นโยบาย Quick-wins และหนทางปฏิรูปอาเซียน จากทัศนะ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ใน ASEAN for the Peoples Conference

ในวันที่ 4-5 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา มีการจัดงานประชุม ‘อาเซียนเพื่อประชาชน’ (ASEAN for the Peoples Conference: AFPC) ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอย่าง Foreign Policy Community of Indonesia (FCPI) เป็นผู้ริเริ่มในการจัดงาน พร้อมเชิญองค์กรภาคประชาสังคมต่างๆ ทั่วอาเซียนมาเข้าร่วมเพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมทั้งนำเสนอองค์กรของตัวเอง

นอกจากนี้ AFPC ยังเชิญบุคคลจากหลากหลายแวดวงของอาเซียนทั้งรัฐมนตรี นักการเมือง นักการต่างประเทศ ผู้นำภาคธุรกิจ และนักวิชาการ มาพบปะพูดคุย และแลกเปลี่ยนกับภาคประชาสังคม โดยในงานปีนี้ หนึ่งในบุคคลที่ได้รับเชิญมาร่วมงานคือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ Visiting Democracy Fellow ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้เข้าร่วมวงสนทนาสองวงในวันที่ 4 ตุลาคม ได้แก่ Past, Present, and Future: Building ASEAN from the Ground-Up และ Good Governance: How Civil Societies Can Help Ensure Clean and Competent Government and Fight Corruption รวมทั้งยังมีการเปิดให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชน

ในกิจกรรมเหล่านี้ พิธาได้นำเสนอทัศนะต่ออาเซียนในหลายประเด็น ทั้งความขัดแย้งทางพรมแดน วิกฤตการเมืองในเมียนมา สถานการณ์ผู้อพยพ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค และการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน ตลอดจนให้ความเห็นต่อบทบาทของภาคประชาสังคม คนรุ่นใหม่ รวมทั้งองค์กรระดับภูมิภาคอย่างอาเซียนเองที่พิธาเห็นว่าต้องมีการปฏิรูปเพื่อให้ยังคงมีความสำคัญสำหรับประชาชน โดยวันโอวันได้เดินทางไปร่วมงานดังกล่าว และสรุปทัศนะของพิธาในประเด็นต่างๆ ตลอดทั้งงาน ดังนี้

ทำอย่างไรให้คนรุ่นใหม่รู้สึกว่าอาเซียนยังมีความสำคัญ

มีอยู่สองขั้น ขั้นแรกคือการทำให้อาเซียนรู้สึกเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้คน (relevancy) และขั้นที่สองคือการสร้างความน่าเชื่อถือ (credibility) ขององค์กร

ในเรื่อง relevancy นั้น อาเซียนจำเป็นต้องพิสูจน์ให้คนรุ่นใหม่เห็นว่าองค์กรนี้สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์บางอย่างที่เป็นรูปธรรม มากกว่าจะเป็นเพียงแพลตฟอร์มให้มารวมตัวประชุมหรือเป็นองค์กรที่ถูกขับเคลื่อนโดยชนชั้นนำเพียงอย่างเดียว โดยสิ่งที่อาเซียนต้องทำคือต้องเริ่มจากการขับเคลื่อนประเด็นที่คนรุ่นใหม่กำลังกังวลร่วมกัน และเป็นประเด็นเร่งด่วนที่น่าจะเห็นผลลัพธ์ได้เร็วและเป็นรูปธรรม (quick wins) ซึ่งขอเสนอสามประเด็น ได้แก่ การแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนเพื่อเรียกคืนอากาศสะอาด การป้องกันภัยการหลอกลวงทางออนไลน์ และการปกป้องความมั่นคงทางทะเลท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดของข้อพิพาทน่านน้ำ เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราอาจเริ่มร่วมมือกันเดินหน้าดูก่อน และเมื่อคนรุ่นใหม่เห็นว่ามันบังเกิดผลเป็นรูปธรรม ที่สุดแล้วมันจะนำไปสู่การกระตุ้นให้ทุกคนอยากมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาอื่นๆ ที่ยากกว่านี้ขึ้นมาอีก

ส่วนในเรื่อง credibility อย่างหนึ่งที่สามารถทำได้คือการเปลี่ยนผ่านจากฉันทมติ 5 ข้อในประเด็นวิกฤตเมียนมา ไปสู่การทำแผนงาน (roadmap) ห้าปีเพื่อหาทางออกของวิกฤต โดยแสดงให้เห็นว่าอาเซียนให้ความสำคัญกับการแก้วิกฤตมนุษยธรรม โดยไม่ได้ก้าวก่ายกิจการภายในต่อกัน นอกจากนี้อาเซียนยังต้องมีการปฏิรูปสำนักเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretariat) ด้วยการให้งบประมาณและให้อำนาจหน้าที่มากขึ้นในการจัดการประเด็นต่างๆ

เราล้วนอยากเห็นอนาคตของอาเซียนในระยะ 60 ปีข้างหน้าเป็นอาเซียนที่มีบทบาทของความเป็นแกนกลาง (centrality) ความเป็นเอกภาพ (unity) ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้คน (relevancy) และความน่าเชื่อถือ (credibility) และนั่นจะทำให้อาเซียนเป็นองค์กรที่ยังมีความสำคัญสำหรับคนรุ่นใหม่

มุมมองต่อการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศช่วงเวลานี้

ผมคิดว่านี่คือโอกาสที่แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งทนทาน (resilience) ของระบอบประชาธิปไตย คือแม้จะมีแรงเสียดทานจากนักการเมือง รัฐบาล หรือสถาบันต่างๆ เกิดขึ้น แต่ภาคประชาสังคมและประชาชนเองก็ตระหนักว่าตนมีอำนาจในการควบคุมผลักดันวาระต่างๆ ของตัวเอง ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ใช่แค่ผ่านการเข้าคูหาเลือกตั้ง 4 วินาทีเท่านั้น แต่พวกเขาสามารถขึ้นมากำหนดทิศทางของประเทศได้เมื่อเห็นว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังเดินถอยหลัง เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจึงเป็นสัญญาณที่ดีอันบ่งบอกว่าการเปลี่ยนแปลงได้เริ่มต้นขึ้นในเอเชียและอาเซียน และผมก็ขอส่งใจไปถึงเยาวชนทั้งในไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย

มุมมองต่อบทบาทของอาเซียนในการแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องพรมแดน ทั้งพรมแดนทางทะเลอย่างในกรณีทะเลจีนใต้ และพรมแดนทางบกอย่างในกรณีไทย-กัมพูชา

ในกรณีข้อพิพาทพรมแดนทางทะเล เรามีกลไกทั้ง Code of Conduct (หมายถึง Code of Conduct in the South China Sea  หรือประมวลการปฏิบัติในทะเลจีนใต้) และ UNCLOS (อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982) ซึ่งบางประเทศก็เข้าร่วม บางประเทศก็ยังไม่เข้าร่วมและเลือกจะเจรจาทวิภาคีกับประเทศคู่ขัดแย้งมากกว่า ซึ่งผมคิดว่าในช่วงที่ภูมิรัฐศาสตร์โลกกำลังผันผวนเช่นนี้ เราจำเป็นต้องใช้ทั้งกลไกทวิภาคี ควบคู่ไปกับกลไกพหุภาคี โดยเฉพาะในกรอบของอาเซียน ซึ่งชาติสมาชิกต้องยืนยันในหลักเสรีภาพในการเดินเรือ (freedom of navigation) ภายใต้ Code of Conduct

ต่อให้ประเทศไหนจะไม่ใช่ประเทศคู่ขัดแย้งในพื้นที่พิพาททะเลจีนใต้ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตน เพราะเสรีภาพในการเดินเรือนั้นมีความสำคัญมหาศาลต่อภูมิภาคเราที่พึ่งพาการค้าเป็นสำคัญ และถ้าในที่สุดอาเซียนสามารถรวมกลุ่มกันเจรจาในเรื่องนี้ได้ อาเซียนก็จะสามารถแสดงบทบาทของความเป็นมหาอำนาจขนาดกลาง (middle power) ที่มีความรับผิดชอบและใช้พลังเจรจาต่อรองได้อย่างไม่ต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองอีกต่อไป

ส่วนในกรณีข้อพิพาทชายแดนทางบกนั้น ที่ผ่านมาอาเซียนก็ดำเนินการได้ค่อนข้างดี เช่นย้อนไปในปี 2011 มาร์ตี นาตาเลกาวา (Marty Natalegawa) รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียในตอนนั้น ก็ได้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาที่ปะทุขึ้น และมีส่วนช่วยให้เกิดสันติภาพระหว่างยาวนานถึง 14 ปี ก่อนที่ในปัจจุบันนี้ ความตึงเครียดระหว่างสองชาติได้กลับมาอีกครั้ง ในสถานการณ์แบบนี้ อาเซียนต้องย้ำให้ชาติคู่ขัดแย้งยึดหลักของอาเซียน ทั้งหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติภายในภูมิภาค ซึ่งเป็นไปตามสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation: TAC) รวมทั้งการเน้นการพูดคุยเจรจากันเองภายในภูมิภาค มากกว่าที่จะหันไปพึ่งชาติหรือหน่วยงานนอกภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม ในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาที่ผ่านมานั้น ดูเหมือนจะนำโดยบุคคลมากกว่าสถาบัน ไม่ว่าจะนำโดยอดีตรัฐมนตรีมาร์ตีก่อนหน้านี้ หรือนายกฯ มาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) ในปัจจุบัน มากกว่าที่จะนำโดยองค์กรอย่างอาเซียน เพราะฉะนั้นนี่สะท้อนว่าอาเซียนต้องคิดเรื่องการปฏิรูประดับสถาบันของตัวเอง ทั้งการทบทวนหลักการ non-interference (ไม่แทรกแซงกิจการภายในระหว่างกัน) ซึ่งก็ต้องมาคิดกันว่าคำว่า non-interference นั้นควรจะยืนบนหลัก non-indifference (การไม่เพิกเฉย) ด้วยไหม เช่น ในยามเกิดหายนะทางมนุษยธรรมดังที่เกิดในเมียนมา เป็นต้น และที่สำคัญคือต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกเชิงสถาบันของอาเซียนเองเพื่อให้สามารถมีบทบาทในการจัดการและขับเคลื่อนประเด็นต่างๆ ท่ามกลางความท้าทายที่อาเซียนต้องเจอในปัจจุบัน

มุมมองต่อการเลือกตั้งเมียนมาในเดือนธันวาคมนี้

การเลือกตั้งที่เสรี ยุติธรรม และโปร่งใสนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญต่อระบอบประชาธิปไตย แต่ในกรณีเมียนมา ก็มีความเสี่ยงว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น และนั่นคือสิ่งที่ผู้นำอาเซียนต้องพิจารณา โดยเฉพาะในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนตุลาคมนี้ โดยต้องมาคิดกันว่าเงื่อนไขขั้นต่ำที่ควรมีในการเลือกตั้งนี้คืออะไรบ้าง และผมก็ขอส่งกำลังใจไปยังประชาชนชาวเมียนมา โดยผมหวังว่าจะมีแรงกดดันและแรงจูงใจที่เหมาะสมเพื่อให้ประชาชนเมียนมาได้มีสิทธิกำหนดอนาคตของตนเอง ไม่ว่าจะผ่านกลไกใดก็ตาม

มุมมองต่อประเด็นการจัดการผู้อพยพในอาเซียน

ในเรื่องนี้ ต้องเริ่มจากการทำความความเข้าใจว่า อาเซียนก่อตั้งขึ้นบนรากฐานมนุษยธรรม และบนหลักการภายใต้ TAC รวมไปถึงการมีความรับผิดชอบร่วมกันของภูมิภาค

ที่ประเทศไทย คณะรัฐมนตรีเพิ่งมีมติให้ผู้ลี้ภัยจากเมียนมา ซึ่งจำนวนมากเป็นแพทย์ ครู และแรงงานทักษะสูง ให้สามารถทำงานได้ และกลายเป็นแรงงานที่ได้รับการคุ้มครองอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งต่อประชาชนเมียนมาเองและต่อสังคมไทย แทนที่จะมองผู้อพยพเป็นภาระ ซึ่งในการดำเนินการเรื่องนี้ต้องทำแบบมีกลยุทธ์ และต้องอาศัยความเข้าใจทั้งเรื่องการเมืองในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ก็หวังว่าสิทธิของแรงงานข้ามชาติจะได้รับการยอมรับว่าเป็นสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง และหวังว่าอาเซียนจะสามารถเป็นตัวอย่างให้กับภูมิภาคอื่นๆ ของโลกที่กำลังเผชิญปัญหาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร ที่มีการประท้วงไล่ผู้อพยพ หรือแม้แต่ในสหรัฐอเมริกา ดังนั้น ผมคิดว่านี่คือ โอกาสสำคัญของอาเซียน

มุมมองต่อความร่วมมือและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนในปัจจุบัน

หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1967 ที่อาเซียนถือกำเนิดขึ้น เราจะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจอาเซียนได้ประโยชน์จาก ‘เงินปันผลแห่งสันติภาพ’ (peace dividend คือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ได้จากการที่ความขัดแย้งหรือสงครามสงบลง) อย่างชัดเจน ทำให้อาเซียนก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่หนึ่งในห้าอันดับของโลก นอกจากนี้การรวมกลุ่มของอาเซียนยังทำให้ภูมิภาคนี้ยืนหยัดและเจริญเติบโตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกได้

อย่างไรก็ตาม หากมองในระยะสั้น โดยเฉพาะช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ ก็มีตัวเลขบางอย่างที่น่าคิด โดยเฉพาะในแง่สัดส่วนการค้า ซึ่งพบว่ามีสัดส่วนการค้าภายในอาเซียนด้วยกันเองเพียง 20% เท่านั้น เท่ากับว่าอาเซียนยังคงพึ่งพาการค้าและการลงทุนจากภายนอกค่อนข้างสูง และพึ่งพากันเองต่ำ เพราะฉะนั้นในบริบทที่การค้าโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน ทั้งกลไกองค์การการค้าโลก (WTO) ที่ดูจะเป็นอัมพาต และมาตรการการตอบโต้ทางภาษีที่ก็ยังผันผวน สิ่งที่อาเซียนควรทำอย่างเร่งด่วนคือการเพิ่มการพึ่งพาทางการค้าการลงทุนระหว่างกันเอง โดยควรยกระดับสัดส่วนการค้าภายในภูมิภาคจาก 20% ไปสู่ 30% เพื่อรับประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจของทั้งภูมิภาค

ในการจะไปสู่เป้าหมายตัวเลขดังกล่าวนั้น ต้องดำเนินการหลายอย่าง เช่น การทำให้กฎระเบียบทางเศรษฐกิจและการค้าในแต่ละประเทศสอดคล้อง และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม โดยเฉพาะระบบโลจิสติกส์ทางราง ซึ่งทุกวันนี้ยังมีข้อจำกัดใหญ่ เช่น รางรถไฟในไทย ลาว และเวียดนามที่ใช้มาตรฐานต่างกัน ทำให้การเชื่อมต่อไร้ประสิทธิภาพ โดยหากเปรียบเทียบกับยุโรปซึ่งมีความหนาแน่นของโครงข่ายทางราง 40 กิโลเมตรต่อพื้นที่ 100,000 ตารางกิโลเมตรนั้น อาเซียนกลับมีเพียง 10 กิโลเมตร หรือหนึ่งในสี่ของยุโรปเท่านั้น หากอาเซียนสามารถยกระดับเรื่องนี้ให้ได้ครึ่งหนึ่งของยุโรป (20 กิโลเมตร ต่อพื้นที่ 100,000 ตารางกิโลเมตร) ภายใน 10 ปีข้างหน้า ก็จะเกิดผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม ทั้งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม ช่วยให้การเคลื่อนย้ายแรงงานได้สะดวกขึ้น ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ และหากทำเรื่องนี้ได้ ก็จะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า การบูรณาการทางเศรษฐกิจไม่ใช่เพียงคำขวัญ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้และมีผลต่อชีวิตประจำวันของประชาชนราว 700 ล้านคนในภูมิภาค

มุมมองต่อบทบาทของภาคประชาสังคมในอาเซียน

หลายพื้นที่ทั่วโลกกำลังเจอปรากฏการณ์การหดแคบลงของพื้นที่การมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม (Shrinking of Civic Space) จึงเกิดคำถามว่าเราจะทำอย่างไรให้ภาคประชาสังคมยังคงมีที่ยืนในสังคม และนั่นก็ถึงเวลาที่ภาคประชาสังคมต้องนิยามบทบาทของตัวเองในภูมิทัศน์ประชาธิปไตยแบบใหม่นี้

ในมุมมองของผม หลักการในการทำงานของ NGO สามารถสรุปได้เป็น ABC

A = Advocate (การรณรงค์ผลักดัน)

B = Bridge (การเป็นสะพานเชื่อมต่อ)

C = Continuity (ความต่อเนื่อง)

ด้วยกรอบความคิดนี้ ทำให้ที่ผ่านมาการรณรงค์ของภาคประชาสังคมมีบทบาทในการนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงมหาศาล รวมทั้งยังเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างประชาชนและภาคการเมือง และขณะเดียวกันงานของพวกเขาก็ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่างจากในภาคการเมือง เหมือนอย่างผมเองที่ก็ต้องยุติบทบาทนักการเมืองลงไป (เพราะถูกตัดสิทธิทางการเมือง) แต่คนที่ทำงานด้านสิทธิต่างๆ ทั้งสิทธิในที่ดิน สิทธิมนุษยชน หรือสิทธิสตรี ก็ยังคงทำงานต่อไปได้

แต่ในเวลาเดียวกันภาคประชาคมเองก็ต้องเข้าใจว่า ในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังถูกโจมตีบั่นทอนนั้น พวกเขาก็ต้องสร้าง ABC ชุดใหม่ขึ้นมาเพื่อปกป้องตนเองเช่นกัน ได้แก่

A = Accountability (ความรับผิดชอบ) – เนื่องจากภาคประชาสังคมไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ถูกแต่งตั้งขึ้นมา สังคมจึงมีสิทธิตั้งคำถามต่อความชอบธรรมขององค์กร ดังนั้นองค์กรภาคประชาสังคมจึงต้องให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและตรวจสอบได้

B = Bias of Donor (อคติของผู้ให้ทุน) – หากองค์กรไม่สามารถรักษาความเป็นกลางหรือถูกมองว่ากำลังขับเคลื่อนวาระบางอย่างของผู้ให้ทุน ก็จะถูกตั้งคำถามต่อความน่าเชื่อถือของงาน

C = Compliance (การปฏิบัติตามกฎหมาย) – ภาคประชาสังคมต้องคำนึงด้วยว่ารัฐหลายประเทศพยายามใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจำกัดการเคลื่อนไหวของพวกเขา ไม่ว่าจะด้วยการฟ้องร้องคดี หรือการใช้เรื่องการเงินเข้ามากดดัน จนอาจทำให้ไม่สามารถทำงานต่อไปได้

สรุปแล้ว ภาคประชาสังคมต้องปรับตัวให้มีประสิทธิภาพ กระชับ ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ และที่สำคัญคือต้องไม่ละเลยการรณรงค์เพื่อสิทธิในการมีอยู่ของตนเอง นอกเหนือไปจากการรณรงค์ประเด็นสังคมเรื่องอื่นๆ ด้วย เพราะองค์กรภาคประชาสังคมก็มีสิทธิที่จะดำรงอยู่ในสังคมเช่นเดียวกับสถาบันอื่นๆ ในระบอบประชาธิปไตย

ภาคประชาสังคมควรปรับตัวอย่างไร ให้สามารถพึ่งตนเองได้และมีความยั่งยืน ในภาวะที่การเข้าถึงแหล่งเงินทุนหดแคบลง

ผมมองในสองระดับคือ ระดับจุลภาค (micro) และระดับมหภาค (macro)

ในระดับจุลภาค ผมเห็นว่าองค์กรภาคประชาสังคมหลายแห่ง อย่างในประเทศไทยเอง ก็เริ่มทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการใช้เทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วย รวมถึงแต่ละองค์กรก็มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและขยายผลได้ดีขึ้น

ส่วนในระดับมหภาค เราเริ่มเห็นการก่อร่างของสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘วิถีแบบเอเชีย’ (the Asian way) หรือ ‘นิยามสิทธิมนุษยชนแบบเอเชีย’ (the Asian human rights definition) นั่นคือการที่หลักประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนไม่ใช่การนำเข้ามาจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ยังยึดโยงกับประสบการณ์ชีวิตจริงของผู้คน (lived experience) ซึ่งเราได้เห็นแนวทางแบบนี้เกิดขึ้นในหลายแห่งของเอเชีย ทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และอินโดนีเซีย

ขณะเดียวกันในยุคที่ภูมิภาคอื่นๆ ของโลกกำลังแตกแยกหรือระส่ำ อย่างโลกตะวันตกที่กำลังเสียสถานะความเป็นนำในหลายเรื่อง เอเชียต้องสามารถทะยานขึ้นมาได้ด้วยตัวเองและพึ่งพาพลังภายในของภูมิภาคเราเอง ซึ่งนี่คือหนทางเดียวที่จะอยู่รอดได้ในช่วงเวลาอันเปราะบางเช่นนี้ เพราะฉะนั้นในบริบทของภาคประชาสังคมในอาเซียน ก็จำเป็นต้องหาช่องทางที่จะพึ่งทรัพยากร แหล่งทุน หรือความช่วยเหลือจากทั้งในและนอกภูมิภาคไปพร้อมกัน โดยเฉพาะในภูมิภาคด้วยกันเอง ที่แต่ละองค์กรก็ต้องสร้างพันธมิตร ทำงานร่วมกัน และเสริมพลังซึ่งกันและกัน

มุมมองต่อแนวทางแก้ปัญหาคอร์รัปชัน

ในการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน ต้องเริ่มจากการเข้าใจว่าคอร์รัปชันคืออะไร และสมการของคอร์รัปชันเป็นอย่างไร ซึ่งสมการคอร์รัปชันนั้นสามารถสรุปได้ง่ายๆ คือ

Corruption = Discretion + Monopoly – Accountability
(คอร์รัปชัน = อำนาจดุลพินิจ + การผูกขาด – ความรับผิดชอบ)

Discretion หรืออำนาจดุลพินิจ นั้นมาจากกฎระเบียบที่ซับซ้อนเกินไป เช่น การต้องขอใบอนุญาตนับไม่ถ้วน หรือการต้องวิ่งเต้นกับเจ้าหน้าที่รัฐในหลายขั้นตอน ซึ่งถ้าระบบราชการมีอำนาจดุลพินิจแบบนี้มากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสเกิดคอร์รัปชันก็จะยิ่งสูง จึงต้องมีการปฏิรูปกฎระเบียบ ลดขั้นตอนกระบวนการต่างๆ ที่ไม่จำเป็นลง รวมทั้งต้องทำการทบทวนและยกเลิกกฎหมายที่ล้าหลังหรือซ้ำซ้อน (regulatory guillotine)

Monopoly หรือการผูกขาด เกิดขึ้นเมื่อขาดความโปร่งใสของข้อมูล โดยเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานรัฐควบคุมข้อมูลไว้ฝ่ายเดียว ขณะที่ภาคประชาสังคมและประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องมีกฎหมายที่เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส เพื่อให้การผูกขาดข้อมูลลดลง

ส่วน Accountability หรือความรับผิดชอบ คือหัวใจของการป้องกันคอร์รัปชัน โดยต้องสร้างความมั่นใจว่าผู้ที่ทำผิดจะถูกลงโทษ และผู้ที่กล้าเปิดโปงการทุจริตจะได้รับการคุ้มครอง

หากเราสามารถเข้าใจและจัดการสามตัวแปรนี้ได้ ก็สามารถใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีและกฎหมายในการต่อสู้กับคอร์รัปชันได้ และที่สำคัญ การต่อต้านคอร์รัปชันไม่ได้เริ่มต้นตอนที่คนๆ หนึ่งได้อำนาจทางการเมือง แต่ต้องย้อนไปเริ่มตั้งแต่กระบวนการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองของคนที่ต้องชอบธรรม ซึ่งก็คือการจัดการเลือกตั้งที่โปร่งใส ยุติธรรม และตรวจสอบได้ อย่างในประเทศไทยก็มีการทำงานของภาคประชาสังคมที่ช่วยตรวจสอบการนับคะแนนเลือกตั้งในทั่วประเทศ

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save