วันที่ 5-6 ตุลาคมที่ผ่านมา สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เดินทางไปเยือนกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่สีหศักดิ์ได้ไปเยือนหลังเพิ่งเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ โดยมีภารกิจหนึ่งคือการเข้าร่วมการประชุม ‘อาเซียนเพื่อประชาชน’ (ASEAN for the Peoples Conference) ในวันที่ 5 ตุลาคม เพื่อกล่าวปาฐกถาในพิธีปิดการประชุม และยังเปิดโอกาสให้องค์กรภาคประชาสังคมต่างๆ ที่เข้าร่วมงานได้ซักถาม
ในงานดังกล่าว สีหศักดิ์ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในหลายประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องแนวทางการปรับตัวเพื่อรับภูมิทัศน์สถานการณ์โลกแบบใหม่ และเพื่อให้ตอบโจทย์พลเมืองอาเซียนอย่างแท้จริง รวมถึงบทบาทของภาคประชาสังคมและคนรุ่นใหม่ในการช่วยขับเคลื่อนอาเซียนให้เดินหน้าไปในทิศทางดังกล่าว นอกจากนี้ สีหศักดิ์ยังได้ให้ความเห็นถึงการจัดการประเด็นร้อนในภูมิภาคทั้งในเรื่องวิกฤตเมียนมา และความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา
เนื่องจากวันโอวันมีโอกาสได้เข้าร่วมงานดังกล่าว และได้เข้าร่วมฟังปาฐกถาของสีหศักดิ์ เราจึงสรุปเนื้อความที่สีหศักดิ์ได้กล่าวต่อประชาชนและภาคประชาสังคมผู้เข้าร่วมงาน โดยมีประเด็นดังต่อไปนี้

ความเชื่อมั่นของประชาชนต่ออาเซียนกำลังถูกทดสอบ
อาเซียนได้ผ่านความท้าทายมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็สามารถก้าวข้ามมาได้ เพราะแต่ละชาติยังคงจับมือกันแน่น และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนี้เองที่ทำให้อาเซียนสามารถเปลี่ยนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากที่เคยเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ให้กลายเป็นภูมิภาคแห่งเสถียรภาพและความร่วมมือ ซึ่งที่ผ่านมาอาเซียนได้นำมาซึ่งความก้าวหน้าและความร่วมมือระหว่างกันในหลายด้าน ตั้งแต่ด้านการเมือง การค้า และการเชื่อมโยง ไปจนถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชีวิตผู้คน เช่น การศึกษา สุขภาพ และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม
แต่วันนี้อาเซียนกำลังเจอสถานการณ์ที่ซับซ้อนกว่าเดิม เพราะบ่อยครั้งผลประโยชน์ของชาติมีอิทธิพลเหนือผลประโยชน์ร่วมของภูมิภาค ขณะเดียวกันการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ก็กดดันให้แต่ละประเทศเลือกข้าง มากกว่าที่จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นอกจากนี้โลกก็กำลังเผชิญความไม่มั่นคงมากขึ้น ทั้งจากสงครามการค้า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความเหลื่อมล้ำที่ถ่างกว้าง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งภูมิภาคและต่อชีวิตของประชาชน
ต้องเน้นย้ำด้วยว่าภายในภูมิภาคของเราเองก็ยังมีสถานการณ์ตึงเครียดและความขัดแย้ง ซึ่งเตือนให้เราต้องระลึกว่าเมื่อเราได้สันติภาพมาแล้ว ต้องไม่ละเลยมัน แต่ความขัดแย้งที่ยังไม่คลี่คลายและความเปราะบางภายในประเทศต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ก็ยังคงท้าทายเสถียรภาพของภูมิภาค
สถานการณ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่กำลังทดสอบความสามารถของรัฐบาลแต่ละประเทศในการตอบสนองต่อวิกฤตเท่านั้น แต่ยังทดสอบความเชื่อมั่นของประชาชนต่ออาเซียนด้วย ทำให้หลายคนมีคำถามว่า “อาเซียนยังสำคัญอยู่หรือไม่ และอาเซียนต้องเปลี่ยนแปลงอย่างไรเพื่อตอบโจทย์ยุคใหม่?”
อาเซียนยังสำคัญ แต่ต้องปรับตัว และทำให้ตอบโจทย์ชีวิตประชาชน
อาเซียนยังคงสำคัญ และจะยังอยู่ต่อไปอย่างแน่นอน เพียงแต่อาเซียนต้องปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยอาเซียนต้องมีความเข้มแข็ง ยืดหยุ่น และตอบโจทย์เป้าหมายได้จริง นอกจากนี้อาเซียนยังต้องไม่ได้มีหน้าที่เพียงรักษาสันติภาพระหว่างประเทศ แต่ต้องสร้างผลประโยชน์ที่จับต้องได้ในชีวิตประจำวันของประชาชน ซึ่งการจะเดินไปถึงจุดนี้ได้นั้นมีอยู่สามประการที่ต้องทำเป็นอันดับต้นๆ
ประการแรก – ธำรงสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค
สันติภาพและความมั่นคงไม่ใช่เพียงการไม่มีสงคราม แต่ต้องมองในมิติความมั่นคงของมนุษย์ด้วย โดยสันติภาพที่แท้จริงเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประชาชนรู้สึกปลอดภัย มีอาชีพมั่นคง เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ และมองเห็นอนาคตด้วยความมั่นใจ หรือกล่าวได้ว่าการที่ประชาชนเป็นอิสระจากความกลัวและความขาดแคลนนั้น คือเสาหลักแห่งความมั่นคงที่แท้จริง
แต่ขณะเดียวกัน บริบทโลกที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะด้วยหลักพหุภาคีนิยมที่ถูกท้าทาย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ทวีความรุนแรงขึ้น รวมถึงภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เช่น อาชญากรรมไซเบอร์ การค้ามนุษย์ และการหลอกลวงออนไลน์ เหล่านี้ล้วนกำลังกระทบต่อชีวิตของประชาชน และเป็นปัญหาที่ไม่มีประเทศใดแก้ไขได้เพียงลำพัง แต่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือในระดับภูมิภาค
ในการจะเผชิญหน้ากับความท้าทายเหล่านี้ อาเซียนต้องหันมาทบทวนหลักการขององค์กรบางประการ เช่น หลักฉันทมติ (consensus) ที่บ่อยครั้งทำให้การตัดสินใจในเรื่องเร่งด่วนต้องล่าช้า เพราะฉะนั้นเราอาจจะต้องปรับเรื่องนี้ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่นอาจใช้ระบบทรอยกา (Troika หมายถึงการใช้กลไกประสานงามสามฝ่าย ได้แก่ ประธานอาเซียนปีที่แล้ว ปัจจุบัน และปีหน้า) หรือเพิ่มบทบาทของประธานอาเซียนในกรณีฉุกเฉิน เพื่อให้การตัดสินใจของอาเซียนเป็นไปอย่างทันท่วงทีแต่ยังคงเอกภาพไว้
นอกจากนั้น หลักการ ‘ไม่แทรกแซงกิจการภายในระหว่างกัน’ (non-interference) ก็ต้องถูกทบทวนใหม่ให้สอดคล้องกับโลกปัจจุบันเช่นกัน เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นภายในประเทศหนึ่งสามารถส่งผลต่อทั้งภูมิภาคได้ ตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนคือกรณีเมียนมา ซึ่งสะท้อนว่าหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในไม่ควรถูกใช้เพื่อปิดกั้นการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมหรือการเจรจา แต่ควรถูกใช้เพื่อเอื้อต่อการมีส่วนร่วมเชิงสร้างสรรค์อันนำไปสู่ผลประโยชน์ร่วมกันของภูมิภาค
หากอาเซียนสามารถธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงในทุกมิติ พร้อมปรับใช้หลักการต่างๆ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในปัจจุบัน และแก้ไขข้อพิพาทโดยยึดความกินดีอยู่ดีของประชาชนเป็นศูนย์กลางได้ เราก็จะสามารถเสริมสร้างทั้งเสถียรภาพในภูมิภาคและสร้างความไว้วางใจจากประชาชนได้อย่างมั่นคง
ประการที่สอง – พัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและทั่วถึง
เพื่อให้อาเซียนตอบสนองต่อประชาชนได้จริง สันติภาพต้องเดินควบคู่ไปกับความมั่งคั่งที่ยั่งยืน โดยที่ผ่านมาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่มีพลวัตการเติบโตเร็วที่สุดของโลก แต่เราต้องตระหนักว่าการเติบโตที่ไร้ซึ่งความยั่งยืนนั้นย่อมไม่คงทนถาวร เพราะฉะนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจต้องเดินคู่กับการปกป้องดูแลสิ่งแวดล้อมด้วย และประชาชนก็ไม่ได้ต้องการแค่จะมีงาน มีโอกาส หรือมีรายได้เพิ่มเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องการอากาศสะอาด น้ำสะอาด รวมไปถึงอนาคตของลูกหลานที่ไม่ต้องถูกคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เพราะฉะนั้น อาเซียนต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พลังงานหมุนเวียน อุตสาหกรรมสีเขียว เกษตรกรรม-ประมงที่ยั่งยืน รวมถึงการเตรียมความพร้อมและลดความเสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติ และเรายังต้องยกระดับความพยายามในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปกป้องความหลากหลายทางชีววิทยา ซึ่งมีความสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพลเมืองอาเซียนหลายล้านคน
อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน คือเราต้องใช้โอกาสจากยุคดิจิทัล โดยต้องทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ ได้อย่างถ้วนหน้า ซึ่งรวมไปถึงคนระดับรากหญ้า และกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและกลาง นอกจากนี้อาเซียนยังต้องเร่งผลักดันกรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (ASEAN Digital Economy Framework Agreement) และการออกแบบหลักธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบด้าน AI ทั้งหมดนี้จะทำให้เทคโนโลยีสามารถเป็นเครื่องมือในการสร้างผลประโยชน์อย่างทั่วถึง ไม่ใช่การสร้างความเหลื่อมล้ำ
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ชาติอาเซียนต้องทำร่วมกัน เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่แข่งขันได้ ยั่งยืน เป็นธรรม และเติบโตได้โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และไม่ทิ้งโลกเราไว้ข้างหลัง
ประการที่สาม – การสร้างอาเซียนที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง
แม้การเติบโตทางเศรษฐกิจจะยั่งยืนเพียงใด แต่หากประชาชนรู้สึกถูกกีดกันออกจากการมีส่วนร่วม นั่นก็คือความล้มเหลว โดยวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน 2045 (ASEAN Community Vision 2045) ได้ยึดหลักการมองประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมยืนยันว่า “ต้องวางประชาชนเป็นหัวใจของการสร้างประชาคม และต้องรับประกันการมีส่วนร่วมของพวกเขา”
ประเด็นนี้มีนัยสำคัญอยู่สองอย่าง คือหนึ่ง การทำงานของอาเซียนต้องเปิดกว้างและทั่วถึง การคำนึงถึงความมั่งคั่งอย่างเดียวเพียงพอ แต่ต้องคุ้มครองศักดิ์ศรี สิทธิ และคุณภาพชีวิตของผู้คน นอกจากนี้ยังต้องเสริมสร้างบทบาทของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนอาเซียน (AICHR) ให้เข้มแข็ง ไม่ใช่เพียงในแง่การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่รวมถึงการปกป้องสิทธมนุษยชนด้วย ซึ่งต้องทำไปควบคู่กับการขยายโอกาสให้เยาวชนและผู้หญิง การรับประกันคุณภาพชีวิตคนสูงวัย และการขยายโอกาสการเข้าถึงระบบการศึกษา การพัฒนาทักษะ ความมั่นคงทางสุขภาพ ที่มีคุณภาพ ทั้งยังต้องพัฒนาระบบคุ้มครองทางสังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
สอง ประชาชนต้องมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนวาระและกระบวนการต่างๆ ของอาเซียนมากขึ้น โดยตัวอย่างที่ดีคือการมีเวทีภาคประชาสังคม เช่น ASEAN Civil Society Conference, ASEAN People’s Forum รวมถึง ASEAN for the Peoples Conference ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยปิดช่องว่างระหว่างนโยบายกับประสบการณ์ชีวิตจริงของประชาชน อาเซียนต้องสนับสนุนให้เกิดแพลตฟอร์มเหล่านี้อันเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ประชาชนได้ส่งเสียงเพื่อไปสู่การพัฒนาทั้งสามเสาหลักของอาเซียน ที่สุดแล้ว อาเซียนจะก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ โดยไม่ฟังและไม่ทำงานร่วมกับประชาชน การสร้างพันธมิตรเช่นนี้จะช่วยขยายระบบนิเวศแห่งความไว้วางใจ ที่สนับสนุนเป้าหมายระยะยาวของอาเซียน
…………
อนาคตของอาเซียนจะไม่ถูกเขียนขึ้นโดยรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว แต่จะถูกสร้างโดยพวกเราทุกคน ซึ่งหากอาเซียนจะเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน รัฐบาลต้องรับฟังมากขึ้น ภาคประชาสังคมต้องเสนอแนวคิดและส่งพลัง ชุมชนต้องใช้ความหลากหลายเป็นพลัง และคนรุ่นใหม่ต้องรู้สึกว่าอาเซียนเป็นของพวกเขา
สรุปสั้นๆ คือ “จงทำให้อาเซียนมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของผู้คน”

พร้อมอำนวยความสะดวกเจรจาเมียนมา – เรียกร้องกัมพูชาร่วมเดินบนหลักสันติภาพ
ในกรณีวิกฤตเมียนมานั้น ทุกประเทศสมาชิกอาเซียนต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน คือการเห็นเมียนมา ที่สงบ มั่นคง และเป็นหนึ่งเดียว
เรายังรับรู้ถึงแผนของรัฐบาลในเนปิดอว์ที่จะจัดการเลือกตั้งภายในสิ้นปีนี้ แต่ในมุมมองของเรา การเลือกตั้งไม่ใช่ปลายทางของกระบวนการ หากแต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการสันติภาพที่กว้างกว่านั้น ซึ่งที่สุดแล้วสันติภาพที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ เมื่อมีการเจรจาและการปรองดอง และยังต้องมาจากอำนาจการตัดสินใจของประชาชนชาวเมียนมาเอง ซึ่งหากโอกาสมาถึง ประเทศไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ก็พร้อมที่จะมีบทบาทในการอำนวยความสะดวกเพื่อให้เกิดการเจรจาสันติภาพระหว่างทุกฝ่าย
อีกประเด็นที่อยากกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคของเรา คือข้อพิพาทไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองในประเทศ
ในกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชา ทุกคนทราบดีว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน จากที่ก่อนหน้านี้ ประชาชนเหล่านี้มักอยู่ร่วมกันอย่างสงบ มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นทั้งทางเครือญาติ วัฒนธรรม และการค้าข้ามพรมแดน ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องจัดการกับข้อพิพาทด้วยปัญญาและความยับยั้งชั่งใจ โดยให้ความสำคัญกับการเจรจาและความร่วมมือระหว่างประชาชนกับประชาชน
เรื่องนี้คือผลประโยชน์ร่วมของประชาชนทั้งสองชาติ โดยเฉพาะของเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของภูมิภาคนี้ เราหวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะร่วมเดินไปกับเราในเส้นทางแห่งการเจรจาและสันติภาพ เพราะทางเลือกอื่นนอกจากนั้น จะมีแต่นำมาซึ่งความขัดแย้งและความสูญเสียที่มากขึ้นสำหรับทั้งสองฝ่าย
[เนื้อความช่วงนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อเสนอประการแรกของสีหศักดิ์ในเรื่อง ‘ธำรงสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค’]อาเซียนต้องทำมากกว่าเพียงเปิดโต๊ะเจรจาให้ชาตินอกภูมิภาค
[เนื้อความช่วงนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อเสนอประการแรกของสีหศักดิ์ในเรื่อง ‘ธำรงสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค’]เมื่อมองออกไปไกลกว่าแค่ภูมิภาคของเรา อาเซียนต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของตนในโลกที่กำลังแตกแยกมากขึ้นเรื่อยๆ เรามักกล่าวกันอยู่บ่อยครั้งว่า หนึ่งในจุดแข็งที่สุดของอาเซียนคือ convening power หรือความสามารถในการเชิญชวนประเทศต่างๆ ในภูมิภาค รวมถึงมหาอำนาจส่วนใหญ่ ให้มานั่งโต๊ะเจรจาร่วมกัน แต่ในโลกปัจจุบัน เพียงเท่านี้ไม่เพียงพออีกต่อไป แต่อาเซียนต้องทำสิ่งที่บังเกิดผลขึ้นมาจริงได้
นอกจากนี้ เรามักย้ำเสมอว่ากลไกที่อาเซียนเป็นผู้นำ เช่น East Asia Summit (EAS) และ ASEAN Regional Forum (ARF) คือเสาหลักของความมั่นคงระดับภูมิภาค แต่เราก็ต้องมาตั้งคำถามว่า เราทำหน้าที่นั้นได้เต็มที่จริงหรือยัง ซึ่งหากเราต้องการให้กลไกเหล่านี้มีอาเซียนเป็นผู้นำการขับเคลื่อนอย่างแท้จริง อาเซียนต้องยึดมั่นในบทบาทของการเป็นผู้ควบคุมกำหนดวาระให้มั่น ต้องกำหนดประเด็นอย่างถูกต้อง และมีบทบาทในการสร้างการเจรจาเชิงสร้างสรรค์กับมหาอำนาจต่างๆ เพื่อนำไปสู่การลงมือทำอะไรบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อภูมิภาคของเรา
ภาคประชาสังคม-รัฐ ต้องทำงานร่วมกันเพื่อประชาชน
ในหลายประเทศทั่วโลกตอนนี้ เห็นได้ว่าประชาชนมีความไม่พอใจต่อกลุ่มผู้มีอำนาจและระบบการเมืองเก่าอยู่มาก และนักการเมืองดูเหมือนจะไม่ดำเนินการสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนมากนัก เพราะฉะนั้นภาคประชาสังคมจึงต้องตั้งคำถามว่าตนจะมีบทบาทช่วยขับเคลื่อนความรู้สึกและผลประโยชน์ของประชาชนระดับรากหญ้าให้ไปถึงรัฐบาลได้อย่างไร
นอกจากนี้ เราควรมองว่าภาคประชาสังคมกับรัฐบาลไม่ใช่คู่ขัดแย้งกัน เพราะที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายมักมีความระหองระแหงกันอยู่บ่อยครั้ง และบางครั้งรัฐบาลเองก็อาจไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการประชาชนมากนัก และยังไม่เปิดพื้นที่รับฟังเสียงประชาชน ขณะที่สิ่งที่ภาคประชาสังคมเรียกร้องก็อาจไม่สามารถปฏิบัติได้จริง เพราะฉะนั้นทั้งสองฝ่ายจึงต้องมาคิดว่าจะทำงานร่วมกันได้อย่างไร และมันก็จำเป็นที่ต้องทำให้เกิดการพูดคุยสนทนาระหว่างกันอย่างแท้จริง โดยเปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนดนโยบาย ซึ่งภาคประชาสังคมเองก็ต้องเข้าใจด้วยว่าทุกอย่างมีข้อจำกัดของมันอยู่ ถ้าเราทำได้เช่นนั้น เราจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนได้
[เนื้อความช่วงนี้มาจากช่วงถาม-ตอบกับผู้ร่วมงาน]สนับสนุนเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่
ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว อย่างในประเทศไทยเอง ในเชิงการเมืองก็ได้แปรเปลี่ยนจากความขัดแย้งแบบเสื้อเหลือง-เสื้อแดง ไปเป็นความแตกแยกระหว่างกลุ่มอำนาจเดิมกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเราก็ได้เห็นว่าคนหนุ่มสาวต้องการที่จะมีบทบาทในการสร้างความเปลี่ยนแปลง และมีความกระตือรือร้นที่จะทำอะไรบางอย่าง
อีกไม่นานคนรุ่นผมก็จะค่อยๆ ลาหายไปจากเวทีการเมือง เปลี่ยนผ่านให้คนรุ่นใหม่เข้ามารับผิดชอบแทน ซึ่งตอนนี้เทรนด์นี้ก็เริ่มเกิดขึ้นแล้ว และผมก็สนับสนุนอย่างเต็มที่ เราทุกคนมีหน้าที่เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ทั้งในเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของเรา เพราะอนาคตของภูมิภาคนี้อยู่ในมือของพวกเขา
[เนื้อความช่วงนี้มาจากช่วงถาม-ตอบกับผู้ร่วมงาน]