เมื่อช่วงต้นปี 2566 ผู้เขียนวางแผนไปเที่ยวประเทศเปรู แต่เพียงไม่กี่เดือนก่อนจะเริ่มต้นเดินทางข้ามทวีป เราได้ข่าวจากเปรูว่าเกิดการจลาจลขึ้นทั่วประเทศตั้งแต่ปลายปีก่อน หลายเมืองที่จะไปเกิดการจลาจลและหมุดหมายสำคัญคือ ‘มาชูปิกชู’ เมืองลึกลับแห่งอาณาจักรอินคาบนเขาสูงและสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเปรู ทางการสั่งปิด การคมนาคมถูกตัดขาด สนามบินถูกปิดจากการประท้วงอันยาวนาน และกำลังอพยพนักท่องเที่ยวออกมา
ผู้เขียนจึงตัดสินใจขอเลื่อนตั๋วเครื่องบิน ยกเลิกการจองที่พักหลายแห่งเพราะความไม่แน่นอนทางการเมือง
จนกระทั่งเดือนมีนาคม 2567 เมื่อเหตุการณ์ทางการเมืองสงบลง ผู้เขียนจึงมีโอกาสไปเยือนประเทศเปรูและสัมผัสด้วยตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับสถานการณ์การเมืองในเปรู
ตามสถานที่ท่องเที่ยวเกือบทุกแห่งในเปรูที่ผู้เขียนไปเยือน จะเห็นหน่วยควบคุมฝูงชน (คฝ.) หลายสิบคนพร้อมอาวุธครบมือยืนรักษาการณ์ตลอดเวลา การเมืองในประเทศเปรูมีสภาพหลายอย่างคล้ายกับการเมืองในประเทศไทย กล่าวคือจุดเริ่มต้นมาจากปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมที่นับวันจะสร้างความแตกแยกให้กับคนเปรู
ในปี 2075 กองทัพผู้พิชิตของสเปนนำโดยฟรันซิสโก ปิซาร์โร (Francisco Pizarro) เอาชนะจักรพรรดิอินคา และผนวกเข้าอยู่ใต้การปกครองของสเปนเป็นเวลาร่วมสามร้อยปี ตลอดระยะเวลานั้นชาวเปรูพยายามทำสงครามเพื่อปลดปล่อยเปรูจากสเปน จนกระทั่งในปี 2364 เปรูก็กลายเป็นประเทศเอกราชภายใต้การนำของโฆเซ เด ซาน มาร์ติน (José de San Martín) และซิมอน โบลิบาร์ (Simón Bolívar)
แต่หลังจากนั้นก็เกิดการแก่งแย่งชิงอำนาจของผู้นำทางทหาร ก่อให้เกิดความไร้เสถียรภาพทางการเมืองมาตลอด ในขณะที่ชนชั้นนำในสังคมกลายเป็นผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจ รายได้ของประเทศมาจากการขุดทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากเปรูเป็นผู้ผลิตแร่ธาตุรายใหญ่ของโลก เช่น ทองแดง (อันดับ 3 ของโลก) ตะกั่ว (อันดับ 4 ของโลก) เงิน (อันดับ 1 ของโลก) สังกะสี (อันดับ 3 ของโลก) และดีบุก (อันดับ 3 ของโลก)
ชนชั้นนำที่อาศัยอยู่ในเมืองรวยขึ้น ขณะที่ผู้คนตามชนบทกลับยากจนลง อีกทั้งการรัฐประหารเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน ส่งผลให้กองทัพกลายเป็นพันธมิตรเหนียวแน่นกับกลุ่มนายทุนและนักธุรกิจรายใหญ่ จนสุดท้ายพรรคการเมืองในเปรูก็แบ่งเป็นพรรคการเมืองของชาวชนบท กับพรรคการเมืองที่สนับสนุนโดยกลุ่มนายทุนและชนชั้นนำ
ประเทศเปรูจึงแบ่งขั้วทางการเมืองระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาโดยชัดเจน ประชาชนที่เลือกพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย คือชาวบ้านที่ยากจนในต่างจังหวัด ขณะที่ประชาชนที่เลือกพรรคการเมืองฝ่ายขวาคือ คนรวยและคนในเมืองใหญ่ เปรูเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมาก ความแตกต่างทางรายได้ของคนชนบทที่เป็นคนพื้นเมือง และคนในเมืองนับวันจะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขึ้นมามีอำนาจก็มักจะได้รับการต่อต้านจากอีกฝ่ายหนึ่ง
หลายสิบปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีส่วนใหญ่มาจากคนในกรุงลิมา เมืองหลวงของประเทศ และสมาชิกรัฐสภาถูกครอบงำจากผู้นำฝ่ายขวาคือ เคโกะ ฟูจิโมริ (Keiko Fujimori) ลูกสาวของอัลแบร์โต ฟูจิโมริ (Alberto Fujimori) อดีตประธานาธิบดีเชื้อสายญี่ปุ่นและตัวแทนของกลุ่มคนชนชั้นสูงที่ปกครองประเทศมายาวนาน
จนกระทั่งในปี 2564 เปโดร กัสติโย (Pedro Castillo) อดีตครูโรงเรียนบ้านนอกและผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเปรู คนที่ 63 จากการสนับสนุนของคนชนบทและกลุ่มรากหญ้าทั่วประเทศ โดยเอาชนะคู่แข่งฝ่ายขวาคือ เคโกะ ฟูจิโมริ (Keiko Fujimori) แม้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้นำฝ่ายขวาจะได้รับการสนับสนุนจากนักธุรกิจ กลุ่มทุนใหญ่ กองทัพ ผู้นำศาสนา และกลุ่มทุนสื่อทุกแขนงที่เชียร์อย่างออกหน้าออกตา แต่ก็พ่ายแพ้ต่อเสียงสนับสนุนกัสติโย ผู้ที่มาจากผู้ใช้แรงงานในเมืองใหญ่ ชาวชนบทและกลุ่มรากหญ้าจำนวนมาก
กัสติโยเป็นลูกชายชาวนาที่ไม่รู้หนังสือ ก่อนจะก้าวเข้าสู่ถนนการเมือง เป็นตัวแทนของชาวชนบทคนแรกที่ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีได้สำเร็จ ด้วยสโลแกนที่คนได้ยินไปทั้งประเทศว่า “จะไม่มีคนจนในประเทศที่ร่ำรวยอีกต่อไป” และเป็นธรรมดา เมื่อเปโดร กัสติโยประกาศชัยชนะก็ถูกฝ่ายขวาจัดกล่าวหาทันทีว่า ‘โกงเลือกตั้ง’ เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือเรียกร้องให้ทหารรัฐประหาร แต่เปโดรก็เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลจนสำเร็จ และเดินหน้าปฏิรูปประเทศท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง
รัฐสภาเปรูที่มี สส. ฝ่ายขวาส่วนใหญ่ครองอำนาจ ก็พยายามยื่นถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่หลายครั้ง ในข้อหา “ไร้ความสามารถโดยสิ้นเชิงในการบริหารประเทศ” ซึ่งในรัฐธรรมนูญของเปรูฉบับปี 2536 กำหนดไว้ว่าหากประธานาธิบดีประพฤติมิชอบด้วยกฎหมาย รัฐสภาสามารถยื่นถอดถอนประธานาธิบดีได้
กัสติโยก็แก้เกมทางการเมืองด้วยการชิงประกาศยุบสภาและประกาศภาวะฉุกเฉิน แต่ศาลรัฐธรรมนูญที่อยู่ฝ่ายขวาก็ได้ประกาศโดยทันทีว่าการกระทำของเปโดร กัสติโย เป็น ‘การรัฐประหารตัวเอง’ เช่นเดียวกับกองทัพได้ประสานเสียงเดียวกัน ด้วยการออกมาแถลงปฏิเสธการยุบสภาและขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ
7 ธันวาคม 2565 รัฐสภาเปรูเรียกประชุมด่วน และประกาศถอดถอนกัสติโย วัย 53 ปี ออกจากตำแหน่ง และเขาถูกจับกุมตัวเข้าคุกทันที พร้อมประกาศให้รองประธานาธิบดีดินา โบลูอาร์เต (Dina Boluarte) ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหญิงคนแรกของเปรู คนที่ 64 ถือเป็นการหักหลังต่อประธานาธิบดีของตัวเอง
หลังจากนั้นเอง กลุ่มประชาชนผู้สนับสนุนกัสติโยจำนวนมาก ก็ออกมาประท้วงด้วยความไม่พอใจที่มีต่ออีกฝ่ายที่วางแผนโค่นล้มประธานาธิบดีของพวกเขามาโดยตลอด เรียกร้องให้ยุบสภา ปล่อยตัวอดีตประธานาธิบดีกัสติโย และจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่โดยเร็วที่สุด
ขณะที่ประธานาธิบดีหญิงได้ตอบโต้ด้วยการกล่าวหาผู้ประท้วงว่าเป็นพวกบ่อนทำลายประชาธิปไตย และออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ ส่งกำลังทหารและตำรวจออกมาปราบปรามผู้ประท้วงทั่วประเทศอย่างรุนแรง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจนถึงปัจจุบันนับร้อยคน มีผู้บาดเจ็บมากกว่า 600 คน มีการทรมานผู้ที่ถูกจับกุมจำนวนมาก แต่รัฐบาลของประธานาธิบดีโบลูอาร์เตได้ปฏิเสธ และกล่าวแสดงความชื่นชมต่อกองทัพและตำรวจในปฏิบัติการดังกล่าว
ซ้ำร้ายศาลฎีกาของเปรูได้ประกาศเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ว่าการชุมนุมประท้วงของประชาชนเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และประชาชนจะไม่ได้รับความคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญ ประกาศดังกล่าวได้สร้างความโกรธเคืองให้ประชาชนชาวเปรูเป็นอย่างมาก จนนำไปสู่การประท้วงใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า และเป็นการตอกย้ำให้ชาวบ้านเห็นว่า บรรดาข้าราชการ กระบวนการยุติธรรม กองทัพ ต่างรับใช้ชนชั้นสูงและนักธุรกิจมากกว่าประชาชนส่วนใหญ่อย่างชัดเจน
การประท้วงดำเนินติดต่อไปหลายเดือน ในสภาพที่ผู้ประท้วงเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่มีการจัดตั้ง ไม่มีแกนนำ สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่ออำนาจรัฐที่มีกำลังและอาวุธครบมือ และการปล่อยข่าวว่า ผู้ประท้วงกับผู้ก่อการจลาจลเป็นผู้ก่อการร้าย ต้องจัดการขั้นเด็ดขาด และผู้ประท้วงก็อ่อนล้าและถูกจับกุมจำนวนมากจนพ่ายแพ้ในที่สุด คล้ายกับบางประเทศที่เยาวชนหลายหมื่นคนที่ไร้การจัดตั้งออกมาต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้จากการปราบปรามอย่างรุนแรงของ คฝ.
ผมคุยกับชาวบ้านหลายคน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขายังเต็มไปด้วยความแค้นฝังใจชนชั้นปกครองเหล่านี้ และเกลียดประธานาธิบดีหญิงผู้สั่งให้ทหารตำรวจหรือหน่วยควบคุมฝูงชน (คฝ.) ใช้ความรุนแรงขั้นเด็ดขาด จนมีประชาชนล้มตายจำนวนมาก
แต่ที่น่าแปลกใจคือ ระหว่างเดินทางในประเทศเปรู ‘La Encerrona’ รายการทางการเมืองยอดนิยมบน YouTube ของเปรู ได้ตรวจสอบภาพถ่ายหลายภาพของ ดินา โบลูอาร์เต ประธานาธิบดีหญิง และพบว่าเธอสวมนาฬิกา Rolex Datejust ฝังเพชร มูลค่าประมาณ 19,000 ดอลลาร์ และไม่อยู่ในรายการทรัพย์สินที่ประกาศตอนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี จนต่อมาอัยการและตำรวจได้มาค้นบ้านพักเธอ เพื่อค้นหานาฬิกาหรูจนเป็นข่าวใหญ่ของเปรู
การเมืองในเปรู ก็ไม่ต่างจากการเมืองประเทศอื่น คือแม้จะอยู่ฝ่ายเดียวกันก็พร้อมจะถูกหักหลังได้ตลอด
ต่อมาประธานาธิบดีก็ให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่าไม่ใช่ของเธอ “แต่เป็นนาฬิกายืมเพื่อนมาใส่ ตอนนี้คืนไปแล้ว” แต่สื่อมวลชนก็ไปขุดคุ้ยย้อนหลังว่า ตั้งแต่เธอดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี เธอใส่นาฬิกาไม่ซ้ำกันถึง 11 เรือน ทั้งๆ ที่เงินเดือนของประธานาธิบดีได้แค่ 4,000 ดอลลาร์
ขณะที่สมาชิกสภานิติบัญญัติได้ยื่นคำร้องเพื่อถอดถอนโบลูอาร์เต ออกจากตำแหน่งในข้อหา “ไร้ความสามารถทางศีลธรรม” แต่เมื่อมีการโหวตในสภา เสียงฝ่ายให้ถอดถอนก็ไม่เพียงพอเพราะ สส.ฝ่ายอนุรักษนิยมได้ช่วยประธานาธิบดีหญิง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการยืมนาฬิกาเพื่อนเป็น “ความบกพร่องโดยสุจริต” หรือไม่
แต่หากประเทศเปรูมีการเลือกตั้งใหม่ในอนาคต แม้ตัวแทนจากพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงจากคนในต่างจังหวัดจะชนะการเลือกตั้งอีก บรรดาชนชั้นนำ ข้าราชการ กองทัพ และนักธุรกิจที่กุมอำนาจทางเศรษฐกิจ ก็จะหาเหตุในการล้มรัฐบาลเหล่านี้อีก
คล้ายกับบางประเทศในเอเชียที่พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งท่วมท้นจากประชาชนเป็นอันดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และอาจถูกยุบพรรคเร็วๆ นี้ เพราะฝ่ายอนุรักษนิยมมีอาวุธสำคัญคือ หน่วยงานด้านยุติธรรมและองค์กรอิสระทั้งหลายที่มีอำนาจล้นฟ้า
การเมืองไทยและเปรู มีอะไรที่คล้ายกันจริงๆ แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก