กระบวนการสันติภาพชายแดนใต้

สันติภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากรัฐไทยไม่ยื่นมือเจรจา: ‘กระบวนการสันติภาพชายแดนใต้’ กับหนทางที่ยังต้องไปต่อ

กระบวนการสันติภาพชายแดนใต้

นับตั้งแต่ช่วงรอมฎอนในปลายเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนมีนาคมปี 2568 สถานการณ์ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น โดยมีการก่อเหตุหลายครั้ง เช่น การวางระเบิดรถยนต์และการยิงปะทะที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เหตุระเบิดหน้าร้านมินิบิ๊กซี อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา และการวางระเบิดรถยนต์ อส. ที่อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี

เหตุการณ์ที่กล่าวมาข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าแม้กระบวนการสันติภาพจะดำเนินมาหลายปี มีการตั้งโต๊ะเจรจาหลายครั้ง แต่จนถึงทุกวันนี้ ดูเหมือนจะยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร แม้จะเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา สู่รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเป็นรัฐบาลพลเรือนที่ผู้คนตั้งความหวังให้มีการดำเนินการในเรื่องนี้ในฐานะวาระเร่งด่วน

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแนวทางจากภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าอาจรื้อฟื้นคำสั่ง 66/23 ที่เคยใช้ในช่วงการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์มาปรับใช้ในการดับไฟใต้ ซึ่งถูกตั้งข้อกังขาว่าเหมาะสมหรือไม่

คำถามสำคัญในเรื่องนี้คือกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้เผชิญอุปสรรคและความท้าทายอย่างไร อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ความรุนแรงยังคงอยู่ การดำเนินการของรัฐไทยมีจุดไหนที่ต้องปรับปรุงแก้ไข และท้ายที่สุดแล้ว แต่ละฝ่ายต้องทำเช่นไรเพื่อให้ได้มาซึ่งสันติภาพอย่างแท้จริง

หมายเหตุ: วันโอวันสรุปความจากการบรรยายสำหรับสื่อมวลชนในหัวข้อ ‘สถานการณ์ความขัดแย้งจังหวัดชายแดนภาคใต้กับความพยายามสร้างสันติภาพ’ โดย ดร.รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, ดอน ปาทาน นักวิเคราะห์ มูลนิธิเอเชีย, อาเต็ฟ โซ๊ะโก กลุ่ม The Patani, สุณัย ผาสุข ที่ปรึกษา Human Rights Watch ประจำประเทศไทย และแมทธิว วีลเลอร์ (Matthew Wheeler) นักวิเคราะห์ International Crisis Group  

เส้นทางกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้: เดินหน้าหรือถอยหลังกลับ? – รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช

รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช เริ่มเปิดประเด็นโดยกล่าวถึงความเป็นมาของกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้ ว่าเริ่มมีการตั้งคณะกรรมการอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2556 ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังจากที่เคยมีการพูดคุยแบบปิดลับ ซึ่งมักไม่ใช่การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง แต่เป็นความพยายามให้อีกฝ่ายวางอาวุธ

เอกสารสำคัญฉบับแรกที่เกิดขึ้นคือฉันทมติร่วมว่าด้วยกระบวนการพูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐบาลไทยกับกลุ่มบีอาร์เอ็น โดยมีข้อตกลงว่าการพูดคุยจะเป็นไปภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญไทย และมีมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวก็เกิดข้อถกเถียงว่าบีอาร์เอ็นเป็นตัวแทนที่แท้จริงของขบวนการหรือไม่ ทำไมจึงดำเนินการภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญไทย

ต่อมาบีอาร์เอ็นได้เสนอข้อเรียกร้อง 5 ข้อ ได้แก่ 1) ให้รัฐบาลมาเลเซียเป็นผู้ไกล่เกลี่ยแทนที่จะเป็นผู้อำนวยความสะดวก 2) ให้การพูดคุยเป็นการเจรจาระหว่างคนปาตานีกับเจ้าอาณานิคมสยาม 3) มีผู้สังเกตการณ์อิสระเข้าร่วม 4) ยอมรับภาษามลายูและสิทธิความเป็นเจ้าของของคนปาตานีเหนือดินแดนปาตานี และ 5) ปล่อยตัวนักโทษคดีความมั่นคงทั้งหมดและยกเลิกหมายจับ

การพูดคุยดำเนินไปได้ราวสิบเดือน แต่ไม่มีข้อสรุปชัดเจน ต่อมาเมื่อเกิดรัฐประหารปี 2557 ก็ส่งผลกระทบต่อทิศทางกระบวนการสันติภาพ กระนั้น การมีโต๊ะเจรจานับว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ คือ “เปลี่ยนการต่อสู้ที่เคยอยู่ในสนามรบแบบยิงกัน มาสู่การต่อสู้ทางการเมืองที่เข้มข้นมากขึ้น” รุ่งรวีกล่าว

ต่อมาในสมัยแรกของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา บีอาร์เอ็นปฏิเสธที่จะเจรจากับรัฐบาลทหาร โดยกลุ่มที่เข้าร่วมกระบวนการเจรจาคือมาราปาตานี (MARA Patani) แต่มีข้อกังขาว่ากลุ่มนี้มีความชอบธรรมหรือไม่ และรัฐบาลกังวลว่าการยอมรับการดำรงอยู่ของกลุ่มติดอาวุธอาจทำให้ความขัดแย้งอาจกลายเป็นประเด็นระดับสากล จนกระทั่งมาราปาตานียอมถอย โดยยอมไม่ให้มีการระบุชื่อกลุ่มในเอกสารเป็นทางการ

นอกจากนี้ ตั้งแต่ในรัฐบาลประยุทธ์เป็นต้นมา คำว่า ‘การพูดคุยสันติภาพ’ ถูกเปลี่ยนเป็น ‘การพูดคุยสันติสุข’ ซึ่งรุ่งรวีให้ความเห็นว่า “เน้นเรื่องการสร้างสันติภาพเชิงลบเป็นหลัก คือลดเหตุความรุนแรง แต่ไม่ได้มุ่งเน้นการสร้างสันติภาพเชิงบวกหรือขจัดรากเหง้าของความขัดแย้ง”

ในเวลาเดียวกันเกิดความริเริ่มเบอร์ลิน (Berlin Initiative) ซึ่งคือกระบวนการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการระหว่างสภาความมั่นคงแห่งชาติกับตัวแทนของบีอาร์เอ็น กระบวนการนี้ดำเนินการโดยเอ็นจีโอระหว่างประเทศ ไม่มีมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก 

ช่วงรัฐบาลประยุทธ์สมัยที่สอง บีอาร์เอ็นกลับเข้าสู่กระบวนการพูดคุยอีกครั้ง โดยอาศัยแนวทางของความริเริ่มเบอร์ลิน โดยบีอาร์เอ็นได้เสนอหลักการทั่วไปเกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพ (General Principles: GP) โดยมีประเด็นสำคัญคือ 1) การลดความรุนแรง 2) การปรึกษาหารือสาธารณะ และ 3) การแสวงหาทางออกทางการเมือง

ต่อมาแนวทางดังกล่าวได้พัฒนาเป็นแผนปฎิบัติการร่วมเพื่อสันติสุขแบบองค์รวม (Joint Comprehensive Peace Plan: JCPP) ประกอบด้วยสองส่วนหลัก คือการลดความรุนแรงและการปรึกษาหารือสาธารณะ โดยวางอยู่บนข้อเสนอเรื่อง  1) รูปแบบการปกครองที่เหมาะสม 2) การยอมรับอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของประชาคมปาตานี 3) สิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมายรัฐ 4) เศรษฐกิจและการพัฒนา และ 5) การศึกษา

ประเด็นสำคัญใน GP มีสองหลักการสำคัญ ได้แก่ การยอมรับซึ่งการดำรงอยู่ของประชาคมปาตานี และการยอมรับซึ่งหลักการรัฐเดี่ยวของไทย สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการประนีประนอมของทั้งสองฝ่าย

ในสมัยเศรษฐา ทวีสิน หัวหน้าคณะพูดคุยเปลี่ยนเป็นฉัตรชัย บางชวด ต่อมาเริ่มมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าการดำเนินการตามกรอบ JCPP อาจทำให้รัฐบาลไทยเสียเปรียบ ในรัฐบาลนี้การเจรจายังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน และเมื่อรัฐบาลเศรษฐาต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ กระบวนการพูดคุยจึงหยุดชะงัก ความรุนแรงจึงเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเดือนรอมฎอนที่ผ่านมา และผู้คนเริ่มตั้งคำถามต่อการไม่มีพื้นที่เจรจา 

ต่อมาในรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร มีการประกาศว่าจะหายุทธศาสตร์ใหม่ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนใต้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าการพูดคุยอาจลดระดับลงมาเป็นระดับภายในมากขึ้น กระนั้นก็ยังไม่ได้ตั้งคณะกรรมการพูดคุยขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ปี 2567 จนถึงปัจจุบัน มีเพียงการพูดถึงคำสั่ง 66/2523 ที่เคยใช้ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ซึ่งรุ่งรวีให้ความเห็นว่า “ถ้าการเมืองนําการทหาร แปลว่าเราใช้วิถีทางทางการเมืองในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ผ่านการพูดคุยสันติภาพ ดิฉันคิดว่าไปในแนวทางนี้ได้ แต่ถ้า 66/2523 แปลว่าเราต้องการเปิดทางให้กลุ่มขบวนการถอยกลับมาวางอาวุธ เป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย กลับคืนสู่สังคม เพียงแค่นั้นน่าจะไม่เพียงพอที่จะยุติความรุนแรงได้”

ที่ผ่านมา มีความพยายามหยุดยิงเกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง เช่นในช่วงรอมฎอนปี 2565 ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการพิสูจน์เรื่องตัวจริงหรือตัวปลอม คือการพูดคุยบนโต๊ะแล้วดูว่าตัวแทนที่มาเจรจาสามารถดำเนินการให้กลุ่มของตนหยุดยิงได้จริงหรือไม่

ท้ายที่สุดแล้ว รุ่งรวีมองว่ากระบวนการสันติภาพต้องได้รับการสานต่อ โดยระบุว่าฝั่งบีอาร์เอ็นลงนามกับเอ็นจีโอระหว่างประเทศเรื่องการรณรงค์ให้กลุ่มติดอาวุธเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้บีอาร์เอ็นระวังมากขึ้นกับการโจมตีเป้าหมายที่เป็นเด็กและพลเรือน นอกจากนี้บีอาร์เอ็นยังมีการอบรมเรื่องกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law: IHL) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากเข้าสู่กระบวนการเจรจาทางการเมือง โดยพบว่าตั้งแต่ปี 2556 ความรุนแรงลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับก่อนที่มักใช้หลักศาสนามากกว่าหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

สิ่งสำคัญคือต้องสร้างกระบวนการทางการเมืองที่เปิดพื้นที่ให้แต่ละฝ่าย ที่รวมทั้งคนเชื้อชาติอื่นและศาสนาอื่น นำเอาข้อข้องใจและความปรารถนาทางการเมืองของตนมาพูดคุย แล้วแสวงหาจุดร่วม เพื่อที่จะนําไปสู่การสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน

“ทางออกที่ดีที่สุด อาจคือการให้ ‘โต๊ะพูดคุย’ ได้กลับมาทำหน้าที่ของมันอีกครั้งหนึ่ง” รุ่งรวีทิ้งท้าย พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของการปรึกษาหารือสาธารณะที่ควรจะมีบทบาทในกระบวนการเจรจาสันติภาพ

‘ขาดความต่อเนื่อง’ และ ‘ไม่เคยข้ามผ่านการสร้างความเชื่อใจ’ ปัญหาใหญ่กระบวนการสันติภาพ – ดอน ปาทาน

เพื่อย้อนดูเบื้องหลังของปัญหาความรุนแรงในช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้ ดอน ปาทาน นักวิเคราะห์จากมูลนิธิเอเชีย ให้ข้อมูลว่าในเดือนธันวาคมปี 2567 มีแถลงการณ์จากบีอาร์เอ็นว่าหากรัฐบาลไม่ต้องการเจรจา ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องดำเนินการ และบีอาร์เอ็นพร้อมจะถอยจากการเจรจาภายใต้รัฐธรรมนูญไทย แต่ในเดือนมกราคม 2568 ภูมิธรรม เวชยชัย มีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนยุทธศาสตร์ และหลังจากนั้นไม่นาน นายกฯ แพทองธารก็เดินทางไปสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้ไปเยือนโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ซึ่งหลายคนในคณะเจรจาของบีอาร์เอ็นเป็นครูที่โรงเรียนนี้ และผู้นำทางจิตวิญญาณก็เป็นครูใหญ่ด้วย

แม้ว่าการกระทำดังกล่าวดูเหมือนจะสนองต่อบีอาร์เอ็น แต่เมื่อบีอาร์เอ็นยื่นข้อเสนอหลัก เช่น ให้มีผู้สังเกตการณ์นานาชาติ ให้ภาคประชาสังคมหรือเอ็นจีโอในพื้นที่มีส่วนร่วมในการสังเกตการณ์ และให้ปล่อยตัวนักโทษที่เกี่ยวข้องกับคดีความมั่นคง แต่ภูมิธรรมก็ไม่ตอบรับข้อเสนอเหล่านี้ และต่อมาสถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ก็ได้เพิ่มสูงขึ้น กระนั้นก็ไม่ใช่ความรุนแรงในลักษณะเดียวกับในอดีต

โดยดอนมองว่า “เมื่อมีความขัดแย้งระหว่างตัวละครที่เป็นรัฐกับตัวละครที่ไม่ใช่รัฐ มันไม่ใช่สงครามรูปแบบที่เราเห็นในยูเครน แต่เป็นการสื่อสารมากกว่า ความรุนแรงคือส่วนหนึ่งของการสื่อสาร”

ปัญหาสำคัญในรัฐบาลชุดปัจจุบัน คือแทนที่จะตั้งโต๊ะเจรจา รัฐบาลกลับยืนยันว่าหากจะมีการพูดคุย ต้องการหยุดยิงก่อน “ถ้าจะเปรียบเทียบก็คือ เอาเกวียนมาไว้ข้างหน้าม้าได้อย่างไร ม้าต่างหากต้องลากเกวียน” ดอนกล่าว

นอกจากนี้ หากมองในแง่ของโร้ดแมปเอง ปัจจุบันยังคงมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับโครงสร้างของการเจรจา เช่นหากบีอาร์เอ็นต้องการเข้ามาจัดเวทีพูดคุยกับประชาชนในสามจังหวัด จำเป็นต้องมีความคุ้มกันจากการถูกบังคับตามกฎหมาย (immunity) หรือไม่อย่างไร ซึ่งยังคงหาข้อสรุปไม่ได้

“ที่ผ่านมาเราไม่เคยข้ามผ่านการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่เคยมีประเด็นเป็นชิ้นเป็นอัน” ดอนเน้นย้ำ

นอกจากนี้ อีกประเด็นสำคัญที่ทำให้การเจรจาไม่มีข้อสรุปเสียที คือการเปลี่ยนรัฐบาลทำให้ทิศทางของกระบวนการต้องเปลี่ยนตาม หรือบางครั้งถึงกับหยุดชะงัก ต่อประเด็นนี้ดอนเปรียบเทียบกับการจัดการความขัดแย้งในประเทศอื่นๆ โดยยกตัวอย่างสหราชอาณาจักรซึ่งเคยมีการเจรจาระหว่างกองทัพสาธารณรัฐไอร์แลนด์ (Irish Republican Army: IRA) กับปีกการเมือง หรือฟิลิปปินส์ซึ่งมีสำนักงานเลขานุการสันติภาพแห่งรัฐบาลฟิลิปปินส์ (Office of the Presidential Adviser on the Peace Process: OPAPP) ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานถาวรในการเจรจาสร้างสันติภาพและคลี่คลายความขัดแย้ง โดยอยู่ภายใต้สำนักประธานาธิบดี ที่หากเปลี่ยนรัฐบาล หน่วยงานนี้ก็จะยังดำเนินการอยู่ จากตัวอย่างเหล่านี้ จะเห็นว่าการจัดการความขัดแย้งต้องอาศัยความต่อเนื่อง ซึ่งไม่มีในกระบวนการสันติภาพของไทย

ท้ายที่สุด ต่อคำถามที่หลายคนเกิดความกังวลว่าขบวนการในสามจังหวัดชายแดนใต้จะวิวัฒนาการเป็นเหมือนอัลกออิดะห์หรือกลุ่มญิฮาดหรือไม่ ดอนมองว่าไม่เคยมีสัญญาณดังกล่าวแต่อย่างใด

หากรัฐไทยไม่ยื่นมือเจรจา ปัญหาความขัดแย้งจะไม่สามารถคลี่คลายได้ – อาเต็ฟ โซ๊ะโก

“ผมว่าคนส่วนใหญ่รู้สึกหดหู่ เหมือนเราเองห่างหายจากการต้องลุ้นชีวิตที่ไม่ปลอดภัย ว่าพรุ่งนี้ใครจะโดน จะเป็นคนที่เรารู้จักหรือเปล่า ความรู้สึกเหล่านี้มันกลับมา และยิ่งกลับมาในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลพลเรือนด้วย ผมคิดว่าสิ่งนี้ทำให้คนที่ทำงานเรื่องสันติภาพรู้สึกว่าความคาดหวังที่พยายามหล่อเลี้ยงมาตลอดเหมือนเสียเปล่า” อาเต็ฟ โซ๊ะโก จากกลุ่ม The Patani กล่าว

ต่อประเด็นว่าต้องหยุดยิงก่อนหรือเริ่มเจรจาก่อน อาเต็ฟชี้ให้เห็นว่าในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ บีอาร์เอ็นไม่เคยต้องการเข้าร่วมโต๊ะเจรจาด้วยตัวเอง แต่มีข่าวลือว่าบีอาร์เอ็นถูกบังคับให้เข้าร่วม และทักษิณ ชินวัตรใช้เครือข่ายความสัมพันธ์กับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเพื่อให้แกนนำบีอาร์เอ็นถูกนำตัวมาพูดคุย สิ่งนี้สะท้อนว่า “หากฝ่ายไทยไม่เป็นฝ่ายยื่นมือเจรจา ปัญหาความขัดแย้งก็จะไม่สามารถคลี่คลายได้” อาเต็ฟกล่าว

ประเด็นถัดมาคือ แม้ในหมู่สมาชิกบีอาร์เอ็นเองจะมีจุดยืนที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาสามารถจัดการภายในได้ ตัวอย่างหนึ่งคือช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่บีอาร์เอ็นเปิดทางให้บุคลากรทางการแพทย์เข้าพื้นที่ แม้ว่าการสื่อสารให้เปิดทางในช่วงเวลานั้นจะมาจากปีกการเมืองที่ขัดแย้งกับพวกเขา แต่บีอาร์เอ็นก็ปฏิบัติตาม ในขณะที่ฝ่ายไทยควรจะตอบสนองกลับอย่างมีศีลธรรมมากกว่า แต่กลับมีการส่งทหารไปประชิดการวางอาวุธของนักรบบีอาร์เอ็นและเกิดการวิสามัญปิดล้อมหลายแห่ง

อาเต็ฟตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงนั้นเป็นรัฐบาลทหาร แต่ต่อมาเมื่อรัฐบาลพลเรือนเข้ามาแทนที่รัฐบาลทหาร หลายฝ่ายคาดหวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาในพื้นที่ กลับพบว่ารัฐบาลพลเรือนชุดนี้ไม่ได้ทำให้กระบวนการสันติภาพเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังดำเนินนโยบายที่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า “เราอยู่ในรัฐพลเรือนใช่หรือไม่”

“ตอนนี้มีการพูดถึงคำสั่ง 66/23 แสดงให้เห็นว่าสุดท้ายหลักคิดลักษณะนี้อยู่กับฝ่ายอำนาจนิยมไทยมาตลอด” นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังมีแนวโน้มประเมินว่าบีอาร์เอ็นอ่อนแอลง และสามารถควบคุมปฏิบัติการได้ ความรุนแรงที่มีอยู่ฝ่ายไทยรับได้ และเป็นความรุนแรงที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐไทยในการรักษาสถานะ

อาเต็ฟมองว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้น แต่ถ้าเทียบกับอดีต ถือว่าเปลี่ยนไปเยอะมาก การเปลี่ยนของบีอาร์เอ็นมาจากการสื่อสารกับคนในพื้นที่เอง ซึ่งอาเต็ฟมองว่าเป็นการดำเนินการฝ่ายเดียวที่ไม่ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลไทย ยิ่งในทุกวันนี้ที่การจัดการปัญหาที่ต้นตอไม่เกิดขึ้น แต่กลับเบี่ยงประเด็นไปยังเรื่องอื่นๆ

“ที่ผ่านมารัฐบาลไทยพยายามมุ่งไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ คำถามต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองการปกครองถูกทำให้เป็นเรื่องเล็กไป แต่ผมอยากเตือนว่า หากเรามองว่าการทำให้คนในพื้นที่มีฐานะที่ดีขึ้น แล้วพวกเขาจะไม่สนับสนุนเรื่องการต่อสู้และเรื่องการใช้อาวุธของบีอาร์เอ็น เราคิดผิด เพราะในปี 2547-2548 จังหวัดในภาคใต้มีรายได้มากที่สุดจากยางพารา แต่เป็นช่วงที่บีอาร์เอ็นปฏิบัติการได้มากที่สุดเช่นกัน เพราะไม่ใช่การต่อสู้เรื่องความยากจนแบบคอมมิวนิสต์ แต่เป็นเรื่องอัตลักษณ์และสิทธิของความเป็นเจ้าของ” อาเต็ฟกล่าวปิดท้าย

วังวนความรุนแรง: ปัญหาสิทธิมนุษยชนในชายแดนใต้ – สุณัย ผาสุข

สุณัย ผาสุขสะท้อนให้เห็นถึงบริบทสิทธิมนุษยชนท่ามกลางความขัดแย้งในพื้นที่ โดยเล่าว่าเริ่มมีปฏิบัติการตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะและเหตุการณ์ปล้นปืนค่ายปิเหล็ง “เนื้อหาสาระสำคัญประการหนึ่งของการก่อตัวขึ้นมา คือการยืนอยู่บนความคับข้องใจ ความโกรธแค้นต่อการถูกกระทำโดยรัฐไทย ก็คือมองว่ารัฐไทยเป็นผู้ละเมิด” สุณัย ที่ปรึกษา Human Rights Watch ประจำประเทศไทย กล่าว

หลังจากเหตุการณ์ปล้นปืนค่ายปิเหล็ง สถานการณ์ก็ทวีความรุนแรงขึ้น มีการอุ้มหาย การซ้อมทรมาน และการใช้ความรุนแรงนอกกฎหมายและไม่ได้สัดส่วนโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งไม่มีผู้รับผิดชอบ สุณัยเน้นถึงประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฮิวแมนไรตส์วอตช์ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐและกลุ่มที่ไม่ใช่รัฐ และเรียกร้องให้ใช้กฎหมายสงคราม โดยสุณัยได้กล่าวถึงรายงานฉบับหนึ่งชื่อว่า ‘No-One Is Safe’ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการก่อเหตุด้วยขบวนการบีอาร์เอ็น ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าบีอาร์เอ็นมีตัวตนจริง

สำหรับแรงจูงใจในการก่อเหตุ สุณัยพบว่าส่วนใหญ่มาจากเหตุการณ์ตากใบ “วัยรุ่นที่อยู่ในเหตุการณ์ตากใบ เห็นคนในเหตุการณ์ถูกทำร้าย ตัวเขารอดมาได้ และหมดหวังจะอยู่บนดิน ก็ไปอยู่ใต้ดิน และกลับมาเป็นกองกำลังติดอาวุธ” เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ความรุนแรงดำเนินต่อไป

“การละเมิดสิทธิมนุษยชนยังเกิดขึ้นโดยทั้งสองฝ่าย และทั้งสองฝ่ายยังคิดว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดทั้งคู่ รัฐไทยคิดว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดเพราะถือกฎหมายและอำนาจรัฐอยู่ในมือ ส่วนบีอาร์เอ็นคิดว่าตัวเองมีความชอบธรรมในฐานะการต่อสู้เพื่อเอาคืน” สุณัยให้ความเห็น

กระนั้น บีอาร์เอ็นให้ความสำคัญเรื่องความชอบธรรม โดยมีความพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองทั้งในระดับท้องถิ่นและสากล เช่น การลดระดับความรุนแรงในช่วงรอมฎอนในปีที่ผ่านๆ มา หรือการเปิดพื้นที่ให้บุคลากรทางการแพทย์ในช่วงโควิด-19 ตามที่อาเต็ฟได้กล่าวข้างต้น และอีกประการที่สำคัญคือการดำเนินการตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศมากขึ้น ซึ่งให้ความสำคัญกับการห้ามทำร้ายพลเรือน โดยมีการประกาศว่าจะไม่โจมตีสถานศึกษา จากที่ผ่านมาเคยมีการฆ่าครูและเผาโรงเรียน ทั้งๆ ที่สำหรับคนในพื้นที่แล้ว โรงเรียนเหล่านี้เป็นที่พึ่งของเด็กและพ่อแม่ชาวมุสลิมเช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีการตั้งคำถาม บีอาร์เอ็นก็ต้องปรับเปลี่ยนแนวทาง สะท้อนให้เห็นว่าบีอาร์เอ็นรับฟังเสียงท้วงติงของคนในพื้นที่

สุณัยวิจารณ์ว่าแนวทางของรัฐไทยในกระบวนการสันติภาพสะท้อนถึงการตีความที่ผิดพลาด โดยเฉพาะแนวทาง 66/2523 “มันยิ่งเป็นการเติมไฟความขัดแย้ง” สุณัยกล่าว และเสริมว่านอกจากนี้ การหมดอายุความของคดีตากใบยังเป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มความไม่พอใจในพื้นที่ และตอกย้ำว่าไม่ใช่เรื่องเกินเลยที่จะวิจารณ์ว่าตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงจนถึงวันนี้ หน่วยงานของรัฐไทย “ไม่มีการเรียนรู้ ไม่มีการสั่งสมองค์ความรู้ ทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก และสิ่งที่เกิดขึ้นคือคนตายกว่า 7,000 คนแล้ว”

ทั้งนี้ สุณัยมองว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นนอกพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ เช่น ปฏิบัติการที่สุไหงโก-ลกโดยอาร์เคเคเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568 คือความรุนแรงที่ถูกใช้ในฐานะเครื่องมือสื่อสารไปยังรัฐบาลมากกว่า อย่างไรก็ตาม เขาตั้งข้อสังเกตว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้มีแนวโน้มจะต้องใช้ความรุนแรงนอกพื้นที่ แต่กระนั้นก็กล่าวว่า “ปัจจัยที่น่าห่วงคือการตีมึนของรัฐบาล เพราะอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น”

“เหตุการณ์ช่วงรอมฎอนจะพีคช่วงสิบวันสุดท้าย ปีนี้พีคมาตั้งแต่สัปดาห์แรก มันโยงกับความล้มเหลวของกระบวนการสร้างสันติภาพหรือเปล่า ผมเชื่ออย่างนั้น”

นอกจากนี้ หนึ่งในประเด็นที่บีอาร์เอ็นให้ความสำคัญคือการเรียกร้องให้มีการสังเกตการณ์จากนานาชาติ อย่างไรก็ตาม รัฐไทยมักพยายามหลีกเลี่ยงการใช้กลไกกฎหมายระหว่างประเทศในกระบวนการสันติภาพโดยอ้างว่าไม่ใช่สถานการณ์สงคราม ซึ่งน่าตั้งคำถามว่าในเมื่อประกาศกฎอัยการศึกแล้ว จะไม่เป็นสถานการณ์สงครามได้อย่างไร ดังนั้นหนึ่งในปัญหาคือเรื่องการให้คำนิยามกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ทั้งสองฝ่ายยังแน่นิ่งกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้ในมุมมองนานาชาติ – แมทธิว วีลเลอร์

ต่อประเด็นบทบาทของนานาชาติในกระบวนการสันติภาพ แมทธิว วีลเลอร์ นักวิเคราะห์ Internatinal Crisis Group มองว่าความสนใจของนานาชาติต่อปัญหาชายแดนใต้เริ่มลดลง บางประเทศยังสนใจอยู่ โดยแม้จะมีความห่วงใยในมิติด้านมนุษยธรรม แต่ไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาที่ข้ามพรมแดน “ในแง่ของความพร้อมที่สองฝ่ายจะพูดกัน ท้ายที่สุดก็เหมือนว่าสองฝ่ายพอใจจะแน่นิ่งอยู่ในสภาพเดิม การพยายามจะพ้นไปจากจุดนี้เหมือนว่าจะเสี่ยงเกินไปสำหรับพวกเขา”

วีลเลอร์กล่าวว่าการเจรจาระหว่างรัฐไทยกับบีอาร์เอ็นอยู่ในช่วงละเอียดอ่อน โดยก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2567 มีการพูดคุยเรื่องการลงนามใน JCPP แต่บีอาร์เอ็นยังไม่พร้อมลงนาม ขณะที่รัฐบาลแพทองธารยังไม่ได้แต่งตั้งตัวแทนเจรจา ซึ่งส่งผลให้เกิดความรู้สึกคับข้องใจในกลุ่มคนทำงานด้านสันติภาพ

วีลเลอร์ยังให้ความเห็นว่าประเด็นการเจรจากับบีอาร์เอ็นถูกทำให้เป็นเรื่องการเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่ออิงจากประสบการณ์ในประเด็นอื่นๆ อย่างกรณีข้อพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหารกับกัมพูชา ทำให้ฝ่ายรัฐบาลอาจถูกกล่าวหาว่าการเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเจรจากับบีอาร์เอ็น อาจนำไปสู่การเสียดินแดน

แม้ว่าสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้จะยังคงดำเนินต่อไป แต่ทั้งฝ่ายรัฐไทยและบีอาร์เอ็นต่างก็มีความพยายามที่จะริเริ่มมาตรการลดระดับความรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงรอมฎอน เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่าทั้งสองฝ่ายยังคงพยายามดำเนินการเพื่อคลี่คลายปัญหา แต่ในความเป็นจริงยังแน่นิ่งเช่นเดิม

กระบวนการสันติภาพชายแดนใต้

กระบวนการสันติภาพชายแดนใต้

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Thai Politics

6 Jun 2025

101 SUPPORT — ร่วมซัพพอร์ต ร่วมส่งพลัง ร่วมสร้างสรรค์สื่อ

ร่วมซัพพอร์ตให้ ‘วันโอวัน’ ทำงานสื่อความรู้สร้างสรรค์แบบมืออาชีพ เปิดเบื้องหลังเบื้องหลังของปรากฏการณ์รอบตัวอย่างตรงไปตรงมา ชวนสังคมตั้งคำถามที่ ‘ใช่’ ในเรื่องสำคัญต่อชีวิต และเป็นตลาดวิชาคุณภาพให้สังคมไทย

กองบรรณาธิการ

6 Jun 2025

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save