ราชอาณาจักรเสนาธิปไตยแห่งสยาม (Praetorian Kingdom)

วิวัฒนาการของอิทธิพลทหารในการเมืองไทยร่วมสมัยเป็นตัวอย่างคลาสสิกของลัทธิการปกครองโดยทหาร (praetorianism) โครงสร้างของกองทัพเป็นลำดับชั้นที่เชื่อมโยงกันผ่านความสัมพันธ์ของรุ่น เหล่า พวกพ้อง บริวาร ตลอดถึงเครือญาติในครอบครัวทหารและชนชั้นสูง แต่สุดท้ายแล้วความชอบธรรมทั้งหลายแหล่เกิดจากการยึดโยงกับสถาบันกษัตริย์เป็นสำคัญ

ความข้างต้นเป็นความเห็นรวบยอดที่สุดอันได้จากการอ่านหนังสือ อาณาจักรเสนานุภาพ: ประวัติศาสตร์ของอำนาจวาสนาทางทหารในประเทศไทย ของ พอล แชมเบอส์ [Paul Chambers. Praetorian Kingdom: A History of Ascendency in Thailand. Singapore: ISEAS Publishing, 2024] หนังสือภาษาอังกฤษที่มีความยาว 675 หน้า  

แชมเบอส์ เป็นนักวิชาการอเมริกันที่จัดได้ว่าเชี่ยวชาญกิจการทหารไทยมากที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคสมัยปัจจุบัน เขาอาศัยอยู่ในประเทศไทยนานถึง 30 ปี ทำให้รู้จักทหารในบริบทการเมืองไทยอย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง จนสามารถผลิตงานเขียนออกมามากมาย ไม่ว่าจะในรูปของบทความ รายงาน หรือหนังสือเกี่ยวกับทหารไทย ทั้งในแง่มุมของความมั่นคงและการเมืองได้อย่างลุ่มลึกแหลมคม

ก่อนจะกล่าวถึงเนื้อหาและสิ่งที่ได้จากการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์อันพิสดารพันลึกของ ‘ทหารการเมือง’ จะขออภิปรายเกี่ยวกับคำว่า ‘Praetorian’ สักเล็กน้อยเนื่องจากยังไม่มีฉันทานุมัติในหมู่ปัญญาชนไทยที่ศึกษาเรื่องทหารกับการเมือง ว่าคำแปลที่เหมาะสมที่สุดควรจะเป็นคำใด

พจนานุกรมฉบับ สอ เสถบุตร แปลว่า ‘ทหารผู้พิทักษ์องค์จักรพรรดิโรมัน’ ตรงตามความหมายดั้งเดิม แต่คงจะใช้คำนี้ในบริบทอื่นยาก มีผู้รู้หลายท่านเสนอให้ใช้คำว่า ‘การปกครองโดยทหาร’ หรือ ‘การปกครองโดยอำนาจของทหาร’ หรือ ‘ระบอบองครักษ์’ ก็ดูจะเป็นคำที่เข้าใจง่ายและตรงไปตรงมา เหมาะสำหรับการใช้งานในบริบททั่วไปที่ต้องการสื่อถึงการปกครองหรือการมีอิทธิพลของทหารในระบบการเมือง คำเหล่านี้เหมาะสมในกรณีที่ต้องการให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องมีการตีความเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามแวดวงวิชาการได้บัญญัติศัพท์คำนี้เอาไว้หลายคำ ได้แก่

  1. ‘เสนาธิปัตย์’ คำนี้หมายถึงผู้บัญชาการทหาร ซึ่งอาจไม่ครอบคลุมความหมายทั้งหมดของคำว่า ‘praetorian’ ในบริบทของการปกครองโดยทหาร คำนี้เหมาะสมในบริบทที่ต้องการเน้นไปที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในการควบคุมกองทัพ
  2. ‘เสนานุภาพ’ คำนี้มีความหมายครอบคลุมถึงอำนาจและบทบาทของทหารในระบบการเมือง ซึ่งตรงกับความหมายของคำว่า ‘praetorian’ มาก เหมาะสำหรับการใช้งานในบริบทที่ต้องการสื่อถึงอิทธิพลและพลังของทหารในการปกครองและการเมือง
  3. ‘เสนาธิปไตย’ ในการแปลคำว่า ‘praetorian’ เป็นทางเลือกที่เหมาะสมในหลายบริบท เนื่องจากคำว่า ‘เสนาธิปไตย’ สื่อถึงระบบการปกครองที่มีทหารเป็นผู้นำหรือมีอำนาจสูงสุด ซึ่งใกล้เคียงกับความหมายของ ‘praetorian’ ที่สื่อถึงการมีอำนาจควบคุมของทหารในระบบการเมือง

คำว่า เสนานุภาพและเสนาธิปไตย ให้ความหมายใกล้เคียงกันที่สุด แต่คำว่าเสนานุภาพมีข้ออ่อนตรงที่อาจไม่สื่อถึงระบบการปกครองโดยตรง เพราะไปเน้นที่อำนาจของทหารมากกว่า ส่วนเสนาธิปไตยซึ่งประกอบด้วย ‘เสนา’ หมายถึงทหาร และ ‘ธิปไตย’ หมายถึงการปกครองหรืออำนาจ เมื่อรวมกันจะหมายถึง ‘การปกครองโดยทหาร’ ซึ่งครอบคลุมทั้งการปกครองและอิทธิพลของทหารในระบบการเมืองได้อย่างดี ดังนั้น ถ้าหากคำว่าประชาธิปไตย แทนการปกครองโดยประชาชน คำว่าเสนาธิปไตย จึงเป็นคำที่เหมาะสมในการสื่อถึงระบบการปกครองที่ทหารมีอำนาจสูงสุดหรือมีบทบาทสำคัญในการควบคุมประเทศ

ในส่วนของเนื้อหา หัวใจของหนังสือเล่มนี้คือแนวคิดเรื่องทหารพระราชาหรือ ‘monarchization’ ที่แชมเบอส์ประดิษฐ์ขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อนเพื่อใช้อธิบายสถานะในความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์และกองทัพ ซึ่งหมายถึงกระบวนการที่ทหารในประเทศไทยกลายเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสถาบันกษัตริย์ โดยทหารจะทำหน้าที่เป็นหุ้นส่วนรอง (junior partner) ของพระราชวังผู้เป็นหุ้นส่วนหลัก (senior partner) กระบวนการในการทำให้ทหารกลายเป็นทหารพระราชานี้ประกอบไปด้วยพลวัตทางอุดมการณ์ สัญลักษณ์ พิธีกรรม และกระบวนการที่ช่วยเพิ่มความชอบธรรมของทหารตามมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม พูดง่ายๆ คือหมายถึงการที่กองทัพต้องพึ่งพาเรื่องราว (narrative) ของราชาธิปไตยเพื่อเพิ่มอำนาจหรือสร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจของพวกเขา

“ทหารที่ได้รับการ monarchized” หมายถึงทหารที่มีองค์ประกอบเหล่านี้ ไม่ใช่กระบวนการในการเปลี่ยนทหารให้เป็นพระราชา หากแต่เป็นการพึ่งพาราชาธิปไตยและอ้างอิงกษัตริย์เพื่อแสวงหาความชอบธรรมและการสนับสนุน [Praetorian Kingdom, หน้า 22]

กล่าวอีกนัยหนึ่ง monarchized military คือ ความสัมพันธ์ในแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยระหว่างสองสถาบัน ในด้านหนึ่ง กษัตริย์หรือราชวงศ์ก็จะได้ ‘ความจงรักภักดี’ อันหาที่สุดมิได้ เป็นการตอบแทนเพื่อค้ำจุนสถานะและราชบัลลังก์ ในขณะที่กองทัพ ก็จะใช้ความชอบธรรมทั้งในทางจารีตประเพณี อุดมการณ์ และตัวบทกฎหมาย สร้างอำนาจของตัวเองในทางการเมืองการปกครอง

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าก่อนหรือหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 กองทัพไทยมีบทบาทสำคัญในการปกป้องราชวงศ์และราชบัลลังก์ ทำให้กองทัพเป็นกองทัพที่ผูกพันกับสถาบันกษัตริย์ แต่ในระดับย่อย ความเชื่อมโยงภายในกองทัพไม่ได้เกิดจากอุดมการณ์ของการผูกพันกับราชวงศ์เท่านั้น แต่ยังเกิดจากความสัมพันธ์และความเป็นพี่น้อง พวกพ้องหรือเพื่อนร่วมรุ่นในโรงเรียนทหาร เพื่อนร่วมเหล่าในหน่วยทหารเดียวกัน หรือประสบการณ์การรบร่วมกัน ถ้าจะมองในระดับต่ำสุด ความสัมพันธ์นี้ยังขึ้นอยู่กับบารมีส่วนตัวของ ‘ขุนศึก’ ในกองทัพอีกด้วย

หนังสือทั้ง 15 บทนั้นให้รายละเอียดเกี่ยวกับขุนศึกคนสำคัญที่มีบทบาทในการเมืองไทยนับแต่การปฏิวัติ 2475 เป็นต้นมา อันประกอบไปด้วย ยุคพระยาพหลพลพยุหเสนา จอมพล ป. พิบูลสงคราม (2475-2487), ยุคการเมืองสามก๊กของจอมพล ป. จอมพล ผิน ชุณหะวัน-พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ และ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (2487-2500), ยุคสฤษดิ์เรืองอำนาจ (2500-2506), ยุคจอมพล ถนอม กิตติขจร-จอมพล ประภาส จารุเสถียร (2506-2516), เรื่องของพลเอก กฤษณ์ สีวะราและ 6 ตุลา (2516-2519), ความพยายามของวังหลวงในการยึดอำนาจ (2519-2520), ยุคพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ (2520-2523), เรื่องของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ผู้จงรักภักดีอันหาที่สุดมิได้ เหตุการณ์นองเลือดในเดือนพฤษภาคม และอำนาจของ พลเอก สุจินดา คราประยูร-พลเอก สุนทร คงสมพงษ์ (2531-2535), ยุคที่ได้ชื่อว่าทหารนำประชาธิปไตยที่พลเอก เปรมและพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ์ เล่นบทชักใยการเมือง (2535-2544), ยุคของ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน และ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (2544-2551), ยุค 3 ป. ของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ, พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (2551-2557) จบด้วยระบอบประยุทธ์ (2557-2566)

หนังสือให้รายละเอียดของแต่ละยุคสมัยเอาไว้อย่างครบถ้วน พร้อมด้วยสาแหรกของขุนศึกคนสำคัญเหล่านี้อย่างเพียบพร้อม แต่ในที่นี้อยากจะเน้นเป็นพิเศษคือดีกรีของความเป็นทหารพระราชา ในบรรดาขุนศึกที่ได้กล่าวถึงข้างต้นนั้นเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าทหารพระราชาที่มีอิทธิพลและได้รับความโปรดปรานจากราชวงศ์แตกต่างกันไป บางคนอาจจะเห็นว่า สฤษดิ์ คือผู้มีคุณูปการต่อการสร้างทหารพระราชามากที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ในความเห็นของแชมเบอส์นั้น พลเอก เปรม เป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในฐานะผู้มีอิทธิพลเหนือขุนทหารทั้งปวงเพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่กษัตริย์รัชกาลที่ 9 และราชินีสิริกิติ์โปรดปรานอย่างมาก

การขึ้นสู่อำนาจของเปรม จัดได้ว่าเป็นการเริ่มต้นการเป็นพันธมิตรที่สำคัญระหว่างราชวงศ์และกองทัพ หลังจากการปฏิวัติเงียบ (ยึดอำนาจจากเกรียงศักดิ์) ในปี 2523 เปรมกลายเป็นบุคคลสำคัญในฐานะผู้พิทักษ์ราชบัลลังก์ เขาทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัชกาลที่ 9 การเป็นพันธมิตรครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องมีคนกลาง แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนโดยตรงของทหารต่อราชวงศ์ [Praetorian Kingdom, หน้า 413]

บทบาทของเปรมในฐานะหุ้นส่วนรองของกษัตริย์ ทำให้เขาเป็นบุคคลสำคัญในการรักษาความจงรักภักดีของทหารต่อสถาบันกษัตริย์ และทำให้การกระทำของทหารมีความชอบธรรมในนามของการปกป้องสถาบันกษัตริย์ [Praetorian Kingdom, หน้า 446-447]

แม้หลังจากการเกษียณ เปรมยังคงมีอิทธิพลอย่างมากเมื่อเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานองคมนตรี ซึ่งเสริมสร้างบทบาทของเขาในการสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ ตำแหน่งนี้ช่วยธำรงรักษาผลประโยชน์ที่สอดคล้องต้องกันของทหารกับราชวงศ์ เสริมสร้างอำนาจของสถาบันกษัตริย์ในภูมิทัศน์การเมืองของไทยได้อย่างชัดเจนโดดเด่นที่สุด [Praetorian Kingdom, หน้า 644]

ที่จะขาดเสียไม่ได้คือ หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงขุนศึกที่เป็นทหารพระราชาในยุครัชกาลใหม่เอาไว้ด้วย การแต่งตั้งประยุทธ์เป็นผู้บัญชาการทหารบกนั้นเป็นที่คาดหมายได้ตั้งแต่ต้น เนื่องจากเขาเป็นน้องรักในสายทหารเสือราชินี-บูรพาพยัคฆ์ของอนุพงษ์ และที่สำคัญเขาเป็นผู้มีทัศนคติที่ภักดีต่อสถาบันกษัตริย์อย่างแรงกล้า นั่นจึงเป็นพื้นฐานและความเชื่อมโยงที่ทำให้บทบาทของเขาในการรักษาความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์แข็งแกร่งขึ้น [Praetorian Kingdom, หน้า 597]

นับแต่การรัฐประหารในปี 2557 รัฐบาลภายใต้การนำของประยุทธ์แสวงหาความชอบธรรมผ่านการเชื่อมโยงกับสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเห็นได้จากเหตุการณ์สำคัญของราชวงศ์ เช่น งานอภิเษกสมรสระหว่างรัชกาลที่ 10 ราชินี สุทิดา เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม และพิธีบรมราชาภิเษกตั้งแต่วันที่ 4-6 พฤษภาคม 2562 การปรากฏตัวของประยุทธ์, ประวิตร และอนุพงษ์ในงานเหล่านี้ช่วยเพิ่มความชอบธรรมในบทบาทของพวกเขาในฐานะผู้พิทักษ์ราชบัลลังก์ [Praetorian Kingdom, หน้า 649]

กษัตริย์รัชกาลที่ 10 เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในกิจการทหารและการระดมการสนับสนุนทางสังคม ในช่วงกลางปี 2562 มีการเปิดตัวโครงการจิตอาสาพระราชทาน 904 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการฝึกอบรมข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน และอาสาสมัครทั่วไปในค่ายทหาร เพื่อเสริมสร้างความภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ให้แข็งแกร่ง [Praetorian Kingdom, หน้า 649]

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2562 กรมทหารราบที่ 1 และกรมทหารราบที่ 11 ในกรุงเทพฯ ถูกโอนย้ายออกจากการเป็นหน่วยขึ้นตรงของกองทัพบกมาอยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของกษัตริย์ ความเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับความพยายามของรัชกาลที่ 10 ในการควบคุมทุกกองกำลังความมั่นคงในเมืองหลวงของประเทศไทย [Praetorian Kingdom, หน้า 649-650] เหล่านี้แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างประยุทธ์ และรัชกาลที่ 10 โดยเน้นถึงความพยายามร่วมกันในการเสริมสร้างอิทธิพลของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อกองทัพ และในการปกครองประเทศ

ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่สามารถค้นหาได้จากหนังสือเล่มนี้คือการปฏิรูปกองทัพ ทั้งในแง่ของการปฏิรูปแบบคลาสสิคคือ มุ่งเน้นทำให้กองทัพทันสมัย เข้มแข็ง และมีประสิทธิภาพ กับการปฏิรูปเพื่อทำให้ทหารออกจากการเมืองและสถาปนาหลักนิยมพลเรือนเป็นใหญ่ (Civilian Supremacy)

การปฏิรูปในแบบแรกพบได้ตั้งแต่ยุคก่อตั้งกองทัพสมัยใหม่จนถึงหลังการปฏิวัติ 2475 โดยที่การปฏิรูปกองทัพในปลายปี 2343 นั้นมุ่งขยายกองทัพเพื่อเสริมสร้างอำนาจราชวงศ์ให้แผ่ไปทั่วสยาม ซึ่งนั่นก็หมายรวมถึงเปลี่ยนแปลงระบบการเกณฑ์ไพร่พลแบบโบราณมาเป็นการเกณฑ์ทหารแบบใหม่ด้วยการออกกฎหมายว่าด้วยการเกณฑ์ทหาร และการพัฒนาแผนป้องกันประเทศเมื่อสยามเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากลัทธิล่าอาณานิคม [Praetorian Kingdom, หน้า 21-22, 37-38]

การปฏิรูปกองทัพไทยครั้งสำคัญเกิดในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกองทัพอย่างมากภายใต้อิทธิพลของที่ปรึกษาต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการรวมศูนย์การบัญชาการกองทัพภายใต้กองทัพภาคที่ 1 และการสร้างกองทัพภาคที่ 2 และ 3 [Praetorian Kingdom, หน้า 138-139] ช่วงนี้เองที่ทหารไทยได้รับการฝึกฝนในสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนการเปลี่ยนแปลงจากโมเดลปรัสเซียและฝรั่งเศสที่ใช้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ไปสู่โมเดลเวสต์พอยต์ [Praetorian Kingdom, หน้า 139]

การปฏิรูปกองทัพในความหมายที่ต้องการนำทหารออกจากการเมือง เพิ่งจะมีในยุคใกล้ๆ นี่เอง คือหลังเหตุการณ์นองเลือดพฤษภาคม 2535 ที่สังคมไทยเริ่มตระหนักถึงพิษร้ายของการมีทหารอยู่ในการเมืองกันอย่างจริงจัง เมื่อทหารของทัพแห่งชาติหันปากกระบอกปืนใส่ประชาชนโดยไม่ได้อ้างภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติใดๆ ทั้งสิ้น หากแต่เพียงเพราะประชาชนเหล่านั้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางที่มีการศึกษาและฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างดี ไม่อยากให้นายพลมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

ในหนังสือบอกว่าหลังเหตุการณ์นองเลือดในคราวนั้น นายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย, พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และ พลเอก สุรยุทธ จุลานนท์ ผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้มีแนวความคิดและพยายามผลักดันการปฏิรูป เพื่อสร้างกองทัพที่เล็กกระทัดรัด มีความน่าเชื่อถือ เป็นมืออาชีพและโปร่งใสมากขึ้น รัฐบาลชวนครั้งที่สองได้อนุมัติแผนการปฏิรูปกระทรวงกลาโหมและปรับโครงสร้างกองทัพ [Praetorian Kingdom, หน้า 501-502] อีกทั้งมีความพยายามรวมถึงการลดจำนวนทหาร การเพิ่มการฝึกอบรม และการรวมการจัดซื้ออาวุธเพื่อสร้างการควบคุมของรัฐบาลต่อการระดมทุนของกองทัพ [Praetorian Kingdom, หน้า 502] แต่ก็ไม่ปรากฏผลอะไรออกมาเป็นรูปธรรมมากนัก

หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลพลเรือนมีความพยายามหลายครั้งในการสร้างการควบคุมกองทัพให้มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปี 2489-2490, 2516-2519, 2531-2534, 2535-2543 และ 2543-2549 ในขณะที่การปฏิรูปทางเศรษฐกิจเพื่อจัดการเงินงบประมาณมาเลี้ยงบำรุงของกองทัพประสบความสำเร็จบางส่วน แต่การปฏิรูปทางการเมืองล้มเหลวเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากอิทธิพลที่ฝังรากลึกของกองทัพและแรงต่อต้านจากภายในกองทัพ ตัวอย่างเช่น ความพยายามในการรวมการจัดซื้ออาวุธและการปราบปรามกิจกรรมทางทหารที่ผิดกฎหมายต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างหนัก [Praetorian Kingdom, หน้า 502, 667]

กล่าวโดยสรุปเป็นเชิงประเมิน หนังสือเล่มนี้ได้ให้ข้อมูลและมุมมองเกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของทหารไทยเอาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เฉพาะอย่างยิ่ง หากจะเปรียบเทียบกับหนังสือภาษาไทยในเรื่องเดียวกัน แม้จะปรากฏว่า งานของ ณัฐพล ใจจริง และ อาสา คำภา จะได้กล่าวถึงประวัติศาสตร์ทางการเมืองคล้ายๆ กันและสามารถทำได้ในระดับดีเยี่ยม แต่เล่มนี้เป็นเล่มแรกที่เน้นเฉพาะผู้นำทางการเมืองที่เป็นทหารในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานครอบคลุมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เหมาะสำหรับเป็นคู่มือให้คนรุ่นหลังได้ค้นคว้า ศึกษา และพัฒนาในแง่มุมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทหารการเมืองของไทย

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Thai Politics

6 Jun 2025

101 SUPPORT — ร่วมซัพพอร์ต ร่วมส่งพลัง ร่วมสร้างสรรค์สื่อ

ร่วมซัพพอร์ตให้ ‘วันโอวัน’ ทำงานสื่อความรู้สร้างสรรค์แบบมืออาชีพ เปิดเบื้องหลังเบื้องหลังของปรากฏการณ์รอบตัวอย่างตรงไปตรงมา ชวนสังคมตั้งคำถามที่ ‘ใช่’ ในเรื่องสำคัญต่อชีวิต และเป็นตลาดวิชาคุณภาพให้สังคมไทย

กองบรรณาธิการ

6 Jun 2025

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save