมากยิ่งขึ้นระหว่างอินเดียและจีน แต่น่าสนใจว่าในช่วงปลายปี 2024 อินเดียกับจีนได้กลับมาเจรจากันอีกครั้งหลังจากเผชิญความขัดแย้งระหว่างกันนับตั้งแต่ปี 2020

การรื้อฟื้นความสัมพันธ์อินเดีย-จีน ในรอบ 5 ปี

ตลอดหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่จีนเริ่มโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) เอเชียใต้ถือเป็นหนึ่งในจุดลงทุนที่มีความสำคัญของจีน นั่นส่งผลให้อิทธิพลของจีนทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากอิทธิพลทางเศรษฐกิจที่มากขึ้นก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นอิทธิพลทางการเมืองระหว่างประเทศซึ่งสร้างผลกระทบอย่างมากต่ออินเดีย เพราะนอกจากชาติพันธมิตรและเพื่อนบ้านในเอเชียใต้จะหันไปหาเงินลงทุนของจีนมากขึ้นแล้ว อินเดียยังค่อยๆ สูญเสียสถานะนำภายในภูมิภาคอีกด้วย ซึ่งไม่เป็นผลดีอย่างมากต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของอินเดีย

นับตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา การแข่งขันระหว่างอินเดียและจีนในภูมิภาคนี้จึงทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนนำมาซึ่งการแสวงหาพันธมิตรทางความมั่นคงของอินเดียเพื่อต่อกรกับจีน เกิดเป็นความร่วมมือภายใต้กรอบอินโดแฟซิฟิก ซึ่งหลายครั้งมีการซ้อมรบในพื้นที่เอเชียใต้ ยิ่งไปกว่านั้น ความไม่ลงรอยของจีนและอินเดียยังรุนแรงมากยิ่งขึ้นในช่วงที่เกิดการปะทะกันตามแนวชายแดน ส่งผลให้เกิดการบอยคอตทางเศรษฐกิจต่อสินค้าจีนในอินเดียอย่างกว้างขวาง และนับตั้งแต่ปี 2020 ทั้งสองประเทศก็ไม่มีการพูดคุยกันของผู้นำระดับสูงอีกเลย

สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและจีนยังส่งผลต่อภูมิภาคเอเชียใต้ด้วย เพราะนั่นส่งผลให้เกิดการแบ่งฝ่ายเลือกข้าง อย่างไรก็ตาม ในปลายปี 2024 จีนและอินเดียหันกลับมาพูดคุยกันอีกครั้งในการประชุม SCO ที่รัสเซีย การพบกันของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง สร้างความแปลกประหลาดใจอย่างมากต่อประชาคมระหว่างประเทศ การพบกันครั้งนั้นนำมาซึ่งการส่ง Ajit Doval ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของอินเดียไปเยือนจีนในรอบกว่า 5 ปี โดยผลลัพธ์ของการประชุมในครั้งนี้นำมาซึ่งการถอนทหารออกจากพื้นที่พิพาท และสมานรอยร้าวที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ

นักวิเคราะห์คาดว่าการกลับมาพูดคุยกันอีกครั้งของจีนและอินเดียเป็นผลสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่าการกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะส่งผลให้อเมริกามีนโยบายกีดกันทางการค้ามากยิ่งขึ้น ฉะนั้นจีนและอินเดียเล็งเห็นว่าความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ จะส่งผลให้ทั้งคู่สามารถฝ่าวิกฤตนี้ไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นการพูดคุยกันในครั้งนี้ยังเป็นผลสืบเนื่องมาจากความพยายาม ในการแก้ไขปัญหาชายแดนระหว่าง 2 ประเทศที่มีมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาด้วย

กล่าวได้ว่าปี 2024 เป็นปีที่มีความสำคัญอย่างมากของภูมิภาคเอเชียใต้ นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในของหลายประเทศแล้ว ยังรวมถึงภูมิรัฐศาสตร์โดยรวมของภูมิภาคที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save