ท่ามกลางวิกฤตการเมืองและเศรษฐกิจที่กัดกินประเทศไทยมาเป็นเวลาหลายปี นิติรัฐและนิติธรรมถือเป็นความหวังหนึ่งในการเปลี่ยนผ่านการเมืองและพัฒนาเศรษฐกิจ แต่นิติรัฐนิติธรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างไรในสังคมที่มีปัญหาประชาธิปไตย สิทธิทางการเมือง และความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ
วันโอวันร่วมกับสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) และเครือข่ายด้านหลักนิติธรรมและการพัฒนา (RoLD) ชวน รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, รศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, รศ.ดร.มุนินทร์ พงศาปาน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ สมคิด พุทธศรี บรรณาธิการอำนวยการ The101.world เปิดบทสนทนาว่าด้วยรากของปัญหา ‘นิติรัฐ-นิติธรรมแบบไทยๆ’ และหนทางในการสร้างหลักนิติรัฐ-นิติธรรมให้หยั่งรากในสังคมไทยได้อย่างแท้จริง
หมายเหตุ: เรียบเรียงเนื้อหาจากงานเสวนาสาธารณะ “‘นิติรัฐนิติธรรม’ กับการสร้างประชาธิปไตยทางการเมืองและเศรษฐกิจ” เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568

“ไทยไม่มีทางสร้างนิติรัฐได้ หากไม่เป็นประชาธิปไตย” –
พวงทอง ภวัครพันธุ์
“หากถามว่านิติรัฐและนิติธรรมสามารถสร้างจากเนื้อดินแบบไทยๆ ได้หรือไม่ ต้องตอบว่าความเป็นไทยคือสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้นิติรัฐและนิติธรรมเกิดขึ้น” พวงทองกล่าวถึงปัญหาที่หลักนิติรัฐ-นิติธรรมไม่สามารถลงหลักปักฐานได้ในสังคมไทย กฎหมายไม่ถูกบังคับใช้ต่อประชาชนอย่างเสมอภาค และระบบกฎหมายและโครงสร้างอำนาจแบบไทยๆ ถูกสร้างเพื่อให้เอื้อต่อระบบเครือข่ายอุปถัมภ์ ผู้มีอำนาจบารมี ผู้ประสบความสำเร็จในวิชาชีพ และทุนขนาดใหญ่ มากกว่าปัจเจกชน
พวงทองอธิบายว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้หลักนิติรัฐและนิติธรรมในไทยเสื่อมถอยมีอยู่สามปัจจัย
ปัจจัยแรก จุดยืนทางการเมืองกลายเป็นเกณฑ์ตัดสินความผิด ‘สี’ ของกลุ่มหรือมวลชนทางการเมือง กลายเป็นตัวกำหนดว่ากฎหมายจะถูกบังคับใช้กับใคร และคาดเดาได้ว่าผลการตัดสินได้จะออกมาอย่างไรในคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมือง หรือหากละเมิดกฎหมายบางมาตราที่มีความเป็นการเมืองสูงเช่น มาตรา 112 หรือมาตรา 116 ก็สามารถคาดเดาผลการตัดสินได้ ต่อให้ไม่มีความผิดตามข้อเท็จจริงก็ตาม
“ต่อให้สิ่งที่พูดถูก ก็ผิดอยู่ดี นี่เป็นประโยคที่เคยถูกใช้ในการตัดสินคดี 112 มาแล้ว” รศ.ดร.พวงทองกล่าว
ปัจจัยที่สอง การบังคับใช้กฎหมายในนาม ‘ความมั่นคงของรัฐ’ เกิดขึ้นโดยปราศจากการตั้งคำถาม พวงทองกล่าวว่า สังคมส่วนมากยอมรับให้การบังคับใช้กฎหมายหรือดำเนินนโยบายในนามการพิทักษ์ความมั่นคงของรัฐต่อประชาชนและกลุ่มการเมืองกลายเป็นบรรทัดฐาน โดยปราศจากการตั้งคำถามว่าเป็นไปอย่างได้สัดส่วนหรือไม่ และแม้จะมีรายงานว่า การบังคับใช้มาตรา 112 มาตรา 116 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กฎอัยการศึก หรือกระทั่งปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร เป็นมาตรการที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ และแม้จะมีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ เช่น การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง แต่ก็กลับไม่ถูกตั้งคำถาม
“สิทธิเสรีภาพของประชาชนมีความหมายน้อยกว่าความมั่นคงรัฐ เมื่อไรที่เกิดวิกฤตทางการเมือง มีมวลชนออกมาเคลื่อนไหว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเหลือง เสื้อแดง หรือม็อบเยาวชนคือฝ่ายที่ถูกลงโทษ” พวงทองกล่าว
ปัจจัยที่สาม การแทรกแซงของกลุ่มทุน กลุ่มทุนขนาดใหญ่มีบทบาทในการกำกับการพิจารณาตัดสินคดีความและผลักดันการดำเนินนโยบายของรัฐมากขึ้น ระบบกฎหมายไม่สามารถควบคุมการดำเนินงานของภาคเอกชนที่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประชาชนได้ เช่น ปัญหามลพิษ และปัญหาทุนผูกขาด
พวงทองตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อความสัมพันธ์ระหว่างเครือข่ายทุนและกลุ่มผู้มีอำนาจทางการเมืองดังขึ้น แต่กลับไม่สามารถสร้างแรงกดดันต่อทุนขนาดใหญ่ได้ เนื่องจากทุนสามารถขยายขนาดและอำนาจได้จนไม่จำเป็นต้องสนใจเสียงทัดทานจากสังคม
“ความเป็นไทยที่ไม่ให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพ มองคนหรือกลุ่มการเมืองเท่ากัน ให้อภิสิทธิ์และข้อยกเว้นกับผู้มีอำนาจและทุนขนาดใหญ่ ทำให้หลักนิติรัฐเกิดขึ้นไม่ได้” พวงทองกล่าว

ภาพจาก TIJ
หากไม่ปฏิรูปการเมือง รัฐไทยจะพัง
ในมุมมองของพวงทอง ความหวังเดียวที่จะทำให้หลักนิติรัฐและนิติธรรมงอกงามในประเทศไทยได้คือ ‘ประชาธิปไตย’ ซึ่งแม้ว่าไทยจะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง แต่ก็มีอำนาจเพียงแค่กำหนดทิศทางทางเศรษฐกิจเท่านั้นและไม่สามารถจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจที่ยังอยู่ในมือของขั้วอำนาจเก่าได้ กล่าวคือไทยยังคงเป็น ‘รัฐความมั่นคง’ (Security state) ที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของรัฐเหนือสิ่งอื่นใด และเปิดทางให้รัฐใช้อำนาจในนามความมั่นคงเพื่อจัดการกับประชาชนกลุ่มต่างๆ
“ประเทศนี้ไม่มีความหวังหากไม่มีประชาธิปไตย เราไม่มีทางสร้างนิติรัฐได้ ถ้าเราไม่มีระบอบประชาธิปไตย” พวงทองกล่าว
พวงทองมองว่า หากจะเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ประชาธิปไตยและนำไปสู่การสร้างหลักนิติรัฐ-นิติธรรมให้หยั่งรากในสังคมไทยอย่างแท้จริง การปฏิรูปทางการเมืองต้องไม่ใช่แนวทางอย่างที่เคยใช้ นั่นคือมุ่งสร้างกลไกอำนาจรัฐเพื่อควบคุมและจับผิด จนระบบรัฐสภา พรรคการเมืองและนักการเมืองอ่อนแอ รวมถึงการตีความกฎหมายอย่างเกินเลยขององค์กรอิสระ เพื่อจัดการกับฝ่ายการเมืองที่ไม่พึงปรารถนา อย่างเช่นคดีสอบจริยธรรม 44 สส. พรรคก้าวไกลที่ลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต
“เราอยู่ในภาวะที่ระบบราชการหรือองค์กรอิสระทำให้ประชาธิปไตยเป็นเพียงแค่เปลือก แต่กลไกประชาธิปไตยที่ทำหน้าที่บริหารประเทศและตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจกลับถูกทำให้เป็นอัมพาต เราเห็นปัญหา แต่ทำอะไรไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ ทำได้มากที่สุดคือโจมตีพรรคการเมือง แต่ผู้กุมอำนาจจริงๆ กลับลอยนวล ไม่จำเป็นต้องปรับปรุงตัวหรือปฏิรูป จึงไม่รู้ว่าจะหาทางออกจากภาวะเช่นนี้อย่างไร” พวงทองกล่าว
ท่ามกลางสภาวะมืดมนแทบจะปราศจากความหวัง การเก็บเกี่ยวสะสมชัยชัยชนะเล็กๆ เท่าที่ทำได้อาจเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยให้เห็นความไม่ชอบธรรมและปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ของศาลและองค์กรอิสระ
หนทางหนึ่งที่อาจนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงเชิงระบบได้คือการเปลี่ยนแปลงจากภายใน กล่าวคือ ปัจเจกในระบบต้องลุกขึ้นมาส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องความเปลี่ยนแปลง แต่พวงทองก็ตั้งข้อสังเกตว่ายังเป็นไปได้ยาก เพราะปัจเจกในระบบไม่มีอำนาจมากพอที่จะเขย่าหรือต่อสู้กับสถาบันที่มีอำนาจมหาศาลได้ โดยเฉพาะกรณีกองทัพหรือศาล ที่แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากบุคคลภายในระบบออกมาเป็นระยะ แต่ส่วนมากก็เป็นเพียงแค่เสียงกระซิบเท่านั้น ไม่ขยายไปสู่การสร้างแนวร่วมภายในระบบ อีกทั้งระบบยังควบคุมและหล่อหลอมไม่ให้ปัจเจกในระบบกล้าตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ระบบ
“แต่การเปลี่ยนแปลงจะยิ่งเกิดยาก หากคนในระบบไม่พยายามหาทางเปลี่ยนแปลงเลย” พวงทองกล่าว พร้อมยกตัวอย่างกรณีการเปลี่ยนผ่านจากระบอบทหารไปสู่ประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ ซึ่งต้องใช้เวลาและอาศัยความมุ่งมั่นร่วมกันของคนในระบบ พรรคการเมือง ภาคประชาชน ศาล ตุลาการ และสื่อมวลชนในการร่วมมือเพื่อไม่ให้ผู้มีอำนาจที่ใช้อำนาจในทางที่ผิดลอยนวลพ้นผิด
“ถ้าเรามองการต่อสู้เป็นเกมยาว ภาคประชาชนส่วนหนึ่งก็ตาสว่างกันแล้ว ถึงเวลาแล้วที่คนภายในระบบต้องทำอะไรบางอย่าง” พวงทองกล่าว
ท้ายที่สุด อีกโจทย์ที่พวงทองมองว่าต้องคลี่คลายให้ได้คือ จะทำอย่างไรให้ผู้มีอำนาจตระหนักและมีสำนึกคิดว่าต้องปรับตัวทางการเมือง เพื่อเปิดทางไปสู่การปฏิรูปเพื่อให้รัฐไทยอยู่รอดต่อไปได้ เนื่องจากหากพิจารณาจากประวัติศาสตร์ การปรับตัวของรัฐไทยมักเกิดขึ้นเมื่อผู้มีอำนาจในระบบตระหนักว่าต้องยอมปฏิรูปเพื่อประนีประนอมทางการเมืองและไม่ให้วิกฤตลุกลาม อย่างการออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 ในช่วงที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเข้มแข็ง นักศึกษาร่วมเข้าป่าจับปืน และมีประเทศเพื่อนบ้านสามประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์
“การเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดจากการที่ผู้มีอำนาจตระหนักว่าเขากำลังพ่ายแพ้ แต่เราไม่เห็นสำนึกและความคิดแบบนี้ในปัจจุบัน คำถามคือจะทำอย่างไรเพื่อให้ชนชั้นนำตระหนักว่า หากไม่ปฏิรูปทางการเมือง รัฐไทยจะพัง”
รัฐธรรมนูญ: กลไกของระบบตรวจสอบถ่วงดุล – มุนินทร์ พงศาปาน
“นิติรัฐและนิติธรรมคือเป้าหมายและสาเหตุที่ทำให้ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรเกิดขึ้นมาบนโลก เพื่อเป็นหลักประกันว่าผู้มีอำนาจจะไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ เลือกปฏิบัติ สร้างความไม่แน่นอน หรือสร้างความหวาดกลัว” มุนินทร์กล่าวถึงความสำคัญที่หลักนิติรัฐนิติธรรมต้องอยู่ในระบบกฎหมายและกฎหมายทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายอาญา หรือกฎหมายมหาชน
“หากระบบกฎหมายใดยังมีการใช้อำนาจตามอำเภอใจในการตีความหรือในกระบวนการพิจารณากฎหมาย เช่น ไม่เปิดโอกาสให้มีการต่อสู้ในคดีความอย่างเป็นธรรม นั่นแสดงให้เห็นว่ากฎหมายไม่ได้สร้างนิติรัฐและไม่ได้นำไปสู่เป้าหมายที่หลักนิติรัฐต้องการให้เกิดขึ้น” มุนินทร์กล่าวเป็นนัย
เมื่อมองสถานการณ์ด้านนิติรัฐและนิติธรรมในไทย แม้กฎหมายและกระบวนการพิจารณากฎหมายของไทยจะถอดแบบมาจากต่างประเทศเป็นหลัก แต่มุนินทร์ชวนให้พิจารณาว่ามีหลายคดีความที่สะท้อนให้เห็นปัญหาการใช้อำนาจตีความกฎหมายตามอำเภอใจ เช่น คดีการเมืองที่อยู่ในขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ หรือคดีที่เกี่ยวพันกับทุนยักษ์ใหญ่ อย่างกรณีทรูยื่นฟ้อง ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ซึ่งมักนำไปสู่การตั้งคำถามในสังคมว่า การตัดสินคดีเป็นไปตามอำเภอใจ เลือกปฏิบัติ ตัดสินโทษอย่างได้สัดส่วน หรือมีหลักประกันสิทธิเสรีภาพหรือไม่
จากมุมมองของนักกฎหมาย หากจะสร้างหลักนิติรัฐและนิติธรรมให้เจริญงอกงามได้ มุนินทร์เห็นพ้องกับพวงทองว่า ไทยต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยได้อย่างแท้จริงก่อน ไม่เช่นนั้นนิติรัฐและนิติธรรมจะไม่มีทางเกิดขึ้น
“ระบอบการปกครองที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอย่างแท้จริงเท่านั้น ที่จะรับรองได้ว่าความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมายจะเกิดขึ้น ประชาธิปไตยจึงเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้หลักนิติรัฐนิติธรรมเฟื่องฟู” มุนินทร์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ประชาธิปไตยไม่ใช่เงื่อนไขเดียวที่จะประกันว่าหลักนิติรัฐนิติธรรมจะเจริญงอกงาม อีกสิ่งที่มุนินทร์มองว่าเป็นหัวใจสำคัญคือ ‘ระบบตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ’ เพื่อการันตีว่ากฎหมายจะถูกบังคับใช้อย่างเสมอภาค ซึ่งเป็นหน้าที่ขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมอย่าง ศาล อัยการ และตำรวจ
มุนินทร์เสริมว่าต้องมีกลไกตรวจสอบองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจอีกชั้น เพื่อไม่ให้องค์กรเหล่านี้บังคับใช้กฎหมายหรือตีความกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้อง และต้องตรวจสอบว่า กฎหมายหรือกลไกตรวจสอบภายใต้รัฐธรรมนูญ ยังใช้งานได้จริงอยู่หรือไม่

ภาพจาก TIJ
ในกรณีศาลรัฐธรรมนูญ มุนินทร์อธิบายว่า มีกลไกที่ถูกวางไว้เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติงานหรือสร้างความรับผิดรับชอบต่อคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นกลไกภายใน เช่น การประชุมปรึกษาวินิจฉัย กลไกภายนอกอย่างการตรวจสอบจากองค์กรภายนอกอย่าง ป.ป.ช. หรือการตรวจสอบถ่วงดุลจากภาคประชาชนผ่านคำพิพากษาคดีที่ศาลเผยแพร่อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม มุนินทร์เห็นว่า กลไกตรวจสอบภายในไม่ค่อยได้ผลเท่าไรนัก ส่วนการตรวจสอบจากประชาชน การตั้งคำถามต่อคำตัดสินของศาลหรือวิพากษ์วิจารณ์ ก็ไม่ได้ง่ายดายนัก เนื่องจากเกรงกฎหมายดูหมิ่นศาล ขณะเดียวกันกลไกถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เคยมีในอดีตก็หายไป
“กลไกเหล่านี้มีความจำเป็นและสำคัญเพื่อทำให้ศาลต้องรับผิดชอบในกรณีที่ใช้อำนาจไม่ถูกต้อง แต่สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ หลายไปจากระบบกฎหมายพื้นฐานอย่างรัฐธรรมนูญ ส่วนกฎหมายอื่นๆ ไม่ต้องพูดถึง” มุนินทร์กล่าว
“ยิ่งเวลาผ่านไป กลไกตรวจสอบองค์กรที่มีหน้าที่พิทักษ์หลักนิติรัฐอ่อนแอลงเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบตรวจสอบถ่วงดุลภายใต้กฎหมายหรือการตรวจสอบโดยประชาชน” มุนินทร์กล่าวต่อ
ดังนั้นปัจจัยที่มุนินทร์มองว่าจะช่วยวางโครงสร้างระบบตรวจสอบถ่วงดุลให้เข้มแข็งคือ ‘รัฐธรรมนูญ’ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างและธำรงรักษาหลักนิติรัฐและนิติธรรม
นิติรัฐ-นิติธรรมในฐานะโครงสร้างพื้นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจ – สมคิด พุทธศรี
ในฐานะสื่อที่ติดตามประเด็นเศรษฐกิจและการเมืองไทย สมคิดเล่ามุมมองที่ได้จากการพูดคุยกับนักวิชาการต่างชาติว่า ‘คนนอก’ มองสถานการณ์นิติรัฐนิติธรรมดีกว่าที่คนในมอง เนื่องจากเป็นการมองเชิงเปรียบเทียบ เมื่อเทียบไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า กัมพูชา หรือเวียดนาม
“ในฐานะคนในสังคมไทย เวลาฟังจะรู้สึกขัดใจอยู่บ้าง แต่เมื่อสถานการณ์นิติรัฐนิติธรรมของไทยอยู่ในมาตรฐานกลางๆ มันมีทั้งแง่ดีและแง่ร้าย แง่ดีคือยังมีพื้นที่สำหรับการพัฒนาให้ดีขึ้นอยู่” สมคิดกล่าว
แต่สมคิดตั้งคำถามต่อไปว่า แล้วหลักนิติรัฐนิติธรรมคือตัวแปรอะไรในสมการของการพัฒนาเศรษฐกิจ เมื่องานวิจัยชี้ว่า หลักนิติรัฐอาจไม่ใช่เงื่อนไขเพื่อเหนี่ยวนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ กล่าวคือต่อให้หลักนิติรัฐนิติธรรมย่ำแย่ แต่เศรษฐกิจของประเทศก็สามารถเติบโตได้
หลักนิติรัฐคือ ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ ของระบบเศรษฐกิจที่ทำให้ต้นทุนในการทำธุรกรรมต่ำที่สุดในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างทุกฝ่ายในระบบ และแม้ว่าระบอบอุปถัมภ์ซึ่งเป็นระบบการเมืองที่ไม่มีการประกันหลักนิติรัฐ สามารถทำให้ต้นทุนการทำธุรกรรมต่ำได้เช่นกัน แต่ต้นทุนจะต่ำก็แค่กับผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบเท่านั้น
“ตลอด 30-40 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยพัฒนาบนฐานที่คนบางกลุ่มซึ่งสามารถเข้าสู่ระบบได้ อาศัยการขูดรีดแรงงานและทรัพยากร แต่ในช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมา การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ในระดับต่ำ ปีนี้คาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจไทยจะโตขึ้นไม่ถึงร้อยละ 3 ของจีดีพี ซึ่งถือว่าต่ำมาก ระบบเศรษฐกิจการเมืองที่ต้นทุนการปฏิสัมพันธ์ต่ำเฉพาะกลุ่มเดินหน้าต่อไม่ได้แล้ว” สมคิดกล่าว
“เพราะฉะนั้น การสร้างหลักนิติรัฐนิติธรรมในฐานะโครงสร้างพื้นฐานของการพัฒนา เพื่อให้ทุกคนมีต้นทุนที่ต่ำที่สุดเวลาที่จะปฏิสัมพันธ์กัน และกำกับด้วยความไว้วางใจ จะเป็นโจทย์สำคัญมากขึ้นที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการพัฒนาในอีกระยะ” สมคิดกล่าว

ภาพจาก TIJ
ขณะเดียวกัน สมคิดมองว่าเศรษฐกิจที่ดีก็ไม่ได้เป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความเจริญงอกงามของหลักนิติรัฐ “หากติดตามความเปลี่ยนแปลงในการเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง น่าจะเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เศรษฐกิจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการสร้างนิติรัฐ”
อย่างไรก็ตาม สมคิดชวนพิจารณาปัจจัยอื่นที่อาจนำความเปลี่ยนแปลงได้ นั่นคือคนภายในแวดวงกระบวนการยุติธรรม โดยการวิจัยของ 101 PUB ที่ทำร่วมกับ TIJ เพื่อศึกษาสาเหตุของความล้มเหลวในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม พบว่าหลายคนในแวดวงตระหนักถึงปัญหาต่างๆ ที่แฝงอยู่ในกระบวนการยุติธรรม และหลายคนต้องการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือภายในระบบมีพลังการปฏิรูปอยู่
ปรากฏการณ์หนึ่งที่สมคิดมองว่าน่าสนใจ แม้ว่าจะไม่เกิดเป็นแรงกระเพื่อมมากนัก คือการที่ผู้พิพากษาระดับสูงสองคนเขียนจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ยกเลิกหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง หรือ บ.ย.ส. ของศาลยุติธรรม และหลักสูตรสร้างคอนเน็กชันอื่นๆ
“คำวิพากษ์วิจารณ์จากภาคประชาชนมีพลังจำกัด คนในระบบต่างหากที่ต้องหันมาวิจารณ์ระบบ หากเชื่อว่าระบบไม่ได้มุ่งไปในทิศทางที่ถูก ก็ควรออกมาวิพากษ์วิจารณ์ เพราะมีแต่การเปลี่ยนแปลงจากภายในที่ทรงพลัง คนนอกทำได้แค่ปูทาง แต่คนข้างในเห็นโอกาสหรือไม่ที่จะใช้กระแสภายนอกเข้ามาปฏิรูปตนเอง” สมคิดกล่าว
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความมืดมน สมคิดมองว่ายังมีโอกาสที่หลักนิติรัฐนิติธรรมจะลงหลักปักฐานในไทย แต่ผู้ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงในระบบต้องค่อยๆ สะสมชัยชนะไปทีละน้อย
“หากต้องการความเปลี่ยนแปลง พลังจากภายในระบบเป็นสิ่งที่ต้องสะสม รัฐไทยเข้มแข็งขึ้น แต่ภายในก็แตกแยกเป็นส่วนๆ เหมือนกัน เราต้องใช้โอกาสในช่วงที่รัฐไม่เป็นเอกภาพเพื่อเปลี่ยนแปลงเช่นกัน” สมคิดทิ้งท้าย
นิติรัฐ-นิติธรรมกับการจัดสรรอำนาจอย่างเป็นธรรม –
อนุสรณ์ อุณโณ
หากพิจารณาจากนิยามของนิติรัฐนิติธรรมว่าเป็นรูปแบบการเมืองการปกครองที่อาศัยกฎหมาย ให้ความเป็นธรรมกับทุกคน และบังคับใช้กับทุกคนอย่างเสมอหน้า อนุสรณ์ประเมินว่าสถานการณ์ของไทยไม่เป็นไปตามนิยามดังกล่าว
“นอกบริบทการเมือง เรามักจะได้ยินเสมอว่า ‘คุกมีไว้ขังคนจน’ คล้ายกับว่ากระบวนการยุติธรรมไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับทุกคนแต่แรก” อนุสรณ์กล่าว
“ส่วนในบริบททางการเมือง นับตั้งแต่ความขัดแย้งทางการเมืองปะทุขึ้นในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา จะพบว่าการบังคับใช้กฎหมายเป็นหนึ่งในเครื่องมือเพื่อกำจัดผู้เห็นต่างทางการเมือง เรามักจะได้ยินคำว่า ‘สองมาตรฐาน’ ในความหมายที่ว่ากฎหมายจะถูกบังคับใช้กับฝ่ายตรงข้าม แต่หากเป็นพรรคพวกเดียวกัน กระทำผิดในกรณีเดียวกัน ก็จะเอื้ออำนวยให้หรือทำเป็นมองไม่เห็น และเมื่อเกิดกรณีเช่นนี้หลายครั้ง ปรากฏการณ์เช่นนี้ถูกนิยามว่าเป็น ‘นิติสงคราม’ หรือการใช้กฎหมายเป็นอาวุธทางการเมือง” อนุสรณ์กล่าว
อนุสรณ์วิเคราะห์รากของความไม่เป็นธรรมที่ซ่อนตัวอยู่ในระบบกฎหมายไทยว่า เกิดจากความยึดโยงระหว่าง กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมกับชนชั้นนำ ซึ่งปรากฏชัดหลังเกิดความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากส่วนหนึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำกับชนชั้นล่าง-กลางของสังคม
ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไทยที่ยึดโยงกับชนชั้นนำเป็นผลจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์สองประการ
ประการแรก การปฏิรูประบบกฎหมายและกระบวนการกฎหมายตามแบบตะวันตก ซึ่งอนุสรณ์อธิบายว่า แรงผลักดันในการปฏิรูปสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นไปเพื่อสร้างเครื่องมือต่อรองกับชาติอาณานิคมตะวันตกไม่ให้บังคับใช้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตในประเทศไทย มากกว่าที่จะมุ่งสร้างระบบกฎหมายเพื่ออำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนได้ถ้วนทั่ว เท่าเทียม และมีประสิทธิภาพ หรือกระทั่งหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยปี 2475 หลัก 6 ประการของคณะราษฎรก็ไม่ได้ระบุถึงแนวคิดการปฏิรูประบบกฎหมายเพื่อสร้างหลักนิติรัฐเช่นกัน แต่ให้ความสำคัญไปที่การเรียกร้องเอกราชทางศาลจากชาติอาณานิคมตะวันตกมากกว่า
“จุดมุ่งหมายในการปรับตัวเพื่อรับมือกับเจ้าอาณานิคมตะวันตกถูกส่งทอดมาอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้น ผลประโยชน์ของชนชั้นนำจึงฝังอยู่ในกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม” อนุสรณ์กล่าว
ประการที่สอง กระบวนการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ การจัดความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจส่วนกลางและพื้นที่ชายขอบ มีลักษณะแบบ ‘อาณานิคมอำพราง’ หรือ ‘อาณานิคมภายใน’ กล่าวคืออำนาจรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพฯ และครอบงำหัวเมือง ซึ่งนำไปสู่การลุกขึ้นต่อต้านอำนาจรวมศูนย์จากทุกภูมิภาค พื้นที่หนึ่งที่อนุสรณ์ชี้ให้เห็นว่ามีพลวัตและกระแสการเรียกร้องการปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจกับรัฐส่วนกลางอย่างต่อเนื่องคือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความต่างทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และภาษา โดยข้อเรียกร้องค่อยๆ ขยับจากการแยกตัวเป็นเอกราชไปสู่เรียกร้องสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเอง (Right to self-determination) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพื่อจัดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐส่วนกลางกับท้องถิ่นใหม่เพื่อให้ให้มีรูปแบบที่ตอบรับกับลักษณะเฉพาะทางพื้นที่มากขึ้น
“เหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาทางการเมืองที่มีมูลเหตุทางวัฒนธรรม และหล่อเลี้ยงโดยความรู้สึกว่าได้รับความไม่เป็นธรรมจากการบังคับใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมในพื้นที่” อนุสรณ์กล่าว
กระแสความรู้สึกที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐส่วนกลางเริ่มมาบรรจบกันในขบวนการเคลื่อนไหวคนเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน รวมไปถึงเวทีชุมนุมใหญ่ที่มวลอารมณ์ของถ้อยคำปราศรัยไปในลักษณะตัดพ้อ น้อยเนื้อต่ำใจ หรือโกรธเคือง แต่อนุสรณ์มองว่า การเรียกร้องให้มีการปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจอย่างชัดเจนและเป็นระบบเพื่อให้นิติรัฐในฐานะรูปแบบการปกครองที่เป็นธรรมกับทุกฝ่ายเกิดขึ้นในช่วงที่ขบวนการเยาวชนพุ่งสู่กระแสสูงในช่วงปี 2563 เห็นได้จากข้อเรียกร้อง 3 ข้อคือ ให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาซึ่งเป็นกลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองลาออก ร่างรัฐธรรมนูญใหม่และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ รวมไปถึงข้อเรียกร้องเรื่องสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเองจากขบวนการภาคประชาสังคมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างกลุ่ม PerMAS (ปัจจุบันยุติการเคลื่อนไหวแล้ว)

ภาพจาก TIJ
เมื่อมองถึงความเป็นไปได้ที่นิติรัฐนิติธรรมและการปกครองที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่ายจะเกิดขึ้นในไทย อนุสรณ์ประเมินว่า “ยังคงพอมีพื้นที่ในการขยับอยู่” เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ แม้ว่าภาคประชาชนจะอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบและมีอำนาจต่อรองน้อยกว่า “อย่างไรก็ตาม นี่เป็นสนามรบที่ทิ้งไม่ได้ มันจำเป็นจะต้องสู้ต่อไป สู้ไหวเท่าไหร่ก็เท่านั้น”
อนุสรณ์เสนอให้พิจารณาพื้นที่การต่อสู้ใหม่สองสนาม
สนามแรก การเพิ่มอำนาจประชาชนเพื่อให้มีเสรีภาพและลดอำนาจรัฐ
“ท่ามกลางสภาวะที่ผู้มีอำนาจหวงแหนอำนาจรัฐและเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างอำนาจรัฐจนภาคประชาชนไม่มีอำนาจต่อรองหรือสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ โจทย์ที่น่าคิดคือจะขยายอำนาจของประชาชนให้มากขึ้นได้อย่างไร ทำอย่างไรที่กฎหมายจะเข้ามากำกับควบคุมความคิดและพฤติกรรมของประชาชนได้น้อยลง หากเป็นสนามรบเล็กๆ แบบนี้จะพอสู้ได้ไหม” อนุสรณ์กล่าว
สนามที่สอง การจัดสรรอำนาจอธิปไตยเพื่อให้สะท้อนหลักการของระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน รูปแบบที่อนุสรณ์มองว่าเป็นไปได้คือการจัดการปกครองท้องถิ่นที่มีระดับการกระจายอำนาจที่มากขึ้น เช่น จังหวัดจัดการตนเอง ซึ่งจะทำให้อำนาจของชนชั้นนำเข้ามาจัดการหรือกำกับกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนได้น้อยลงและทำให้ประชาชนมีอิสระในการจัดการตนเองมากขึ้น
“หากทำได้ ขนาดของอำนาจรัฐก็จะลดลง” อนุสรณ์ทิ้งท้าย
—–
ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) และ The101.world