“A fool and his money are soon parted”
Thomas Tusser
จากหนังสือ Five Hundred Points of Good Husbandry (1573)
1
เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ปี 1919
เรื่องการฉ้อโกง แชร์ลูกโซ่ ไม่ใช่เรื่องใหม่ โลกของเราเจอเหตุการณ์แบบนี้มาตลอด ตั้งแต่เรามีระบบการเงินของโลกก็ว่าได้ ประวัติศาสตร์แชร์ลูกโซ่หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า ‘พอนซีสกีม’ (Ponzi Schemes) มาจากฝีมือการฉ้อโกงของชาร์ลส พอนซี (Charles Ponzi) ผู้ที่ทำให้ชื่อของเขากลายเป็นตำนานต้นกำเนิดแชร์ลูกโซ่
พอนซีสกีมเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ปี 1920 ชาร์ลส พอนซี เสนอผลตอบแทนสูงอย่างผิดปกติให้กับนักลงทุน โดยอ้างว่าเขาสามารถทำกำไรจากการแลกเปลี่ยนแสตมป์อากร IRCs (International Reply Coupons) ซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้ในการส่งจดหมายระหว่างประเทศด้วยราคาที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ สัญญาให้ผลตอบแทนถึง 50% ใน 45 วันหรือ 100% ภายในเวลา 90 วัน ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนทั่วไปในขณะนั้น
ในความเป็นจริง เขาไม่ได้ซื้อหรือแลกเปลี่ยน IRCs จำนวนมากเท่าที่กล่าวอ้าง แต่ใช้วิธีนำเงินจากนักลงทุนใหม่ไปจ่ายผลตอบแทนให้นักลงทุนรายเก่า เมื่อนักลงทุนใหม่เริ่มลดลง และมีการขอถอนเงินออกจากระบบเป็นจำนวนมาก เรื่องก็แดงออกมา พอนซีถูกจับกุมและถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 5 ปี
ความเสียหายจากคดีนี้คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านดอลลาร์ในสมัยนั้น ซึ่งคิดเป็นเงินประมาณ 225 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน (ราว 8 พันล้านบาท)
ประวัติศาสตร์แชร์ลูกโซ่เริ่มตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และในปี 2008 ชายคนหนึ่งก็ได้สานต่อประวัติศาสตร์การโกงด้วยจำนวนเงินความเสียหายที่มากกว่าคดีพอนซีเกือบสิบเท่าตัว
2
ณ Lipstick Building แมนฮัตตัน นิวยอร์ก ซิตี้ สหรัฐอเมริกา ปี 2008
ขอเล่าย้อนกลับไปเมื่อปี 1960 สักหน่อย เพราะนั่นเป็นปีที่เบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ (Bernard Madoff) เริ่มต้นทำธุรกิจเกี่ยวกับการลงทุน และสร้างชื่อเสียงจนได้รับการขนานนามว่าเป็นพ่อมดการเงินแห่งวอลสตรีท บริษัท Bernard L. Madoff Investment Securities LLC ของเขา ที่ตั้งอยู่ในตึก Lipstick Building ในแมนฮัตตัน กลายเป็นหนึ่งในบริษัทหลักทรัพย์ที่มีชื่อเสียงในฐานะบริษัทลงทุนในเฮดจ์ ฟันที่เก่งกาจที่สุดแห่งหนึ่งของโลกตะวันตก แต่ถึงแม้จะมีการลงทุนส่วนหนึ่งถูกกฎหมาย ธุรกรรมที่เหลือส่วนใหญ่ของบริษัทกลับเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ซึ่งสามารถดำเนินการอย่างลับๆ มานานหลายปี
สุดท้ายการฉ้อโกงของแมดอฟฟ์ถูกเปิดเผยในเดือนธันวาคม ปี 2008 หลังจากที่ลูกชายของเขา มาร์คและแอนดรูว์ ตัดสินใจรายงานความผิดปกติต่อเจ้าหน้าที่เอฟบีไอถึงพฤติกรรมการทำงานของพ่อเขา บริษัทเริ่มขาดสภาพคล่องทางการเงิน มีนักลงทุนต้องการถอนเงินจำนวนมาก เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเริ่มเข้าสูภาวะถดถอยจากวิกฤตซับไพรม์ (Subprime Mortgage Crisis) ทำให้แมดอฟฟ์ไม่สามารถจ่ายเงินคืนผู้ลงทุนได้ ในจำนวนนั้นน่าจะมีนักแสดง และผู้สร้างหนังครึ่งหนึ่งของฮอลลีวูดลงทุนกับแมดอฟฟ์ด้วยเงินหลายล้านเหรียญ
แมดอฟฟ์ถูกจับกุมในอพาร์ตเมนต์ของเขาที่นิวยอร์ก ซิตี้ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2008 ต่อมาถูกตั้งข้อหาทั้งฉ้อโกงและฟอกเงิน คดีนี้กลายเป็นแชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ แมดอฟฟ์สามารถหลอกลวงนักลงทุนรวมมูลค่ากว่า 64,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราวๆ 2.2 ล้านล้านบาท) เท่ากับมูลค่าของบริษัทแอปเปิ้ลทั้งบริษัท สุดท้ายเขาถูกตัดสินจำคุก 150 ปี
ทว่าคนโลภไม่เคยหดไปจากโลกฉันใด ไม่ทันไรก็มีคดีใหม่ให้ได้ตื่นเต้น
3
ณ เมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ปี 2009
ถัดจากคดีของแมดอฟฟ์เพียง 6 เดือน ก็มีอีกคดีตามมาติดๆ นั่นคือคดีของอัลเลน สแตนฟอร์ด (Allen Stanford) เขาเปิดบริษัท Stanford Financial Group บริษัทลงทุนด้านการเงินโดยเสนอให้ผลตอบแทนสูงอย่างผิดปกติจากการเสนอขายใบรับฝากเงิน (Certificates of Deposit – CDs) ผ่านธนาคาร Stanford International Bank (SIB) ซึ่งตั้งอยู่ในเกาะแอนติกาและบาร์บูดา (Antigua and Barbuda) ในทะเลแคริบเบียน
สแตนฟอร์ดถูกจับกุมในเมืองริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2009 หลังจากที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) สหรัฐฯ เปิดเผยการฉ้อโกงและเริ่มดำเนินการฟ้องร้อง คดีนี้ประเมินความเสียหายเป็นตัวเงินมากกว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราวๆ 2.4 แสนล้านบาท) และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คดีนี้คาดว่ามีผู้ลงทุนรายย่อยโดนร่างแหมากที่สุดคดีหนึ่ง คือราว 18,000 คน
สุดท้ายเขาถูกจับกุมและถูกตัดสินจำคุก 110 ปี
ทั้งสองคดีส่งผลกระทบอย่างมากต่อความน่าเชื่อถือของระบบการเงินการธนาคารของสหรัฐฯ จนกระทั่งทำให้เกิดการเพิ่มมาตรการเรื่องการตรวจสอบและความปลอดภัยอีกหลายประการในอุตสาหกรรมการเงินสหรัฐในเวลาต่อมา
4
ดิ ไอคอน กรุ๊ป (The iCon Group) กรุงเทพฯ ตุลาคม 2024
เรื่องราวของบริษัท ดิ ไอคอน ทำให้นึกย้อนไปถึงคดีดังในอดีตของไทย คือคดีของคุณชม้อย ทิพย์โส ผู้เป็นประหนึ่งไอคอนของแชร์ลูกโซ่ ในปี 1977 คาดการณ์กันว่ามูลค่าความเสียหายกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ เวลานั้นถือว่าเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก (หากบวกอัตราเงินเฟ้อปัจจุบันมูลค่าความเสียหายจะอยู่ที่ราว 15,000 ล้านบาท) เมื่อคิดว่ายุคนั้นยังไม่มีสมาร์ตโฟนหรือเครื่องมือสื่อสารมากนัก อาศัยแค่การคุยกันล้วนๆ ตัวต่อตัวและความไว้เนื้อเชื่อใจสร้างเครือข่ายแชร์ลูกโซ่ ก็ต้องถือว่า ‘แม่ชม้อย’ นั้นเก่งแกมโกงจริงๆ
อย่างไรก็ดี ในโลกของการทำธุรกิจโดยเฉพาะในประเทศนี้ ไม่มีใครขาวสะอาด ยิ่งเป็นธุรกิจที่เห็นแววว่าจะไปได้สวย เป็น money machine ยิ่งพูดได้เลยว่ามีคนคอยจ้องจะสูบเลือดสูบเนื้อจากเราทุกเมื่อ รวมไปถึงผู้ประกอบการดาวรุ่ง เชื่อว่านักธุรกิจทุกคนต่างประสบปัญหาโดน ‘ผู้อำนวยความสะดวก’ เรียกร้องอะไรบางอย่างจากเหล่าคนทำธุรกิจอยู่เสมอ มีไม่กี่ธุรกิจกระมังครับที่ติดต่อกับหน่วยงานรัฐได้อย่างง่ายดาย ทำทุกอย่างบนโต๊ะ จบงานได้ราบรื่น
ความพยายามทำทุกอย่างตรงไปตรงมากลายเป็นเรื่องยากลำบากของคนทำธุรกิจในประเทศไทย กระบวนการหลายอย่างทั้งกฎหมายและข้อบังคับถูกออกแบบมาให้ซับซ้อน การตรวจสอบที่ยุบยับยุ่งยาก เอกสารเยอะแยะ ทั้งหมดเอื้อให้คนอยากหาทางลัดเพื่อให้งานจบไวๆ แล้วเอาเวลาไปทำงานหาเงิน
นานวันเข้าทางลัดก็เลยกลายเป็นทางหลัก และสร้างพฤติกรรมใหม่ว่า ‘ไม่จ่ายก็ไม่จบ’
หากใครตามข่าวคุณพอลอยู่บ้าง ก็น่าจะพอเห็นว่าจริงๆ แล้วเขาก็เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจขายตรง ก่อนหน้าจะมาตั้ง ดิ ไอคอน เขามีทั้งความน่าเชื่อถือ ความเชี่ยวชาญที่คนในวงการนี้ยอมรับ เพื่อนคนหนึ่งของผมที่อยู่ในแวดวงนี้ก็บอกว่าย้อนไปสักสิบปีที่แล้ว เขาคือนักขายมือทอง ขายได้มากขนาดที่ว่าบริษัทต้นสังกัดให้ค่าคอมมิชชั่นเป็นตัวเลข 7 หลัก
ฉะนั้น ด้วยประสบการณ์ขนาดนี้ ไม่แปลกที่เขาจะรู้จักคนมากมาย รู้ทางหนีทีไล่ดีพอตัวและรู้ว่าต้อง ‘ทำ’ อะไรบ้างเพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ คนทำธุรกิจทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคืออยากได้กำไรสูงสุด อะไรที่เป็นอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ ถ้ามี ‘ผู้อำนวยความสะดวก’ อุปถัมภ์ค้ำชูกันไว้ ก็เป็นเรื่องที่ดี
ผมคิดว่าปัญหาส่วนหนึ่งไม่ได้อยู่ที่คนโกง ทำธุรกิจไม่ตรงไปตรงมาเพียงอย่างเดียว ตัวระบอบเองก็เอื้อให้คนต้องเดินไปในทางสีเทา โดยเฉพาะเรื่องการทำงานใต้โต๊ะในประเทศไทย มีอยู่ทุกระดับและทำกันเป็นปกติวิสัย อันนี้ไม่ได้พูดไปเอง เพราะถ้าไปดูดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index – CPI) ซึ่งจัดทำโดยองค์กร Transparency International ปีที่ผ่านมา (2023) ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 108 จาก 180 ประเทศ เราได้คะแนน 35 จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน เท่านี้ก็น่าจะเป็นตัวสะท้อนถึงภาพลักษณ์ความขาวสะอาดของรัฐไทยได้ดีว่าอยู่ในระดับไหน
ไม่เพียงเท่านั้น ทักษะการทำธุรกิจของ SME ของคนไทยก็ใช่ว่าจะดี หากลองไปไล่ดูจะเห็นว่าบริษัทที่มีศักยภาพโตได้ไว สุดท้ายไปไม่ถึงไหนก็เพราะขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ ขาดทักษะและเจอทางตันจากการเตะขัดขาของขาใหญ่ ซึ่งบางครั้งก็มี ‘ผู้อำนวยความสะดวก’ ช่วยกันเตะตัดขาให้ขาใหญ่อีกที
ที่ผ่านมา เราเห็นรัฐไทยพูดถึงทางรอดเศรษฐกิจไทยอยู่บ่อยครั้งว่า SME คือทางรอด แต่จนแล้วจนรอด อาจกล่าวได้ว่าเราแทบไม่เคยได้เห็นมาตรการสนับสนุนหรือการลงทุนอะไรที่จะช่วยให้ SME เราลืมตาอ้าปากได้เป็นชิ้นเป็นอัน ระบบการศึกษา หรือกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจระดับชาติ ไม่ได้ถูกคิดไว้เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจของคนรุ่นใหม่ไฟแรง เรามีแบบอย่างความสำเร็จให้เรียนรู้น้อยเกินไปเอาจริงๆ เราไม่ค่อยยกย่องให้ค่าความสำเร็จของคนตัวเล็กด้วยซ้ำ ถึงจะบอกว่าเราจะมาช่วยกันถอดบทเรียนจากสิ่งที่ผิดพลาด แต่เราจะตื่นกันกี่โมงถึงจะสำนึกได้ว่าเวลามันไม่รอท่า มีประเทศอื่นที่เขาถอดได้เร็วกว่าเรา เก่งกว่าเราเยอะ
ดิ ไอคอนกำลังล่มสลาย แต่เชื่อได้เลยว่าพรุ่งนี้เราก็อาจจะเห็นเคสแบบนี้อีก แล้วสาวกันไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายพอไปถึงระดับ ‘ผู้อำนวยความสะดวก’ เรื่องก็อาจเงียบไป
5
กลับไปที่สหรัฐอเมริกา ในปี 2010
หลังจากเจอคดีทางการเงินใหญ่ๆ สองคดีที่รวมความเสียหายไปเกือบแสนล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ ได้เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนและการเพิ่มมาตรการป้องกันการฉ้อโกง ทั้งเพิ่มการตรวจสอบจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) และ FINRA (Financial Industry Regulatory Authority) เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน การเสนอขายหลักทรัพย์ และธุรกรรมทางการเงินต่างๆ
มีการออกกฎ ‘Dodd-Frank Act’ เน้นการคุ้มครองผู้ลงทุน ป้องกันการฉ้อโกง และการควบคุมความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน นักลงทุนสามารถตรวจสอบและเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารจัดการสินทรัพย์ของบริษัทได้มากขึ้น เช่น การตรวจสอบงบการเงินและการบริหารจัดการเงินทุนที่มีการอ้างอิงถึงสินทรัพย์ที่มีอยู่จริง หน่วยงานต่างๆ จัดโปรแกรมการศึกษาและการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มความรู้ด้านการลงทุนและการบริหารความเสี่ยง ทำให้นักลงทุนสามารถระบุสัญญาณการฉ้อโกงได้ดีขึ้น เช่น การลงทุนที่สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงเกินจริงและมีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของแชร์ลูกโซ่
ที่สำคัญ เหตุในครั้งนั้นทำให้สหรัฐฯ หันมาให้ความสำคัญอย่างมากกับการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีตรวจสอบการทุจริต เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data Analytics) และการวิเคราะห์รูปแบบการฉ้อโกง (Fraud Detection Models) โดยนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI, Machine Learning และ Big Data มาใช้ในการตรวจสอบพฤติกรรมที่น่าสงสัยและการตรวจสอบธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้การค้นพบและระงับการฉ้อโกงเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น
นอกเหนือจากนั้น ยังมีการเพิ่มบทลงโทษที่เข้มงวดและกำหนดมาตรการทางกฎหมายที่มีผลทันทีเมื่อตรวจพบการฉ้อโกง เพื่อป้องปรามการกระทำที่ผิดกฎหมาย ดำเนินการฟ้องร้องและการยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงอย่างเข้มข้นมากขึ้น รวมถึงการสืบสวน และจับกุมผู้ที่อำนวยความสะดวกให้การฉ้อโกงเหล่านี้อย่างจริงจัง
ในทั้งสองคดี ทั้งคดีของแมดอฟฟ์และสแตนฟอร์ด มีผู้ที่โดนดำเนินคดี 20 คน สิ่งที่น่าสังเกตก็คือถึงคดีของทั้งแมดอฟฟ์และสแตนฟอร์ดจะมีการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคน แต่ส่วนใหญ่เป็นบุคคลภายในบริษัทที่มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการแผนการฉ้อโกง
ไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐสหรัฐฯ หรือนักการเมือง ที่ถูกดำเนินคดีทางอาญาในทั้งสองคดี แม้ว่าจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความล้มเหลวในการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล และไม่มีหลักฐานบางอย่างที่โยงไปถึงนักการเมือง ‘ผู้อำนวยความสะดวก’ แต่อย่างใด
ไม่รู้ว่าเมืองไทยจะถอดบทเรียนเสร็จเมื่อไหร่และจะเริ่มมาตรการป้องกันกันจริงจังกี่โมงแต่ที่รู้แน่ๆ คือ
เราต่างตกเป็นเหยื่อของระบบอุปถัมภ์ และโครงสร้างบิดๆ เบี้ยวๆ ด้วยน้ำมือของคนโลภ