Prakerja Model: การปรับทักษะแรงงานมากกว่า 17 ล้านคนภายใน 3 ปีของอินโดนีเซีย

ซาเดีย ซาฮิดี (Saadia Zahidi) หนึ่งในคณะกรรมการบริหาร World Economic Forum ชี้ว่าภายในปี 2033 จะมีงานกว่าหนึ่งพันล้านตำแหน่ง หรือราวหนึ่งในสามของงานทั้งหมดในโลก ถูกกดดันให้ปรับตัวเพราะความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี[1] ในปัจจุบันงานราว 75 ล้านตำแหน่งกำลังลดความสำคัญลง และมีงานอีกกว่า 133 ล้านตำแหน่งกำลังเกิดขึ้นใหม่[2] การเปลี่ยนแปลงทั้งรวดเร็วและรุนแรงเช่นนี้ ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานและกระตุ้นให้รัฐบาลประเทศต่างๆ หันมาให้ความสำคัญกับการปรับทักษะแรงงานอย่างจริงจัง

หนึ่งในประเทศที่ปรับตัวได้อย่างน่าสนใจคืออินโดนีเซีย ในปี 2020 นายกรัฐมนตรีโจโก วีโดโด (Joko Widodo) ได้ประกาศปรับทักษะประชาชนด้วยโครงการชื่อ Kartu Prakerja (Pre-employment card) ซึ่งหลังจากนี้จะขอเรียกโดยย่อว่า Prakerja

แนวคิดหลักของโครงการนี้ค่อนข้างเรียบง่าย รัฐบาลอินโดนีเซียต้องการทำโครงการปรับทักษะแรงงานครั้งใหญ่ โดยรัฐจะอุดหนุนจากฝั่งอุปสงค์ (demand-side financing) เพื่อให้ประชาชนนำเงินอุดหนุนดังกล่าวไปซื้อบริการปรับทักษะตามความสนใจของตนเอง ในขณะที่อีกด้าน รัฐก็ร่วมมือกับแพลตฟอร์มด้านการศึกษา ทำมาตรฐานและคัดสรรหลักสูตรที่มีคุณภาพสูงมาให้ผู้เรียนได้เลือก โดยผู้ผลิตเนื้อหาหลักสูตรเป็นภาคเอกชน

ผลการดำเนินงานน่าประทับใจอย่างยิ่ง Prakerja สามารถบรรลุ 3S ที่โครงการระดับชาติพึงมีได้แก่

Scale – จนถึงปี 2022 โครงการ Prakerja ปรับทักษะของคนไปแล้วมากถึง 17.5 ล้านคนโดยประมาณ ถือเป็นขนาดโครงการที่ใหญ่มาก

Speed – การจะพัฒนาคนหลักสิบล้านนั้นไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ แต่สิ่งที่พิเศษคือโครงการ Prakerja ทำสำเร็จในเวลาเพียงสามปีเท่านั้น ทั้งยังเกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤติโควิดที่ทุกอย่างติดขัดดำเนินการได้ยาก

Scope – โครงการ Prakerja สร้างทักษะที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงกับความต้องการของภาคเอกชน

ผลกระทบของโครงการนี้ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนและเศรษฐกิจ ได้แก่

1. ผู้เรียนมีมีทักษะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน[3])

2. ผู้เรียนได้รับประโยชน์ด้านการจ้างงาน ประมาณการว่า 27% ของผู้เรียนซึ่งมีสถานะตกงานจะสามารถหางานทำได้สำเร็จหลังเรียนจบ ในกลุ่มนี้ราวครึ่งหนึ่งได้งานทำแบบลูกจ้าง และอีกราวครึ่งหนึ่งเป็นผู้จ้างงานตนเอง (self-employed) ในภาพรวม ไม่ว่าผู้เรียนจะมีสถานะจ้างงานก่อนเรียนเป็นอย่างไร ผู้เรียนมีโอกาสเพิ่มขึ้น 18% ที่จะปรับเปลี่ยนงานใหม่ไปสู่งานที่มีมูลค่าสูงขึ้น

3. ผู้เข้าร่วมโครงการมีรายได้สูงขึ้นโดยเฉลี่ย 10% และหากนับเฉพาะผู้ที่มีสถานะตกงานจะพบว่าหลังเรียนจบมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 32% เลยทีเดียว[4]

โครงการยังส่งผลที่ไม่คาดคิดและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ นั่นคือการที่ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินดิจิทัลได้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะโครงการนี้ใช้ระบบโอนเงินด้วยกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ปี 2021 พบว่ามีผู้ร่วมโครงการราว 1.6 ล้านคนที่ไม่เคยมีบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ แต่ระบบถูกออกแบบมาให้คนกลุ่มนี้ใช้งานได้ง่าย ดังนั้นจึงมีการเปิดบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์เพิ่ม 1.5 ล้านบัญชี มากไปกว่านั้น ผู้เรียนกว่า 70% ยังใช้บริการโอนเงินและ 40% ใช้บริการชำระเงินดิจิทัล แม้จะจบโครงการไปแล้วก็ตาม

ในแง่ความสอดคล้องกับประเทศไทย โครงการ Prakerja มีความน่าสนใจเพราะ ข้อแรก อินโดนีเซียมีการพัฒนาเศรษฐกิจอยู่ในกลุ่มระดับรายได้ปานกลางค่อนบน (upper-middle income) เช่นเดียวกับประเทศไทย และข้อสอง ขนาดของโครงการประมาณปีละห้าล้านคนมีความสอดคล้องกับความต้องการทักษะใหม่ของแรงงานไทย[6] ดังนั้นจึงทำให้ตัวแบบของอินโดนีเซียสามารถประยุกต์ใช้ได้ง่ายว่าตัวแบบประเทศพัฒนาแล้ว หรือตัวแบบของประเทศที่มีขนาดเล็กมากอื่นๆ

ด้วยความสำคัญ ความสำเร็จ และความสอดคล้องที่กล่าวมาทั้งหมด จึงน่าสนใจศึกษาว่าโครงการ Prakerja ดำเนินงานอย่างไร ผู้เขียนได้สำรวจรายงานประจำปีของ Prakerja และได้ไปเยี่ยมศึกษาดูงานในระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคม 2566 ที่อินโดนีเซีย จึงถือโอกาสสรุปสาระสำคัญมาถ่ายทอดว่า อะไรคือสูตรลับความสำเร็จที่เราสามารถนำมาเรียนรู้และออกแบบระบบปรับเพิ่มทักษะของไทย และอะไรคือ ‘สูตรเสริม’ ที่ไทยสามารถคิดและเพิ่มเข้าไปได้จากตัวแบบ

สูตรลับ 1 – รัฐเป็นผู้ประสานและจัดระบบ เอกชนและประชาสังคมทำเนื้อหา

รัฐซึ่งพยายามอบรมทักษะด้วยตนเองมักจะดำเนินการได้ช้า ในช่วงก่อนที่จะมีโครงการ Prakerja อินโดนีเซียมีโครงการปรับทักษะอยู่แล้วในเก้ากระทรวง ทว่าสามารถปรับทักษะแรงงานได้เพียง 890,000 คนต่อปี แต่เมื่อปรับวิธีการทำงาน โดยรัฐเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้ประสานและจัดระบบ (system integrator) แล้วเปิดโอกาสให้เอกชนมาร่วมจัดการอบรมทุกอย่างก็เปลี่ยนไป โครงการ Prakerja สามารถปรับทักษะแรงงานได้มากถึง 5.9 ล้านคนต่อปี โดยมีองค์ประกอบสำคัญห้าส่วนได้แก่

ส่วนแรก ระบบตลาดความรู้หรือแพลตฟอร์ม (Platform and Marketplace) ในปี 2023 มีผู้ให้บริการแพลตฟอร์มทั้งสิ้นหกรายคือ SIAPkerja, Tokopedia, Bukalapak, Karier.mu, PINTAR, และ Pijar แพลตฟอร์มเหล่านี้จะทำหน้าที่รับแนวปฏิบัติและเกณฑ์คุณภาพจาก Prakerja ไปคัดกรองผู้ให้บริการอบรมที่ดีเข้ามาสู่โครงการ แพลตฟอร์มที่แข็งแรงมักจะมีระบบจัดการเรียนรู้ (Learning Management System: LMS) ซึ่งช่วยทำให้การเรียนการสอนดำเนินได้อย่างราบรื่นและมีประสบการณ์ของผู้เรียนที่คงเส้นคงวาอีกด้วย

ส่วนที่สอง ระบบคัดสรรผู้ให้บริการอบรมทักษะ (Training and Content Providers) ภาคประชาสังคมซึ่งรวมถึงสถาบันการศึกษาและภาคเอกชน สามารถสมัครเข้าร่วมเป็นผู้ให้ให้บริการอบรมทักษะได้ โดยผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจะทำการประเมินเบื้องต้น หลังจากนั้นผู้ประเมินภายนอกจะคัดกรองละเอียดโดยใช้เกณฑ์ที่กำหนดโดย Prakerja หลังดำเนินการได้เพียงปีเดียวโครงการ Prakerja มีผู้ผลิตเนื้อหามากถึง 181 หน่วยงาน สร้างสรรค์วิชาทั้งสิ้น 1,957 รายการสำหรับผู้เรียนราว 5.9 ล้านคนต่อปี[5])

ส่วนที่สาม ระบบคัดสรรและจัดการผู้เรียน ในส่วนนี้มีความละเอียดอ่อนและมีความเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์เศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงปี 2020-2022 โครงการ Prakerja ให้ความสำคัญกับผู้ที่เข้าไม่ถึงสวัสดิการสังคมและตกงานเพราะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ แต่เมื่อสถานการณ์ดีมากขึ้นปี 2023 จึงปรับให้มุ่งเน้นการเพิ่มทักษะที่สัมพันธ์กับอุตสาหกรรมเป้าหมายมากขึ้น เป็นต้น รัฐยังจัดให้มีระบบประเมินทักษะทั้งก่อนและหลังเรียนเพื่อให้ทราบถึงความสำเร็จ ระบบยังใช้การเรียนรู้ฐานข้อมูล (machine learning) ในการประเมินทักษะก่อนเรียนและแนะนำวิชาเรียนที่เหมาะสมให้แก่ผู้เรียน แต่ผู้เรียนจะเป็นผู้ตัดสินใจในขั้นสุดท้ายว่าจะเลือกเรียนเพื่อปรับทักษะใด

ส่วนที่สี่ ระบบจ่ายเงินอุดหนุนและบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้เรียน ซึ่งมีหน่วยงานเอกชนด้านฟินเทค (financial tech companies) เป็นภาคีเครือข่าย เช่น BNI, BCA, OVO, Link Aja!, Gopay, DANA เป็นต้น และ

ส่วนที่ห้า ระบบการจับคู่หางาน เช่น Karir, Topkarir, และ JobStreet เป็นต้น

ระบบทั้งห้าส่วนที่กล่าวมานี้ถูกประสานให้ทำงานร่วมกันโดยสำนักงานบริหารจัดการของ Prakerja (ภาพที่ 1)

ภาพที่ 1: แพลตฟอร์มการปรับทักษะของโครงการ Prakerja, สรุปโดยผู้เขียน

สูตรลับ 2 – ออกแบบแรงจูงใจที่เหมาะสม… ให้ผู้เรียนตั้งใจเรียน ผู้สอนตั้งใจสอน และทุกคนอยากให้ข้อมูล

แนวคิดเรื่องการอบรมปรับทักษะโดยไม่มีค่าใช้จ่ายนั้นเป็นประโยชน์ และคงสร้างแรงจูงใจให้มีผู้ไปเรียนรู้มากขึ้น แต่มาตรการดังกล่าวนั้นยังไม่เพียงพอจะจูงใจให้คนที่ยากจนที่สุดตัดสินใจไปเรียนได้เข้าเรียน… ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะสำหรับกลุ่มคนยากจน คนตกงาน และแรงงานนอกระบบ เขาเหล่านี้มีค่าเสียโอกาสที่แพงมากในการหยุดทำงานเพื่อไปเข้าร่วมการอบรม

ยกตัวอย่างในกรณีประเทศไทย กว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานนอกระบบเป็นผู้มีรายได้น้อย พวกเขาไม่ได้ขี้เกียจเพราะสถิติชี้ว่า 80% ของแรงงานกลุ่มนี้ทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (เท่ากับว่าทำงานหกวันต่อสัปดาห์แล้วและทำงานล่วงเวลาในบางวัน)[6] แรงงานในกลุ่มนี้จะเผชิญภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะด้วยรายได้ที่น้อยทำให้เขาต้องทำงานหนัก และแม้จะทำงานหนักรายได้ก็ยังมีรายได้น้อยอยู่ การหยุดงานเพื่อไปอบรมจะทำให้รายได้น้อยลงไปอีกจนถึงระดับที่ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย ดังนั้นแรงงานที่มีเศรษฐานะเช่นนี้จึงยากที่จะเข้าร่วมอบรมปรับทักษะ “แม้จะเป็นการอบรมฟรีก็ตาม”

โครงการ Prakerja ของอินโดนีเซียซึ่งต้องดูแลแรงงานรายได้น้อยจำนวนมากเผชิญความท้าทายลักษณะเดียวกัน[7] เขาแก้ปัญหานี้ด้วยการแบ่งเงินแรงจูงใจเพื่อการเรียนรู้ออกเป็นสองส่วนได้แก่ ส่วนแรก เครดิตทุนการศึกษาเพื่อปรับทักษะ (training scholarship) คิดเป็นมูลค่า 2,300 บาทต่อคน เงินส่วนนี้มีสถานะคล้ายคูปองการศึกษาเพราะผู้เรียนไม่ได้เก็บไว้เองและแปลงเป็นเงินสดไม่ได้ จะต้องนำไปจ่ายต่อให้แก่การอบรม[8] และส่วนที่สองคือเงินอุดหนุนหลังเรียนจบ (post-training cash incentives) “ซึ่งรัฐจ่ายให้แก่ผู้เรียน” มีมูลค่าราว 5,500 บาทต่อคน เงินนี้เองที่ช่วยชดเชยค่าเสียโอกาสและจูงใจแรงงานให้สละเวลาที่มีค่าของพวกเขามาอบรมปรับทักษะ

แต่การมีแรงจูงใจเพื่อเข้าร่วมโครงการยังไม่เพียงพอที่จะทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ ลำดับถัดมาที่ต้องพิจารณาคือ แรงจูงใจเพื่อกระตุ้นความตั้งใจ เรื่องนี้ทำได้โดยการกำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินอย่างเหมาะสมตัวอย่างเป็นรูปธรรมคือ เมื่อมีการลงทะเบียนเรียน ทาง Prakerja จะจ่ายเงินเครดิตทุนการศึกษาให้แก่ผู้สอนเพียง 30% เท่านั้น การที่ผู้สอนจะได้รับเงินอีก 70% จะต้องผลักดันให้ผู้เรียนสามารถเรียนจนจบหลักสูตรและสอบผ่านได้สำเร็จ ส่วนผู้เรียนจะได้รับเงินอุดหนุนก็ต่อเมื่อเรียนจบเช่นกัน การกำหนดเงื่อนไขเหล่านี้จะทำให้ทั้งผู้เรียนและผู้สอนใส่ใจต่อผลลัพธ์การเรียนรู้อย่างเต็มที่ และมีเป้าหมายที่จะต้องเรียนให้จบหลักสูตร

นอกจากนี้ยังมีแรงจูงใจที่สามคือ แรงจูงใจเพื่อรายงานข้อมูล โครงการ Prakerja จะให้เงินเพิ่มเติมคิดเป็นมูลค่าราว 345 บาทต่อฉบับ แก่ผู้เรียนในการตอบแบบสอบถามเพื่อประเมินความพึงพอใจคุณภาพรายวิชาและระบบการทำงานของแพลตฟอร์ม ข้อมูลเหล่านี้จะทำให้เราทราบคุณภาพของหลักสูตรและผลสัมฤทธิ์ของการอบรม

สูตรลับ 3 – ปรับแรงจูงใจ ตามบริบทและเป้าหมายที่เปลี่ยนไป

เมื่อโครงการ Prakerja ดำเนินงานมาถึงปี 2023 และวิกฤตการณ์โควิด-19 บรรเทาปัญหาลงไปมากแล้ว โครงการ Prakerja จึงปรับเป้าหมายของโครงการ ให้เน้นน้ำหนักมาสู่การปรับทักษะอย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้น และลดเป้าหมายเชิงสวัสดิการสังคมลง โดยมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดสำคัญดังนี้

ประการแรก ช่องทางอบรมขยายไปสู่การอบรมแบบพบปะลงพื้นที่มากขึ้น

ประการที่สอง มีการเพิ่มเงินเครดิตทุนการศึกษาเพื่อปรับทักษะเป็น 8,000 บาท และลดเงินอุดหนุนหลังเรียนจบเป็น 1,375 บาท ทิศทางอุดหนุนที่เปลี่ยนไปนี้สะท้อนนัยว่า เป้าหมายการปรับทักษะเข้มข้นมากขึ้นและเป้าหมายสวัสดิการสังคมของโครงการลดลง สุดท้ายคือการขยายเงื่อนไขของผู้รับประโยชน์จากโครงการให้ครอบคลุมกว้างขวางขึ้น จากแต่เดิมจะคัดเพียงคนที่เข้าไม่ถึงสวัสดิการภาครัฐใดๆ เลย แต่ในปี 2023 นี้จะเปิดโอกาสให้ผู้ที่เข้าถึงสวัสดิการภาครัฐสามารถสมัครเข้าโครงการได้ด้วย

ปี ช่องทางอบรมเครดิตทุนการศึกษาเพื่อปรับทักษะ (บาท)เงินอุดหนุนหลังเรียนจบ (บาท)เงื่อนไขการรับประโยชน์
2020-2022ออนไลน์เท่านั้น2,3005,500สำหรับผู้ที่เข้าไม่ถึงสวัสดิการสังคมใดๆ เท่านั้น
2023ออนไลน์ และ แบบลงพื้นที่8,0001,375เปิดกว้างให้ผู้ที่เข้าถึงสวัสดิการสังคม สามารถสมัครได้
ภาพที่ 2: การปรับเปลี่ยนรายละเอียดการให้แรงจูงใจของโครงการ Prakerja

สูตรลับ 4 – ต้องมีกลไกควบคุมและส่งเสริมคุณภาพหลักสูตร

เนื่องจากรัฐไม่ได้ทำเนื้อหาและอบรมด้วยตนเอง แต่เป็นคนวางหลักเกณฑ์ในการคัดสรรผู้ให้การอบรมและรายวิชาที่จะเข้ามาในแพลตฟอร์ม โครงการ Prakerja จัดให้มีทีมประเมินคุณภาพสองชุดซึ่งเป็นอิสระต่อกันและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกันเพื่อทำการประเมินและส่งเสริมคุณภาพ

ชุดหนึ่งประเมินเพื่อรับหน่วยงานเข้ามาเป็นผู้สอนและผู้ผลิตรายวิชา (assessment team) ตัวอย่างเกณฑ์ที่ใช้ในการตัดสินเช่น 1. การตอบสนองต่อความต้องการตลาดแรงงาน 2. ระบบธรรมาภิบาลที่ดี 3. คุณภาพของรายวิชา 4. ประวัติและความน่าเชื่อถือของหน่วยงานและผู้สอน 5. โครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์ที่เอื้อการเรียนรู้ และ 6. การมีสัดส่วนเวลาและรูปแบบการอบรมตามที่ Prakerja กำหนด เป็นต้น โดยหัวข้อที่ยกมานี้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ในรายละเอียดแล้วมีตัวแปรที่พึงพิจารณาทั้งสิ้นมากถึง 52 รายการด้วยกัน

ทั้งนี้ ในกรณีที่หน่วยงานอบรมสอบตกเกณฑ์ โครงการ Prakerja ยังจัดให้มีกลไกให้คำปรึกษาเพื่อที่จะพัฒนาคุณภาพให้ถึงเกณฑ์ในอนาคตด้วย

ชุดที่สองประเมินเพื่อติดตามให้มั่นใจว่าการดำเนินงานจริงมีคุณภาพตามที่ได้ตกลงกันไว้กับแพลตฟอร์ม (monitoring team) โดยมีเกณฑ์ทั้งสิ้น 85 ข้อ ตัวอย่างได้แก่ 1. การสอดคล้องกันระหว่างชื่อวิชากและเนื้อหาจริงเวลาสอน 2. รายละเอียดที่เพียงพอของเอกสารประกอบการสอน 3. ทักษะผู้สอนจริง 4. ราคาที่เหมาะสม 5. การออกใบรับรองทักษะ นอกจากนี้ยังรวมถึงการติดตามเพื่อป้องกันการฉ้อโกงหรือการโฆษณาเกินจริงจากผู้ให้บริการอบรม เป็นต้น

ทีมงานทั้งสองชุดนี้จะช่วยให้มั่นใจว่า หลักสูตรคัดผู้สอนที่ดีเข้ามาในระบบแพลตฟอร์ม (ลดโอกาส adverse selection) และมั่นใจว่าภายหลังได้รับเลือกผู้สอนจะไม่ลดมาตรฐานลงเวลาดำเนินงานจริง (ลดโอกาส moral hazard)

นอกจากผู้ประเมินสองชุดข้างต้น โครงการ Prakerja ยังมีอีกสองกลไกที่ทำให้มั่นใจว่าแพลตฟอร์มจะมีคุณภาพสูง ได้แก่ 1. การส่งเสริมการแข่งขันเพื่อผลิตหลักสูตรที่ดีที่สุดให้แก่ผู้เรียน (competing in providing the best services) กล่าวคือ โครงการต้องมั่นใจว่าจัดให้มีผู้สอนที่หลากหลายมากเพียงพอในแต่ละทักษะสำคัญ ผู้สอนเหล่านี้ต้องแข่งเพื่อพัฒนาเนื้อหาของตนเองอย่างสม่ำเสมอ และ 2. การสำรวจความพึงพอใจของผู้เรียนโดยตรง และแสดงผลการสำรวจบนแพลตฟอร์มเพื่อเป็นข้อมูลให้แก่ผู้เรียนรุ่นถัดไป เช่นเดียวกับการรีวิวในแพลตฟอร์มส่งอาหารที่แพร่หลายในปัจจุบัน

สูตรลับ 5 – ยิ่งโปร่งใส ยิ่งปรับตัวไว ยิ่งพัฒนา

การประเมินคุณภาพไม่ได้ทำเพียงแค่ระดับ ‘รายวิชา’ หรือ ‘หน่วยอบรม’ เท่านั้น แต่ยังมีกลไกประเมินคุณภาพและผลกระทบของโครงการ Prakerja ในภาพรวมด้วย รัฐบาลเชิญให้หน่วยงานชื่อ Abdul Latif Jameel Poverty Action Lab (J-PAL) ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ซึ่งร่วมก่อตั้งโดยอภิจิต บาเนอร์จี (Abhijit Banerjee) และเอสเธอร์ ดูฟโล (Esther Duflo) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2019 เข้ามาเป็นผู้ประเมินภายนอก

การเชิญหน่วยงานประเมินภายนอกที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ส่งผลให้โครงการนี้เป็นที่รู้จักและถูกจับตามองจากแวดวงวิชาการและนโยบายทั่วโลก เป็นการทำให้โครงการมีภาพลักษณ์ที่ดีและโปร่งใสไปด้วยในตัว

ถึงแม้ว่าโครงการ Prakerja จะพยายามควบคุมคุณภาพอย่างดีเพียงใด แต่การขึ้นระบบในระยะเวลาที่รวดเร็วมาก (ภายในหกเดือน) ทำให้อาจมีจุดบกพร่องไม่สมบูรณ์แบบได้อยู่ดี ดังนั้น โครงการจึงจัดให้มีกลไกรับเรื่องราวร้องเรียนได้ทุกวันระหว่าง 8 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม ในสามช่องทางคือ โทรศัพท์, ไลฟ์แชท และเว็บไซต์ โดยจะมีการรายงานผลกลับให้แก่ผู้ร้องเรียนในทุกกรณี

สถิติที่รวบรวมโดยโครงการชี้ว่า ในปี 2021 มีเรื่องร้องเรียนมากถึง 1.95 ล้านสายและมีการส่งข้อความเพื่อสื่อสารจากผู้ใช้งานมากถึง 9.9 ล้านครั้ง ถึงแม้เรื่องร้องเรียนจะมีจำนวนมากแต่การตอบสนองที่ว่องไวและความโปร่งใส (การแสดงสถานะว่าเรื่องร้องเรียนดำเนินการไปถึงไหนแล้วแบบ real-time) ทำให้ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการมากกว่า 80% ของผู้ใช้งานที่ติดต่อเข้ามาทั้งหมด จุดนี้สะท้อนว่า แม้การออกแบบระบบแพลตฟอร์มจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่การตอบสนองที่ไวและแม่นยำการปรับปรุงอย่างโปร่งใสและต่อเนื่อง ทำให้ความพึงพอใจยังอยู่ในระดับสูงและคนไม่ถอนตัวจากระบบ

สูตรเสริม การส่งเสริมทักษะแบบมุ่งเป้า

โครงการ Prakerja มีกลุ่มทักษะที่ได้รับความนิยมในการเรียนและการสอนบนแพลตฟอร์ม ได้แก่ การตลาด, เทคโนโลยีสารสนเทศ, การออกแบบกราฟิก, การบริหารทั่วไป, การขาย, การเงิน, ภาษา, ทักษะด้านเทคนิค, ความปลอดภัยทางไซเบอร์, เกษตร, ทักษะทางสังคม เป็นต้น

ทักษะเหล่านี้เราอาจะนิยามได้ว่าเป็น ‘ทักษะฐานกว้าง’ (broad-based skills) ซึ่งจะค่อยๆ ปรับฐานทักษะของแรงงานในระบบเศรษฐกิจไปเป็นลำดับ กลไกเช่นนี้มีความจำเป็นและส่งผลกระทบเชิงบวกในระยะยาว แต่รัฐอาจจะเพิ่มโปรแกรมอบรมทักษะอย่างมุ่งเป้า เพื่อเร่งรัดให้เกิดผลกระทบในด้านใดด้านหนึ่งอย่างเจาะจงในระยะสั้นได้ด้วย ในบทความนี้ขอเสนอสองด้าน ได้แก่ การมุ่งทักษะที่จำเป็นต่อภาคเศรษฐกิจเป้าหมาย และ ทักษะที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม โดยจะได้ขยายความเป็นลำดับ

ด้านแรก การกำหนดโปรแกรมส่งเสริมทักษะเฉพาะสำหรับภาคเศรษฐกิจเป้าหมาย (sector-specific skills) จะช่วยให้มีแรงงานทักษะเฉพาะด้านที่มากเพียงพอสำหรับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะภาคเศรษฐกิจที่เกิดใหม่ซึ่งขาดแคลนแรงงาน ในกรณีนี้การฝึกอบรมทักษะฐานกว้างจะไม่ตอบโจทย์ รัฐควรมีมาตรการวิเคราะห์ความต้องการแรงงานของภาคเศรษฐกิจเป้าหมายเหล่านั้นโดยเฉพาะ และให้เงินอุดหนุนพิเศษ หรือการการันตีจ้างงานให้แก่ผู้จบหลักสูตรด้วยเกณฑ์ที่กำหนด

ในกรณีที่เป็นบรรษัทขนาดใหญ่มาก ยกตัวอย่าง สมมติบริษัท G อยากเข้ามาลงทุนด้านดิจิทัลในประเทศไทยเป็นหลายหมื่นล้านบาทและต้องการแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ อาจมีโปรแกรมการอบรมที่สร้างทักษะเฉพาะบริษัท (firm-specific skills) ได้เช่นกัน โดยในกรณีเหล่านี้ภาคเอกชนอาจเข้าร่วมสมทบให้กับโครงการเพิ่มเติมโดยรัฐไม่ได้เป็นผู้ลงทุนฝ่ายเดียว

ด้านที่สอง การกำหนดโปรแกรมส่งเสริมทักษะที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคม หรือบริการสาธารณะ (welfare-related skills) การพัฒนาทักษะแรงงานเหล่านี้ไม่เพียงช่วยส่งเสริมรายได้แต่อาจจะช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคม จึงไม่ควรละเลยหรือมุ่งเป้าเฉพาะงานที่ตอบโจทย์การขยายตัวทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว การกำหนดเช่นนี้จะช่วยลดปัญหาความล้มเหลวของกลไกตลาด (market failure) ที่มักจะผลิตแรงงานทักษะเพื่อสังคมน้อยกว่าที่ควรจะเป็นเนื่องจากไม่มีแรงจูงใจทางการเงินนั้นเอง

ส่งท้าย – การปรับทักษะต้องทำควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจด้วยเสมอ

ถึงแม้ว่าการปรับทักษะแรงงานนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งแต่จะทำเพียงลำพังไม่ได้ ต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างการผลิตให้ก้าวหน้าขึ้นจึงจะเกิดผลดีสูงสุดต่อประเทศ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

ประการแรก หากภาคการผลิตมุ่งเน้นแต่สินค้าเทคโนโลยีต่ำ ก็อาจจะทำให้ผู้ผลิตต้องการแค่แรงงานทักษะต่ำหรือปานกลาง และไม่มีความต้องการแรงงานทักษะสูง

ประการที่สอง แรงงานที่มีการปรับทักษะไปแล้วอาจได้รับค่าตอบแทนน้อยกว่าที่ควรจะเป็นเพราะนายจ้างไม่เห็นความสำคัญของทักษะเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น หากแรงงานไทยเรียนการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพิ่มขึ้น แต่บริษัทยังไม่ได้ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการผลิตสินค้าหรือบริการ ก็จะทำให้ทักษะเหล่านี้ไม่มีมูลค่าเพิ่มต่อบริษัท ดังนั้นบริษัทจึงไม่ปรับเพิ่มเงินเดือนให้กับทักษะดังกล่าว เป็นต้น ผลลบที่เกิดต่อเนื่องคือ แรงงานจะอยากปรับทักษะน้อยลงเพราะรู้สึกว่าอบรมไปก็ไม่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากทักษะใหม่ๆ

เราสามารถรับรู้ถึงความท้าทายเหล่านี้เช่นกันเมื่อมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทย การสำรวจความต้องการแรงงานจากโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระหว่างปี 2561-2565 พบว่า ความต้องการแรงงานวุฒิ ป.6 ถึง ม.6 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความต้องการแรงงานวุฒิ ปวช.-ปวส. และปริญญาตรีขึ้นไป มีแนวโน้มลดลงทั้งคู่

เมื่อเจาะจงพิจารณาเฉพาะโครงการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ปี 2565 พบว่าอุตสาหกรรมยานยนต์มีความต้องการแรงงานในวุฒิ ป.6 ถึง ม.6 อยู่มากถึง 64% ของความต้องการแรงงานทั้งหมด โดยมีความต้องการวุฒิ ปวช.-ปวส. เพียงราว 22.5% และปริญญาตรีขึ้นไปเพียง 13.5% เท่านั้น และเมื่อสำรวจอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ก็ได้ผลใกล้เคียงกัน[9])

ถึงแม้วุฒิการศึกษาจะไม่ได้สะท้อนถึงทักษะโดยตรง แต่ก็ชี้ได้ว่า แม้แต่เขตส่งเสริมการลงทุนก็ยังคงมีโครงสร้างการผลิตเน้นใช้แรงงานวุฒิการศึกษาสายสามัญและมีระดับต่ำกว่า ม.6 เป็นส่วนใหญ่ (นอกจากนี้ สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2561) จึงอนุมานได้ว่าโครงสร้างการผลิตของอุตสาหกรรมเหล่านี้ยังปรับตัวได้ช้า และต้องการมาตรการส่งเสริมให้เปลี่ยนผ่านไปใช้แรงงานทักษะให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว[10] ข้อสังเกตคืออุตสาหกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องจักรทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยในยุคบุกเบิกทั้งสิ้น

สถานการณ์ค่อนข้างแตกต่างออกไป ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ‘ใหม่’ เช่น อุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ เน้นใช้แรงงานวุฒิ ปวช.-ปวส. ในสัดส่วน 69% และ 77% ตามลำดับ ส่วนอุตสาหกรรมดิจิทัลเน้นใช้แรงงานปริญญาตรีขึ้นไปถึง 95% ของความต้องการแรงงานทั้งหมด เป็นต้น อุตสาหกรรมเหล่านี้มีศักยภาพที่จะสร้างงานทักษะสูงในอนาคต และเหมาะสมจะทำมาตรการส่งเสริมทักษะอย่างมุ่งเป้า

ประเด็นนี้เหมือนปัญหาไก่-ไข่ อะไรเกิดก่อนกัน! เพราะภาคการผลิตก็สะท้อนว่า หากไม่มีแรงงานทักษะสูงในจำนวนที่มากพอ นักลงทุนก็ไม่สามารถเสี่ยงลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างการผลิตไปใช้เทคโนโลยีและทักษะขั้นสูงเช่นกัน นัยนี้ การทำนโยบายปรับทักษะและนโยบายปรับโครงสร้างการผลิตให้ก้าวหน้า จึงเป็นสองชุดนโยบายที่ต้องขับเคลื่อนไปคู่กันเสมอ

การปรับโครงสร้างทักษะแรงงานและโครงสร้างการผลิต จึงเหมือนการปีนภูเขาสูง… เราคงไม่สามารถไปถึงยอดผาได้ หากปีนด้วยมือข้างเดียวครับ 

หมายเหตุ: ข้อมูลที่ใช้ในงานชิ้นนี้เกิดจากการศึกษาดูงานโครงการ Prakerja โดยการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และเกิดจากการวิจัยร่วมกันหลายฝ่าย ผู้เขียนขอขอบคุณ นพ.สุภกร บัวสาย, ดร.รุ่งนภา จิตรโรจนรักษ์, คุณธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ และผู้ร่วมวิจัยท่านอื่นๆ ที่ไม่อาจเอ่ยนามได้ทั้งหมด ความผิดพลาดใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น ผู้เขียนขอน้อมรับไว้เอง


บรรณานุกรม/อ่านเพิ่มเติม

APEC. (2021). APEC Economic Policy Report 2021: Structural Reform and the Future of Work (Annex B: Case Studies). APEC.

Bank Ngamarunchot, Tiraphap Fakthong, Weerawat Phattarasukkhumjorn, และ Poramet Rangsipol. (2018). Earned Income Tax Credit Policy with Adequate Income as a Benchmark for Informally Employed Thai Workers. Thailand and the World Economy, 36(3).

Prakerja. (2021). Kartu Prakerja Program Management Report 2021. Prakerja. เข้าถึงได้จาก https://public-prakerja.oss-ap-southeast-5.aliyuncs.com/www/ebook-reporting/Laporan-Manajemen-Pelaksana-Program-Kartu-Prakerja-Tahun-2021-English.pdf

Prakerja. (2023). Contribute to the enhancement of workforce Skills. เข้าถึงได้จาก https://staginglanding-v2.prakerja.go.id/en/lembaga-pelatihan

Saadia Zahidi. (20 Jan 2020). We need a global reskilling revolution – here’s why. เข้าถึงได้จาก World Economic Forum: https://www.weforum.org/agenda/2020/01/reskilling-revolution-jobs-future-skills/

SPEC. (2020). Pre-Employment Card Program (Program Kartu Prakerja). Social Protction for Employment Community (SPEC).

Vesselina Stefanova Ratcheva, และ Till Leopold. (17 Sep 2018). 5 things to know about the future of jobs. เข้าถึงได้จาก World Economic Forum: https://www.weforum.org/agenda/2018/09/future-of-jobs-2018-things-to-know/

Vivi Alatas, Rema Hanna, Achmad Maulana, Benjamin A. Olken, Elan Satriawan, และ Sudarno Sumarto. (2021). Kartu Prakerja Impact Evaluation: Preliminary Findings. J-PAL SEA.

ฐานเศรษฐกิจ. (27 สิงหาคม 2566). สัญญาณเตือน เด็กจบ ป.ตรี ว่างงานพุ่ง ทำงานได้เงินเดือนต่ำ. เข้าถึงได้จาก ฐานเศรษฐกิจ: https://www.thansettakij.com/business/economy/574485


References
1 https://www.weforum.org/agenda/2020/01/reskilling-revolution-jobs-future-skills/
2 https://www.weforum.org/agenda/2018/09/future-of-jobs-2018-things-to-know/
3 วัดจากการเปรียบเทียบคะแนนสอบเฉลี่ยก่อนการอบรม (53 จาก 100 คะแนน) และหลังอบรม (68 จาก 100 คะแนน) โดยราว 75% ของผู้เรียนทำคะแนนหลังการอบรมได้มากกว่า 60 คะแนน (ดู Kartu Prakerja Program Management Report 2021
4 ดู Kartu Prakerja Program Management Report 2021
5 Kartu Prakerja Program Management Report 2021; รายงานล่าสุดของปี 2023 รวมสถิติระหว่างปี 2020-2022 พบว่า มีหน่วยงานเข้าร่วมโครงการสะสมเป็น 398 แห่ง มีคอร์สเรียนกว่า 6,900 รายวิชา และมีการเข้าร่วมอบรมถึง 25 ล้านครั้งด้วยกัน (ดู https://staginglanding-v2.prakerja.go.id/en/lembaga-pelatihan
6 Bank Ngamarunchot et.al. (2018). Earned Income Tax Credit Policy with Adequate Income as a Benchmark for Informally Employed Thai Workers. Thailand and the World Economy: 36 (3).
7 76% ของแรงงานชาวอินโดนีเซียนอยู่ในเศรษฐกิจนอกระบบ และมีรายได้น้อยเพียงราว 212 ดอลลาร์สหรัฐ (7,420 บาท) ต่อเดือนเท่านั้น ยิ่งในสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 มีแรงงานถึง 17.41 ล้านคน ยอมลดเวลาทำงานและรับเงินเดือนน้อยลงเพื่อรักษาตำแหน่งงานเอาไว้, 1.82 ล้านคนตกงาน และมีอีกกว่าเจ็ดแสนคนต้องออกจากตลาดแรงงานไปเลย
8 ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม (marketplace) ทั้งหกแห่งจะได้ส่วนแบ่งจากเงินก้อนนี้ตามข้อตกลงระหว่าง ตัวแพลตฟอร์มและหน่วยงานที่ทำการอบรม แต่จะต้องไม่เกิน 10% ของมูลค่าที่เกิดขึ้น
9 เช่น โครงการลงทุนใน EEC ของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ต้องการแรงงาน วุฒิ ป.6-ม.6 ในสัดส่วน 63.2%, ปวช.-ปวส.สัดส่วน 23.6% และปริญญาตรีขึ้นไปมีสัดส่วน 12.9% (ดู https://www.thansettakij.com/business/economy/574485
10 อุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์นั้นกำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี เมื่อกระบวนการดังกล่าวมีความชัดเจน ความต้องการทักษะแรงงานใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Education

20 Jul 2023

คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ในวิกฤต (?)

ข่าวการปรับหลักสูตรของอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ชวนให้คิดถึงอนาคตของการเรียนการสอนสายมนุษยศาสตร์ เมื่อตลาดแรงงานเรียกร้องทักษะสำหรับการทำงานจริง จนมีการลดความสำคัญวิชาพื้นฐานอันเป็นการฝึกฝนการวิเคราะห์วิพากษ์เพื่อทำความเข้าใจโลกอันซับซ้อน

เสียงเล็กๆ จากประชาคมอักษร

20 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save