ไม่กี่วันหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรกในเดือนพฤศจิกายน 2016 แซลลี ไทเลอร์ (Sally Tylor) ผู้เป็นทนายความและนักวิเคราะห์ด้านนโยบายหญิงชาวอเมริกัน ก็ได้เดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมกับในหัวที่ครุ่นคิดว่าทำไมผลการเลือกตั้งถึงออกมาเช่นนี้
ขณะเดียวกันไทเลอร์ก็สังเกตเห็นว่าหลายๆ ปรากฏการณ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงนั้นก็ดูคล้ายจะมีความเชื่อมโยงบางอย่างกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทรนด์ความถดถอยของประชาธิปไตย ประกอบกับเทรนด์ความนิยมในผู้นำฝ่ายขวาที่ดุดันแข็งกร้าว ดังเช่นอดีตประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตร์เต (Rodrigo Duterte) แห่งฟิลิปปินส์ที่ชนะเลือกตั้งก่อนหน้าทรัมป์แค่ราวครึ่งปี รวมไปถึงกระแสธารความคิดชาตินิยมและศาสนานิยมที่ดูจะมาแรงขึ้นในหมู่ประชาชนหลายประเทศ
เหตุการณ์เหล่านี้ประกอบกับความสนใจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอยู่เป็นทุนเดิมจุดประกายให้ไทเลอร์เฝ้าติดตามและวิเคราะห์พลวัตของภูมิภาคแห่งนี้เทียบเคียงไปกับความเป็นไปของสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ตลอดระยะเวลาสี่ปีของการดำรงตำแหน่ง จนในที่สุดเธอสามารถรวบรวมความคิดออกมาในรูปหนังสือที่ชื่อ ‘The Durian Chronicles: Reflections on the US and Southeast Asia in the Trump Era’ ซึ่งเผยแพร่ในช่วงราวปีกว่าๆ หลังจากที่ทรัมป์สิ้นสุดวาระดำรงตำแหน่งและเปลี่ยนผ่านสู่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน (Joe Biden)
กาลเวลาล่วงผ่านมาสู่เดือนพฤศจิกายน 2024 ทรัมป์กลับมาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ขณะที่ไทเลอร์ก็พบว่าตัวเองมาอยู่ที่ไทยไม่นานหลังจากนั้นเช่นเดิม เสมือนว่ากงล้อแห่งประวัติศาสตร์ได้หมุนเวียนย้ำซ้ำรอยเดิม
ในการเดินทางมาไทยรอบนี้ เรานัดหมายไทเลอร์มานั่งพูดคุยกันถึงผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ล่าสุด ชวนเธอคิดว่าเพราะอะไรคนอเมริกันถึงต้องการให้ทรัมป์กลับมาอีกครั้งหลังจากที่เว้นว่างจากตำแหน่งไปสี่ปีเต็ม ใช่ว่าเพราะสังคมการเมืองอเมริกันยังก้าวไม่พ้นอะไรบางอย่างไปได้หรือไม่ ขณะเดียวกันเมื่อมองข้ามซีกโลกมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไทย เธอมองเห็นความเปลี่ยนแปลงหรือไม่เปลี่ยนแปลงอะไรบ้างจากหนังสือของเธอ และมีนัยอะไรบ้างที่จะเกิดขึ้นต่อภูมิภาคจากการกลับมาของทรัมป์ในรอบนี้ เสมือนว่าเรากำลังชวนเธอเริ่มคิดเนื้อหาภาคต่อของ The Durian Chronicles อยู่กลายๆ
วันโอวันชวนทุกคนทำความเข้าใจพลวัตความเป็นไปของทั้งฝั่งสหรัฐฯ และฝั่งอาเซียนของเราจากมุมมองของไทเลอร์ ก่อนที่ ‘ทรัมป์ 2.0’ (และ The Durian Chronicles 2.0) กำลังจะเปิดฉากในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
(หมายเหตุ: สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2024)

อะไรทำให้คุณเขียนหนังสือ The Durian Chronicles และชื่อหนังสือนี้มีที่มาจากอะไร
ส่วนตัวแล้วฉันมีความสนใจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายาวนาน และได้เดินทางมาในประเทศแถบนี้บ่อย พร้อมๆ กับได้มิตรภาพและความสัมพันธ์ใหม่ๆ กับคนที่นี่เยอะมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันเป็นภูมิภาคที่ฉันหลงรักและเป็นภูมิภาคที่สำคัญกับฉันมาก แม้ในเวลาที่ฉันกลับไปอยู่ที่สหรัฐฯ ฉันก็ยังพากเพียรศึกษาเกี่ยวกับภูมิภาคนี้อย่างหนักทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการเมือง ซึ่งทำให้ฉันได้เฝ้าสังเกตความเป็นไปของภูมิภาคนี้มาตลอด และที่สำคัญคือฉันได้สังเกตเห็นถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างภูมิภาคนี้กับสหรัฐฯ เองในหลายแง่มุม แม้สองแห่งนี้จะมีอะไรที่ต่างกันอยู่มากก็ตาม
ย้อนไปปี 2016 หลังจากที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งไม่นาน ฉันได้เดินทางมาที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อพักผ่อนและเติมพลังเหมือนที่ฉันทำเป็นประจำ และที่เดินทางมาครั้งนั้นก็เป็นเพราะรู้สึกผิดหวังกับผลการเลือกตั้งที่ออกมา เลยอยากมาพักใจ และระหว่างนั้นฉันก็เริ่มเกิดไอเดียในการเขียนหนังสือขึ้นมาจากการที่ได้เห็นความเชื่อมโยงอะไรบางอย่างระหว่างการเมืองสหรัฐฯ และการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในตอนนั้น โดยตอนแรกฉันก็ได้เริ่มเขียนเป็นบทความส่งไปตีพิมพ์ในเว็บไซต์ เริ่มจาก New Mandala, Policy Forum ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australia National University), Mekong Review และที่อื่นๆ ก่อนที่ต่อมาทางสำนักพิมพ์จะเสนอให้ฉันเอาบทความเหล่านั้นมารวมเล่มเป็นหนังสือ และเพิ่มเนื้อหาใหม่ๆ เข้าไปเติมบ้าง ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่ทรัมป์กำลังจะหมดวาระพอดี จึงเสมือนว่าหนังสือเล่มนี้เป็นการสรุปรวบยอดยุคทรัมป์ทั้งหมดและชวนมองอนาคตหลังจากนั้น
ส่วนเหตุผลที่ตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ว่า The Durian Chronicles เป็นเพราะทุกคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คุ้นเคยกับทุเรียนกันอยู่แล้วในฐานะที่เป็นผลไม้ชื่อดัง และสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของมันคือมันมีรสชาติที่หวานมาก แต่ขณะเดียวกันก็มีกลิ่นเหม็นมากเหมือนกัน แต่ความหวานกับความเหม็นนี้กลับอยู่ด้วยกันได้ เพราะฉะนั้นฉันเลยมองว่าทุเรียนเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของ ‘ความย้อนแย้ง’ ซึ่งถ้าเปรียบกับการเมืองยุคสมัยปัจจุบันในหลายประเทศ อย่างการเมืองสหรัฐฯ เอง เราจะเห็นว่าแม้สหรัฐฯ จะให้ความสำคัญกับคุณค่าประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม แต่คนอเมริกันกลับเลือกคนที่ไม่ได้ให้คุณค่ากับทั้งสองสิ่งนี้เลย นี่ล่ะคือความย้อนแย้ง เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ว่า The Durian Chronicles

ปี 2016 หลังจากที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง คุณเดินทางมาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงไทย และวันนี้คุณก็มาที่นี่หลังจากที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้งเหมือนกัน อยากรู้ว่าความรู้สึกของคุณในวันนี้เหมือนกับตอนแปดปีก่อนไหม หรือมีอะไรที่คุณมองต่างออกไป
สำหรับฉัน ผลเลือกตั้งที่ออกมาครั้งนี้ถือว่าน่าสนใจ อย่างหนึ่งคือมันตอกย้ำว่าคนอเมริกันจำนวนมากไม่ได้ตัดสินใจเลือกบนฐานนโยบาย คือด้วยความที่ฉันเป็นคนในแวดวงนโยบาย ฉันก็อยากให้คนมองเรื่องนโยบายเป็นสำคัญ แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะคนอเมริกันตัดสินใจเลือกผู้สมัครที่สามารถโน้มน้าวอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาได้มากกว่าต่างหาก ซึ่งปรากฏว่าทรัมป์ทำแบบนี้ได้ดีมาก เขาสามารถใช้วาทกรรมที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ และมีความอำนาจนิยมอยู่ ซึ่งมันสามารถเข้าถึงใจผู้คนได้อย่างดี เพราะขณะเดียวกันคนอเมริกันก็กำลังรู้สึกว่าประเทศเดินมาผิดทางอยู่ พวกเขาเลยรู้สึกมั่นใจว่าทรัมป์จะพาประเทศกลับมาในร่องในรอยได้
ตามที่ฉันเขียนในหนังสือและตามที่ฉันได้บอกก่อนหน้านี้ การเลือกตั้งในปี 2016 นั้นเป็นเรื่องของความย้อนแย้งในตัวคนอเมริกัน คำพูดกับการกระทำพวกเขามันขัดแย้งกัน คือพูดว่าให้คุณค่ากับสิ่งหนึ่ง แต่การกระทำจริงสวนทาง และฉันคิดว่าสหรัฐฯ เป็นชาติแห่งนักปฏิบัติ (nation of doers) เพราะฉะนั้นทันทีที่การเลือกตั้งเสร็จสิ้นลง คนอเมริกันจึงเดินหน้าชีวิตต่อไปทันที แต่เป็นการเดินหน้าโดยที่ไม่ได้เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ไม่ได้ถอดบทเรียนและครุ่นคิดอะไรจากมัน ที่สุดมันก็เป็นไปตามคำที่บอกไว้ว่าคนที่ไม่เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ย่อมมีแนวโน้มที่จะเดินซ้ำรอยความผิดพลาดเดิม เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้ก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง
หลายคนชี้ว่าปัจจัยด้านเศรษฐกิจมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจของคนอเมริกันในการเลือกตั้งที่ผ่านมา คุณคิดอย่างนั้นไหม
อันที่จริงฉันว่าโจ ไบเดนก็ทำได้ดีในแง่เศรษฐกิจ เห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ผ่านมาที่ออกมาดูดีมาก เช่น อัตราการว่างงานที่อยู่ต่ำกว่าร้อยละ 4 มาเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 มันเป็นตัวเลขที่ดูดี แต่ปัญหาคือประชาชนกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เพราะเหตุผลหนึ่งคือต้องอย่าลืมว่าตอนไบเดนเข้ามา เขาต้องเผชิญโจทย์เรื่องการกอบกู้เศรษฐกิจจากการระบาดของโควิด-19 นำไปสู่การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ แต่ผลข้างเคียงของมาตรการที่ตามมาคือภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนอเมริกันหลายคน และพรรคเดโมแครตเองก็ประเมินความไม่พอใจของคนในเรื่องนี้ต่ำเกินไป ซึ่งฉันว่านี่คือปัจจัยหลักที่ทำให้เดโมแครตแพ้การเลือกตั้งครั้งนี้
คุณว่ามีปัจจัยอื่นๆ อีกไหมที่ทำให้เดโมแครตแพ้
ย้ำอีกครั้งคือฉันยังมองว่าการประเมินความรู้สึกของคนต่อภาวะเงินเฟ้อต่ำเกินไปคือปัจจัยสำคัญ แต่ถ้ามองในภาพใหญ่ของแคมเปญหาเสียงของเดโมแครตแล้ว ฉันว่าคงไม่ได้มีข้อผิดพลาดอะไรมากมายขนาดนั้น เห็นได้จากคะแนนป็อปปูลาร์โหวตระหว่างสองพรรคที่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ถือว่าห่างกันมากนัก
แต่จะว่าไปแล้วก็ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งคือการที่ไบเดนถอนตัวจากการลงชิงตำแหน่งช้าเกินไป ทำให้กมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) ไม่มีเวลาที่จะแสดงตัวตนและสั่งสมความนิยมได้มากนัก และถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมา ฉันว่าอีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะยังมีคนจำนวนมากยังไม่อยากเลือกให้ผู้หญิงเป็นประธานาธิบดี แม้บางคนจะไม่ยอมรับว่าตัวเองใช้ปัจจัยนี้เป็นตัวตัดสินใจตามตรงก็ตาม แต่ฉันเชื่อว่าใช่

ภาพจาก CHIP SOMODEVILLA / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP
ปรากฏการณ์หนึ่งที่น่าสนใจคือมีบรรดาคนกลุ่มน้อยในสหรัฐฯ อย่างคนผิวดำ คนเอเชีย และคนละติน ที่หันไปเลือกทรัมป์ ประกอบกับเบอร์นี แซนเดอร์ส (Bernie Sanders – วุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครต) บอกว่าที่เดโมแครตแพ้เป็นเพราะทอดทิ้งแรงงาน รวมถึงแรงงานที่มาจากคนกลุ่มน้อยเหล่านี้ คุณคิดอย่างไร
ฉันไม่คิดว่าพรรคเดโมแครตทอดทิ้งแรงงาน ส่วนตัวฉันมีความนับถือในตัวแซนเดอร์ส แต่ฉันก็เห็นต่างจากเขา เพราะจากที่ฉันทำงานในเรื่องนโยบายแรงงานมาตลอด ฉันเห็นว่าเดโมแครตมีนโยบายที่ส่งเสริมแรงงานอยู่เยอะมาก แต่มันมีประเด็นปัญหารากฐานคือว่าแรงงานอเมริกันแค่ 12% เท่านั้นที่มีโอกาสได้อยู่ในสหภาพแรงงาน ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ และคนกลุ่มนี้เองที่ต้องเผชิญความยากลำบากทางเศรษฐกิจหนักกว่าในภาวะที่ต้องเผชิญเงินเฟ้อสูง ด้วยความที่มีพื้นฐานรายได้ต่ำกว่าและยังมีหลักประกันความมั่นคงในอาชีพน้อยกว่า ซึ่งฉันว่าทางออกของเรื่องนี้คือการทำให้แรงงานอเมริกันสามารถเข้าสู่สหภาพแรงงานได้ง่ายขึ้น
ขณะที่ในฝั่งคนกลุ่มน้อยก็เช่นกัน ส่วนมากแล้วพวกเขาเป็นแรงงานที่ต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อและได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้พวกเขารู้สึกหัวเสียและหมดหวัง เลยตัดสินใจโหวตให้คนที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงและทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจกลับไปสู่ภาวะปกติได้ มันก็ยังคงสะท้อนว่าเดโมแครตประเมินบาดแผลทางเศรษฐกิจของคนต่ำไป
ถ้าย้อนไปอ่านในบทสุดท้ายของหนังสือ คุณคาดการณ์ไว้ว่าการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่ถูกใจคน อาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ไบเดนได้เป็นประธานาธิบดีแค่สมัยเดียว แล้วในวันนี้ที่ไบเดนใกล้หมดวาระแล้ว คุณว่านโยบายต่างประเทศเป็นสาเหตุของความพ่ายแพ้ของเดโมแครตจริงไหม
โดยพื้นฐานแล้วประธานาธิบดีสหรัฐฯ มักต้องเผชิญความยากในการดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศให้คงเส้นคงวาไปตลอดทั้งวาระการดำรงตำแหน่ง เพราะนโยบายต่างย่อมมีปัจจัยข้องเกี่ยวกับประเทศและตัวแสดงอื่นๆ มากมาย ซึ่งอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ในพื้นที่ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม และความไม่แน่นอนนี้เองก็ทำให้นโยบายต่างประเทศมักต้องเขวไปจากที่วางกันไว้แต่แรกของการเข้ารับตำแหน่ง
ในสมัยไบเดน สหรัฐฯ ก็ต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับความขัดแย้งในโลกหลายจุด เช่น สงครามในยูเครน ซึ่งสหรัฐฯ ก็ต้องส่งความช่วยเหลือให้กับพันธมิตรต่างๆ แต่เมื่อความขัดแย้งยืดเยื้อไปเรื่อยๆ มันก็นำไปสู่ความเหนื่อยล้าอ่อนแรงขึ้นเรื่อยๆ สำหรับคนอเมริกันที่รู้สึกว่า ทรัพยากรของประเทศถูกทุ่มไปกับความขัดแย้งนอกประเทศมากเกินไปขณะที่คนในประเทศเองยังไม่ได้รับการแก้ปัญหาหลายอย่าง ทำให้คนรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ถ้ามองกว้างออกไปจากสหรัฐฯ คุณว่าผลเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้สะท้อนภาพใหญ่อะไรในการเมืองโลกปัจจุบันบ้าง
มันคือบริบทที่ทั่วโลกอยู่ภายใต้ช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อย่างที่เราเห็นได้ชัดในยุโรปตะวันตกที่มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและความไม่แน่นอนสูงมาก และเกิดปัญหามากมาย มันทำให้ประชาชนรู้สึกไม่มั่นคงและต้องการให้ทุกอย่างกลับมาในร่องรอย เพราะฉะนั้นคนที่ชูวาทกรรมพาประเทศกลับคืนสู่ความปกติได้ก็จะดึงดูดใจผู้คนมากเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นแบบนี้คล้ายๆ กันในหลายประเทศ และนั่นนำมาสู่การที่คนต้องการผู้นำที่มีลักษณะแข็งแกร่ง (strongman) และมุ่งหันกลับมาทำให้ประเทศตัวเองเข้มแข็งอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็เชื่อมโยงกับปรากฏการณ์การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ และฉันคิดว่าการขึ้นมาของทรัมป์ก็จะยิ่งซ้ำเติมเรื่องนี้ โดยเฉพาะการถอนตัวหรือถอนการสนับสนุนออกจากองค์กรพหุภาคีต่างๆ ซึ่งมันไม่เป็นผลดีในช่วงเวลาที่โลกกำลังต้องการการร่วมมือกันในระดับนานาชาติเพื่อแก้ปัญหาหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งถ้าสหรัฐฯ ถอยออกมาในเรื่องนี้แล้ว ทุกประเทศบนโลกก็จะได้รับผลเสียหมด
แต่ฉันไม่รู้ว่าคุณเคยได้ยินไหมกับคำพูดที่ว่า เมื่อยาสีฟันถูกบีบออกจากหลอดแล้ว มันไม่มีทางที่จะเอายาสีฟันกลับเข้าไปในหลอดได้ โลกาภิวัตน์ก็เป็นเช่นนั้น ทุกวันนี้แต่ละประเทศบนโลกมีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ขาดไปแล้ว การปลีกตัวเองออกจากชาติอื่นๆ จึงย่อมไม่ใช่หนทางที่จะได้ผลในศตวรรษที่ 21
แล้วสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คุณว่าผลเลือกตั้งสหรัฐฯ นี้มีนัยอะไร
อย่างที่บอกไปแล้วว่าทรัมป์จะถอยออกมาจากองค์กรและข้อตกลงพหุภาคีต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะมีผลกระทบถึงภูมิภาคนี้หลายมิติ หนึ่งในนั้นคือเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะฉันว่าทรัมป์ก็จะพยายามพาสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากความตกลงปารีส (Paris Agreement) ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีก แต่ที่นอกเหนือจากนั้น มันยังมีข้อตกลงระดับพหุภาคีอื่นๆ ในเรื่องนี้ที่เล็กลงมาด้วย เช่น International Partners Group (IPG) ที่มีสมาชิกส่วนมากเป็นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในซีกโลกตะวันตก ประเทศเหล่านี้รวมกลุ่มกันเพื่อช่วยสนับสนุนเงินทุนสำหรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานแก่ประเทศอื่น อย่างเวียดนามและอินโดนีเซียก็เป็นประเทศที่รับการสนับสนุนจากองค์กรนี้ แต่เมื่อทรัมป์เข้ามา ฉันก็สังหรณ์ใจว่าเขาจะไม่จ่ายเงินสนับสนุนเข้าโครงการนี้อีก แม้ว่าจะมีข้อผูกมัดอยู่ก็ตาม แต่เชื่อว่าทรัมป์จะพยายามถอย
นอกจากนี้มันมีประเด็นหนึ่งที่เพื่อนคนไทยของฉันบางคนพูดและรู้สึกว่าน่าสนใจ คือเขามองว่าคนไทยคงอยากให้พรรครีพับลิกันครองอำนาจการเมืองสหรัฐฯ มากกว่า เพราะเหตุผลหนึ่งคือรัฐบาลเดโมแครตชอบตั้งกฎเกณฑ์ข้อบังคับต่างๆ ออกมาเยอะโดยเฉพาะในเรื่องธุรกิจการค้า ที่มักนำเอามาตรฐานเกี่ยวกับเรื่องสิทธิแรงงาน สิ่งแวดล้อม และความเป็นประชาธิปไตยเข้ามาข้องเกี่ยว ซึ่งก็เป็นไปได้ว่ารัฐบาลทรัมป์จะไม่ให้ความสำคัญในเรื่องพวกนี้ แต่ฉันก็อยากให้คนเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ สมมติว่าฉันเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วจะซื้อกุ้งแช่แข็งที่มาจากประเทศไทย ฉันก็อยากแน่ใจได้ว่าเบื้องหลังการผลิตมันได้มาตรฐานจริง แรงงานที่ทำการผลิตไม่ถูกกดขี่ ได้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม แต่ฉันว่าทรัมป์ไม่น่ามองในมุมนี้ เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยขนาดนั้น ซึ่งไม่ใช่แค่ในแง่ธุรกิจ แต่รวมถึงแง่อื่นๆ อย่างการเมือง เพราะฉะนั้นมันมีนัยในเรื่องการตอกย้ำภาพความถดถอยของประชาธิปไตยด้วยเหมือนกัน
ถ้าย้อนไปในสมัยแรกของทรัมป์ เขาถูกมองว่าไม่ได้ให้ความสนใจกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากนัก คุณว่าในสมัยที่สองของเขาก็จะเป็นเช่นนี้ไหม แล้วมันจะส่งผลอะไรต่อภูมิภาคนี้ในขณะที่หลายประเทศกำลังต้องการการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ในการเผชิญหน้าความท้าทายบางเรื่อง เช่น เรื่องข้อพิพาททะเลจีนใต้
ในช่วงสมัยแรกของรัฐบาลทรัมป์ มันเป็นสมัยที่มีความสับสนวุ่นวายในการบริหารงานอยู่มาก ซึ่งมันทำให้เกิดตำแหน่งงานของเจ้าหน้าที่รัฐในหน่วยงานต่างๆ ที่ว่างลงและไม่มีการแต่งตั้งคนใหม่เข้ามาแทนที่มากนัก รวมถึงในกระทรวงต่างประเทศเอง เพราะฉะนั้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วงเวลานั้น เราเลยได้เห็นตำแหน่งเอกอัครราชทูตหรือนักการทูตในบางประเทศที่ว่างลงและไม่มีการแต่งตั้งคนใหม่มารับหน้าที่แทน ซึ่งต่อมารัฐบาลไบเดนก็ได้เดินหน้าเติมคนเข้าในตำแหน่งงานเหล่านั้นเป็นจำนวนมาก ทำให้มันกลับมาเป็นปกติ และฉันมองว่ารัฐบาลทรัมป์ในสมัยที่สองน่าจะได้เรียนรู้ถึงเกี่ยวกับการบริหารงานรัฐดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว จึงคิดว่ามันไม่น่าจะมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นอีกในสมัยสองของทรัมป์ แต่ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
ส่วนเรื่องทะเลจีนใต้ แน่นอนว่ามันจะยังคงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับสหรัฐฯ แต่ฉันก็ยังไม่เคยได้ยินทรัมป์พูดถึงประเด็นนี้ เลยไม่รู้ว่าทรัมป์ได้ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องทะเลจีนใต้นี้บ้างหรือเปล่า อย่างไรก็ตามประเด็นทะเลจีนใต้ถือเป็นส่วนสำคัญของยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง (Free and Open Indo-Pacific) ที่ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของสหรัฐฯ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะยังคงเป็นเรื่องสำคัญต่อไปในรัฐบาลทรัมป์ แต่ฉันก็ไม่คิดว่าสหรัฐฯ จะต้องการยั่วยุให้เกิดการเผชิญหน้ากับกองทัพเรือจีนโดยตรง เพียงแต่จะยังคงหนุนหลังประเทศอย่างฟิลิปปินส์และเวียดนาม ในการรักษาสิทธิทางอธิปไตยและผลประโยชน์เหนือพื้นที่พิพาททะเลจีนใต้ต่อไป

ขอเจาะลงมาที่ประเทศไทยบ้าง เนื่องจากคุณก็เคยเขียนเปรียบเทียบการเมืองไทยกับการเมืองสหรัฐฯ อยู่ แต่วันนี้คุณน่าจะเห็นว่าการเมืองไทยเปลี่ยนไปจากหลายปีก่อนเยอะมาก เพราะฉะนั้นถ้าให้คุณเปรียบเทียบการเมืองไทยกับสหรัฐฯ ใหม่ในตอนนี้ คุณน่าจะเล่าออกมาได้ในแง่มุมไหน
สิ่งที่ยังคงเหมือนกันระหว่างไทยและสหรัฐฯ คือการแบ่งขั้วทางการเมืองที่รุนแรง อย่างในไทยเอง ฉันมีเพื่อนฝูงหลายคนที่มีแนวคิดทางการเมืองหลากหลายเฉดสีมาก แล้วเวลาฉันถามพวกเขาแต่ละคนด้วยคำถามเดียวกัน ฉันก็มักได้รับคำตอบที่แตกต่างกันแบบสิ้นเชิง ซึ่งในสหรัฐฯ ก็กำลังเป็นเช่นนั้น
แต่ความเปลี่ยนแปลงหนึ่งในการเมืองไทยวันนี้ที่โดดเด่นก็คือการกลับมาของทักษิณ ชินวัตร ซึ่งก่อนหน้านี้ฉันเคยเขียนบทความเปรียบเทียบระหว่างทักษิณกับทรัมป์ไว้ในปี 2016 เพราะสองคนนี้มีความคล้ายคลึงกันหลายอย่าง ทั้งความเล่นกับสื่อเป็น ความฉลาดในการสร้างกระแสและวาทกรรมได้อย่างทรงพลัง รวมทั้งการมีภาพลักษณ์ของความเป็นบุคคลที่สร้างตัวและทะยานขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง และที่สำคัญคือทั้งสองคนสามารถเอาชนะใจประชาชนกลุ่มที่ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากการเมืองเหมือนกัน
และตอนนี้เราเห็นได้ว่าทั้งสองคนกำลังกลับมาสู่หน้าฉากทางการเมืองได้อย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งแบบพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นอะไรที่น่าจับตามองมาก
แต่ถ้าเทียบจากตอนที่คุณเขียนบทความเรื่องนี้ สถานะของทักษิณเปลี่ยนไปมากแล้ว คุณคิดว่าวันนี้เรายังเปรียบเทียบทรัมป์กับทักษิณได้อยู่ไหม
ฉันว่าก็ยังเปรียบเทียบได้อยู่ คือก่อนหน้านี้ทักษิณถูกมองในฐานะคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับชนชั้นนำ แต่ตอนนี้เขาได้ถูกชนชั้นนำพาเข้าไปเป็นพวกแล้ว ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการทะยานขึ้นมาของพรรคอนาคตใหม่ ที่ต่อมากลายเป็นพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชน ทำให้ชนชั้นนำต้องเลือกเอาคนที่เป็นภัยกับตัวเองน้อยกว่า และในเมื่อทักษิณถือว่ามีความสุดขั้วน้อยกว่าฝั่งพรรคประชาชนนี้เองทำให้ชนชั้นนำเลือกที่จะดีลกับทักษิณในที่สุด ขณะที่ทางด้านทรัมป์นั้น เขาอาจจะบอกว่าตัวเองเป็นคนที่จะเข้ามาเขย่าการเมืองก็จริง แต่ฉันว่าเอาเข้าจริงแล้ว ทรัมป์ยังมีความเป็นคนในกลุ่มอำนาจกระแสหลักเดิมอยู่เมื่อเรามองจากหลายแง่มุม เพราะฉะนั้นถ้าให้ฉันเขียนเรื่องนี้อีกครั้งในวันนี้ ฉันก็คงเปรียบเทียบในแง่มุมประมาณนี้แต่เรายังต้องติดตามกันต่อไป

ในหนังสือมีอยู่ช่วงหนึ่งที่คุณพูดถึงการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนรุ่นใหม่ในประเทศไทยช่วงปี 2020 และคุณได้เอามาเทียบเคียงกับการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ในสหรัฐฯ เพื่อขับเคลื่อนบางประเด็นด้วย ผ่านจากตอนนั้นมาประมาณสี่ปี คุณเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรในเรื่องพลังคนรุ่นใหม่นี้บางไหม
ฉันได้เขียนไว้ ในบทที่ชื่อว่า ‘The Children’s Crusade’ (สงครามครูเซดของเด็กๆ) ซึ่งฉันได้เปรียบเทียบขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่นำโดยคนรุ่นใหม่ในไทยกับการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านการครอบครองอาวุธปืนและการกราดยิงในโรงเรียนที่สหรัฐฯ ซึ่งนำโดยเหล่านักเรียนนักศึกษา
ถ้าพูดแบบรวมๆ หลายคนอาจจะมองว่าการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่เหล่านี้ล้มเหลว อย่างในประเทศไทยที่เราไม่ได้เห็นการออกมาเคลื่อนไหวบนท้องถนนของเยาวชนแล้วในวันนี้ รวมถึงมีการยุบพรรคอนาคตใหม่และก้าวไกลเกิดขึ้น ขณะที่ในสหรัฐฯ นั้น เราก็เห็นว่าการกราดยิงในโรงเรียนยังเกิดขึ้นอยู่ แต่ฉันคิดว่าเราไม่สามารถประเมินมันแค่ในระยะสั้นได้ เพราะจริงๆ แล้วมันอาจจะเห็นผลในระยะยาว และถ้าเราพิจารณาดีๆ จะเห็นว่าที่จริงนั้นการเคลื่อนไหวของเยาวชนทั้งสองประเทศนี้ได้ส่งแรงกระเพื่อมบางอย่าง
ในสหรัฐฯ เอง แม้จะแก้กฎหมายเรื่องการครอบครองปืนในระดับประเทศไม่ได้ เพราะสมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติ (National Rifle Association) มีอำนาจในล็อบบี้ที่แข็งแกร่งมาก แต่การเปลี่ยนแปลงที่เราได้เห็นคือมันเกิดความสำเร็จในการแก้กฎหมายระดับมลรัฐแทน นอกจากนั้นกระแสของเรื่องนี้ยังทำให้เยาวชนอายุ 18 ปีขึ้นไปที่มีสิทธิเลือกตั้งตื่นตัวลงทะเบียนไปเลือกตั้งกันเยอะขึ้นมากเพื่อจะช่วยให้ไบเดนชนะการเลือกตั้งในครั้งนั้น ขณะเดียวกันในประเทศไทย เราก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมาหลายอย่างเหมือนกัน ทั้งการมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรุ่นใหม่ๆ ที่เข้าไปผลักดันหลายประเด็นในสภาอย่างแข็งขันและมีวิธีในการดึงดูดความสนใจผู้คน ขณะที่ประชาชนก็ตื่นตัวสนใจประเด็นสังคมและการเมืองกันมากขึ้น
และในปัจจุบัน เราจะเห็นว่าในสหรัฐฯ ก็มีความตื่นตัวเคลื่อนไหวของเยาวชนในประเด็นใหม่ๆ เกิดขึ้น อย่างเช่นในประเด็นสงครามกาซา (ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส) และเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งการเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้เกิดขึ้นในอีกหลายประเทศทั่วโลกด้วยเช่นกัน และมันก็สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้ อย่างในประเด็นกาซา การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นก็สร้างแรงกดดันทางการเมืองได้ระดับหนึ่งและก็ต้องรอจับตาผลของมันไปยาวๆ
อีกประเด็นหนึ่งที่คุณได้เขียนเทียบเคียงไว้ระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสหรัฐฯ คือเรื่องความรู้สึกต่อต้านผู้อพยพ ซึ่งผ่านมาถึงวันนี้เราเห็นได้ว่ามันไม่ได้ลดลง แถมยังเข้มข้นขึ้น อย่างในฝั่งไทยและประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนเองก็ได้เห็นวาทกรรมเกลียดชังผู้อพยพ รวมไปถึงการปลุกเร้าความเป็นชาตินิยมและศาสนานิยมสูงขึ้นด้วย คุณว่ามันสัมพันธ์กับปรากฏการณ์ในฝั่งสหรัฐฯ ไหม
มันสัมพันธ์กันแน่นอน ซึ่งสาเหตุก็ต้องย้อนกลับไปที่เรื่องความรู้สึกไม่มั่นคงทางจิตใจของผู้คนท่ามกลางความยากลำบากหลายอย่าง เพราะฉะนั้นพวกผู้สมัครเลือกตั้งที่โน้มเอียงไปทางอำนาจนิยมก็พยายามเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกไม่มั่นคงของคนตรงนี้ ด้วยการสุมไฟตอกย้ำให้คนเห็นว่ามันมีภัยคุกคามรอบด้านที่กำลังสั่นคลอนพวกเขาอยู่ และในที่สุดพวกเขาก็โยนให้ผู้ลี้ภัยกับผู้อพยพเป็นแพะรับบาปอย่างง่ายดาย ซึ่งมันก็ได้ผล มันทำให้คนรู้สึกเกลียดกลัวผู้อพยพและผู้ลี้ภัยมากขึ้น
ทรัมป์เองก็ขับเน้นประเด็นนี้มากระหว่างการหาเสียง เช่น การบอกว่าจะเนรเทศผู้อพยพทันทีตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเป็นประธานาธิบดี แต่ฉันมองว่าแนวคิดของทรัมป์เรื่องนี้จะไม่ได้เป็นผลดีนัก อย่างแรกเลยคือการเนรเทศผู้อพยพเป็นอะไรที่น่าจะทำในทางปฏิบัติได้ไม่ง่าย แต่ถ้าทำได้จริง มันก็จะส่งผลเสียร้ายแรง เพราะเท่ากับเป็นการพรากคนในครอบครัวออกจากกันและทำให้คนในสังคมต้องแบ่งแยกกัน และที่สำคัญนโยบายนี้จะนำมาซึ่งต้นทุนมหาศาล เพราะต้องอย่าลืมว่าคนกลุ่มนี้เป็นพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ เหมือนกัน เพราะฉะนั้นนโยบายนี้จะเป็นอะไรที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
และพูดถึงเรื่องการย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง มันก็ยังมีนโยบายอื่นของทรัมป์อีก เช่น การขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจากต่างประเทศ ที่ประกาศว่าจะขึ้นสินค้าทุกประเภทจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% และจากจีนอีก 10% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูง แต่ผลของมันคือการทำให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งฉันว่าคนที่โหวตให้ทรัมป์ก็โหวตโดยไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้
มันเป็นเพราะคนอเมริกันไม่ค่อยมีความรู้รอบตัวในสถานการณ์ความเป็นไปของโลกใช่ไหม เพราะจำได้ว่าคุณเขียนถึงเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ
ใช่ มันเป็นเพราะสหรัฐฯ เป็นประเทศใหญ่มากและมีสภาพภูมิศาสตร์ที่ค่อนข้างโดดเดี่ยวจากประเทศอื่นๆ มีพรมแดนติดกับแค่เม็กซิโกและแคนาดาเท่านั้น มันไม่เหมือนอย่างชาติในยุโรปที่มีพรมแดนติดกับหลายๆ ประเทศและเดินทางข้ามไปมาหาสู่กันง่าย ขณะที่คนอเมริกันจำนวนมากแทบไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศ และอีกอย่างคือพวกเขาก็มีปัญหาหลายเรื่องให้ต้องกังวล โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เลยไม่มีเวลามาคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในพื้นที่ไกลออกไป พวกเขาจะมองว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว ไม่เกี่ยวอะไรกับชีวิตพวกเขา แต่ฉันหวังว่าวันหนึ่งพวกเขาจะเข้าใจว่าในสภาวะเศรษฐกิจและสังคมโลกที่เป็นอยู่นี้ ทุกอย่างมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันหมด ถ้าพวกเขาตระหนักรู้อย่างนี้ได้ มันอาจจะทำให้พวกเขามีมุมมองในเรื่องนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไป

หลังผ่านมาประมาณ 3-4 ปีจากที่หนังสือคุณเผยแพร่ออกมา คุณได้ติดตามปรากฏการณ์อะไรใหม่ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อจากนั้นอีกบ้างไหม
ทุกวันนี้ฉันก็ยังคงติดตามความเป็นไปและเฝ้าสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ตลอด ถ้าเป็นช่วงที่ฉันไม่ได้มาแถวนี้ ฉันก็พยายามหาอ่านเรื่องราวให้ได้มากที่สุด
ที่ผ่านมาฉันมีความสนใจอยู่เรื่องหนึ่งและได้เขียนบทความวิชาการออกมา ก็คือเรื่องการตัดสินของศาลโลกในกรณีพิพาทเขาพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งในที่สุดศาลได้ตัดสินให้เป็นของกัมพูชา เมื่อหลายปีก่อน ฉันก็มีโอกาสได้เดินทางไปที่นั่นหลังจากที่เขียนบทความเรื่องนี้เสร็จ ด้วยความที่ปราสาทอยู่บนเขาสูง มันก็ต้องใช้เวลานานพอสมควรสำหรับฉันในการเดินขึ้นไป และพื้นที่รอบตัวปราสาทนั้นอยู่ในความดูแลของกัมพูชา ตอนฉันขึ้นไปถึง ทหารกัมพูชาตรงนั้นก็ส่งกล้องส่องทางไกลให้ฉันมองดูฝั่งไทย มองไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่ามีครอบครัวชาวไทยในฝั่งตรงข้ามส่องกล้องมองมาที่ฉันอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ) และฉันก็เห็นว่าที่ฝั่งไทยยังมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวในสภาพที่สมบูรณ์มากอยู่ มันสะท้อนว่าฝ่ายไทยมีเงินทุนในการดูแลพื้นที่อย่างดี แต่กลับไม่มีสิทธิทางกฎหมายในการเข้าถึงตัวพื้นที่ท่องเที่ยว ตรงข้ามกับกัมพูชาที่มีสิทธิเหนือพื้นที่ แต่กลับไม่ได้มีเงินทุนมาดูแลมากนัก
เรื่องนี้สะท้อนว่าคำตัดสินของศาลโลกนำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่มีใครได้ประโยชน์ (lose-lose situation) ทั้งที่ทางออกของมันควรเป็นการให้แต่ละชาติได้จัดการพื้นที่ร่วมกัน ซึ่งทำให้ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย (win-win situation) มันก็ถือเป็นบทเรียนสำหรับคนทั่วโลกในศตวรรษที่ 21 ในเรื่องการจัดการความขัดแย้ง และชวนให้ทุกคนคิดเรื่องการเปิดให้ทุกคนทุกฝ่ายจัดการประเด็นปัญหาต่างๆ ร่วมกันมากขึ้น
ตอนนี้มีประเด็นใหม่กว่านั้นอีกคือเรื่องเกาะกูด คุณได้ติดตามเรื่องนี้ด้วยไหม และคิดอย่างไรกับเรื่องนี้
ยอมรับตามตรงว่าฉันยังไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ แต่ฉันก็ไม่ได้แปลกใจว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก เพราะมันก็คล้ายกับกรณีเขาพระวิหาร ที่ต่างฝ่ายต่างพยายามอ้างความเป็นเจ้าของมันโดยไปผูกโยงกับเรื่องความเป็นอัตลักษณ์ของชาติเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง และสำหรับเรื่องเกาะกูด อันที่จริงมันเป็นเรื่องของการจัดการทรัพยากรพลังงานในพื้นที่มากกว่า ซึ่งฉันก็ยังคงเห็นว่าทางที่ดีที่สุดคือทุกฝ่ายได้เข้ามาบริหารจัดการร่วมกัน
มีเรื่องอื่นๆ อีกไหมในภูมิภาคนี้ที่คุณว่าน่าสนใจและอาจจะเทียบเคียงกับปรากฏการณ์ในสหรัฐฯ ได้ โดยเฉพาะประเด็นที่มีความเป็นปัจจุบันมากขึ้นหน่อย
เมื่อสองปีที่แล้ว ฉันได้เดินทางไปกัมพูชา และตอนนั้นมีข่าวว่านักการเมืองแกนนำฝ่ายค้านคนหนึ่งที่เผยแพร่ข้อความทางเฟซบุ๊กของตัวเองโดยบอกประชาชนว่าวันสิ้นโลกใกล้จะมาถึงแล้ว และหนทางเดียวที่จะรอดจากวันสิ้นโลกได้คือให้รีบเดินทางไปที่ฟาร์มของเขาใกล้กับจังหวัดเสียมเรียบ ซึ่งมันอยู่บนเขาในพื้นที่ชนบทห่างไกล และปรากฏว่ามีคนเชื่อเขาเยอะมาก มีคนจากทั่วสารทิศแห่ไปที่ฟาร์มของเขามากกว่าหนึ่งหมื่นคน ไม่เว้นแม้แต่คนกัมพูชาที่ทำงานอยู่ในต่างประเทศอย่างเกาหลีใต้ ก็ตัดสินใจลาออกจากงาน บินกลับไปกัมพูชาเพื่อไปฟาร์มนั้น แต่ในที่สุดมันก็ไม่อะไรเกิดขึ้น ก่อนที่นักการเมืองคนนั้นจะบอกว่ามันเป็นเพราะเขาได้แก้ไขให้เรียบร้อยแล้วและให้ทุกคนกลับบ้านได้
เราเห็นได้ว่าจริงๆ เรื่องนี้สร้างความเสียหายให้คนเยอะมาก เพราะหลายคนถึงขั้นยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อไปที่นั่น แต่สำหรับชายคนนั้น สิ่งที่เขาทำเหมือนกับเป็นการอยากแสดงพลังอำนาจทางการเมืองของตัวเองมากกว่าว่าเขาสามารถรวบรวมคนจำนวนมากขนาดนี้ได้ ซึ่งฉันมองเหตุการณ์นี้ว่าคล้ายกับกรณีการบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในวันที่ 6 มกราคม 2021 (เหตุการณ์ Capitol Riot) ซึ่งมันก็เกิดจากการที่ทรัมป์สามารถพูดจาปลุกระดมคนจำนวนมากให้มารวมตัวและก่อการจลาจลได้
มันมีอีกกรณีหนึ่งที่ใกล้เคียงกันคือที่ประเทศจีนเมื่อไม่นานนี้ (พฤศจิกายน 2024) ที่อยู่ๆ มีกระแสปลุกให้หนุ่มสาวจีนนับแสนคนออกมารวมตัวปั่นจักรยานกันช่วงกลางคืน ซึ่งมันไม่ใช่การประท้วง แต่มันไปทำให้รัฐบาลจีนกังวลขึ้นมาจนในที่สุดต้องสั่งห้ามกิจกรรม เหตุการณ์นี้ก็เป็นตัวสะท้อนว่าคนแค่คนเดียวก็อาจจุดให้เกิดเหตุการณ์อะไรใหญ่โตขึ้นมาได้ และมันก็เป็นสัญญะถึงการแสดงพลังทางการเมืองของคนด้วยเหมือนกันไม่ว่าจะใช้ในทางดีหรือทางร้ายก็ตาม และมันสามารถเกิดขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่ได้เกิดจากการจัดตั้งอะไรชัดเจน ซึ่งฉันว่ามันมีนัยทางการเมืองเหมือนกัน
สุดท้ายนี้ ในเมื่อการเมืองสหรัฐฯ หมุนกลับมาสู่จุดเดิม คือทรัมป์ชนะการเลือกตั้งกลับมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ อีกครั้ง คุณมีแนวคิดที่จะเขียนหนังสือ The Durian Chronicles ภาคต่อไหม
ฉันว่าก็คงต้องเป็นอย่างนั้น (หัวเราะ) และเนื่องจากสถานการณ์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐฯ และโลก ก็ยังเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอด คนรุ่นใหม่ก็ยังคงต่อสู้เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงอยู่ต่อเนื่องไปอีก ฉันก็ต้องจับตาดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
