นักวิเคราะห์ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะมองอำนาจนำทางการเมืองของกัมพูชาด้วยความประหลาดใจ แต่ระคนไปด้วยความอิจฉาลึกๆ ว่าทำไม สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ถึงได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จขนาดนั้นทั้งๆ ที่รูปแบบและโครงสร้างทางการเมืองดูไม่ค่อยจะมีความแตกต่างอะไรจากไทยเลย และถ้าจะว่าไปแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของกัมพูชาซึ่งเกิดขึ้นหลังสงครามกลางเมืองนั้น ปัญญาชนไทยก็มีส่วนอย่างสำคัญในการจัดทำเสียด้วย
โดยทั่วไปแล้ว อดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ไม่ได้เหลือตำแหน่งอะไรที่จะทำให้เขามีอำนาจตามกฎหมายได้มากมายไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งประธานวุฒิสภา ประธานองคมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชา ล้วนแล้วแต่มีขีดจำกัดทางกฎหมายในตัวของมันเอง ตัวอย่างอย่างการปลด ธี สุวรรณธา (Thy Sovantha) จากตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีเมืองอริยกษัตริย์ (ในจังหวัดกันดาล) นั้น ในทางกฎหมายฮุน เซน ทำได้แค่ไล่เธอออกจากพรรคประชาชนกัมพูชา แต่อำนาจที่ทำให้เธอหลุดจากตำแหน่งฝ่ายบริหารของเทศบาลนั้นมาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และองค์การบริหารส่วนจังหวัดกันดาล ตามการรายงานข่าวของสื่อมวลชนกัมพูชา[1] ฮุน เซน ในฐานะหัวหน้าพรรคได้สั่งให้รัฐมนตรีมหาดไทยสั่งการตามลำดับชั้นไปถึงจังหวัดกันดาลเพื่อให้ปลด influencer คนดังออกจากตำแหน่งบริหารของเมือง
อีกตัวอย่างหนึ่ง หลังจากมีความสงสัยกันทั่วไปว่า ฮุน เซน เอาอำนาจใดสั่งบัญชาการรบกองทัพกัมพูชาในเขตปะทะกันตามแนวชายแดนกับประเทศไทย ก็ปรากฏข่าวว่า[2] กษัตริย์สีหมุนี ได้ออกพระราชกฤษฎีกา สั่งการให้ ฮุน เซน ในฐานะประธานองคมนตรีและนายพลห้าดาวทองคำแห่งกองทัพกัมพูชา ช่วย นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ดูแลการบริหารประเทศ ซึ่งรวมถึงการพิพาทตามแนวชายแดนกับประเทศไทยด้วย
ถึงอย่างนั้นก็ตาม หากมองจากมาตรฐานการใช้อำนาจในแบบนิติรัฐ (rule of law) แล้ว เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากว่า หัวหน้าพรรคการเมืองไปสั่งการรัฐมนตรีได้อย่างไร ต่อให้อยู่ในพรรคเดียวกันก็ตาม อีกทั้งกษัตริย์ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญในแบบของไทยหรือกัมพูชาก็จะไม่มี ‘พระราชอำนาจ’ ตามกฎหมายที่จะสั่งการให้ฮุน เซนไปทำหน้าที่เช่นนั้นได้
นอกจากนี้เราจะพบว่า ฮุน เซนไม่ได้มีอำนาจทางการเมืองและการทหารดังที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้น หากแต่เขายังได้สร้างเครือข่ายทางธุรกิจและกลุ่มทุน เพื่อให้อำนาจและผลประโยชน์เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน อันจะเป็นการเสริมอำนาจ อิทธิพลและบารมีของฮุน เซน ให้แข็งแกร่งทั้งในทางการเมืองและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปพร้อมกัน
ในที่นี้ได้ใช้แนวคิด Patrimonial State และ Crony Capitalism เป็นกรอบในการอธิบายลักษณะของระบอบการเมืองของกัมพูชาภายใต้การนำของ ฮุน เซน เพื่อทำความเข้าใจการใช้อำนาจในการควบคุม บริหารประเทศ และอำนาจทางเศรษฐกิจร่วมสมัย
Patrimonial State ในภาษาไทยจะเรียกว่า รัฐสมบัติส่วนตัว หรือ รัฐราชสมบัติ (นิธิ เอียวศรีวงศ์) และ รัฐสมบัติ (ปิยบุตร แสงกนกกุล) หมายถึง ระบอบการเมืองที่อำนาจของรัฐไม่ได้แยกออกจากตัวบุคคลที่เป็นผู้นำ หากแต่รัฐถูกบริหารจัดการราวกับทรัพย์สินส่วนตัวของผู้นำหรือครอบครัวผู้นำ โดยตำแหน่งและทรัพยากรของรัฐสามารถถูกแจกจ่ายไปยังบุคคลใกล้ชิด เครือญาติ หรือผู้ที่สวามิภักดิ์ต่อผู้นำเพื่อแลกกับความจงรักภักดีและการสนับสนุนทางการเมือง
ส่วนคำว่า Crony Capitalism หรือทุนนิยมพวกพ้องนั้นหมายถึง รูปแบบของระบบเศรษฐกิจที่การดำเนินธุรกิจและการสร้างความมั่งคั่งไม่ได้เกิดขึ้นจากการแข่งขันเสรีอย่างแท้จริง แต่ขึ้นอยู่กับระบบอุปถัมภ์ ความสัมพันธ์ส่วนตัว และเครือข่ายทางการเมือง ผู้ประกอบการหรือกลุ่มทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษ เช่น สัมปทาน สิทธิผูกขาด การเอื้อสิทธิทางภาษี หรือการเข้าถึงทรัพยากรของรัฐ ผ่านการมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจทางการเมืองหรือข้าราชการระดับสูง
ระบบนี้มักนำไปสู่การกระจุกตัวของความมั่งคั่ง การบิดเบือนกลไกตลาด การลดทอนความโปร่งใส และเพิ่มปัญหาคอร์รัปชัน เพราะผลประโยชน์ส่วนตัวของชนชั้นนำทางเศรษฐกิจและการเมืองถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน จนบดบังประโยชน์สาธารณะและการแข่งขันที่เป็นธรรม
รัฐสมบัติส่วนตัวของฮุน เซน
เพื่อที่จะเข้าใจว่าประเทศกัมพูชากลายเป็นสมบัติส่วนตัวของฮุน เซนได้อย่างไรนั้น จะต้องย้อนไปตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 เมื่อเขากลายเป็นบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการชักจูงให้เวียดนามบุกยึดกัมพูชาเพื่อปลดปล่อยประชาชนให้พ้นจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของระบอบเขมรแดง (1975-1979) ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาที่สถาปนาขึ้นใหม่ในปี 1979 ด้วยอายุเพียง 27 ปี และได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีในปี 1981 ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศในปี 1985 ด้วยวัยเพียง 33 ปี (น่าจะได้ชื่อว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในโลก) การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญของฮุน เซนนั้นไม่ใช่เรื่องของบุญวาสนา โชคชะตา หรือเส้นสาย แต่กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องของความสามารถล้วนๆ การไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงในระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ท่ามกลางความยากลำบากของสงครามกลางเมืองเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องที่คนอายุเพียง 30 ปีเศษจะทำกันได้ง่ายๆ
สิ่งที่หล่อหลอมให้ฮุน เซน กลายเป็นบุรุษเหล็กของกัมพูชาเกิดขึ้นในช่วงสงครามกลางเมืองระหว่างปี 1979-1989 เมื่อเขาต้องนำรัฐบาลและกองทัพ (แน่นอนว่าภายใต้ความช่วยเหลือของกองทัพเวียดนาม) ต่อสู้กับกองกำลังของเขมรแดง ซึ่งในเวลานั้นได้ผสานกำลังเข้ากับกองกำลังของกลุ่มนิยมเจ้าของ (กษัตริย์) นโรดม สีหนุ และฝ่ายเขมรเสรี ของอดีตนายกรัฐมนตรีซอน ซาน ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันทั้งทางทหารและการทูตจากไทยและจีน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คนอย่างฮุน เซนจะจดจำได้ว่า ผู้นำไทยและกองทัพไทยได้ทำอะไรกับเขาเอาไว้ในสมัยนั้น
การสร้างชาติของกัมพูชาในยุคหลังเขมรแดงนั้นแม้จะมีกองทัพเวียดนามทำหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงและคอยคุ้มครองความอยู่รอดปลอดภัย แต่ฮุน เซน ในฐานะนายกรัฐมนตรีก็มีภาระหน้าที่อันหนักหน่วงในการฟื้นฟูระบบที่ถูกเขมรแดงทำลาย ให้สามารถทำงานได้ท่ามกลางแรงกดดันและการปิดล้อมทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทูตจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยและกลุ่มอาเซียน
ฮุน เซนสละตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศในปี 1986 เพื่อมุ่งการบริหารและการพัฒนาประเทศในฐานะหัวหน้ารัฐบาลอย่างเดียว ในช่วงที่การปฏิรูปในโลกสังคมนิยมเพื่อนบ้านอย่างลาว (จินตนาการใหม่) และเวียดนาม (Doi Moi) กำลังมาแรง แต่แล้วก็ต้องกลับเข้ารับตำแหน่งนี้ใหม่อีกครั้งในปี 1987 เมื่อมองเห็นความจำเป็นที่จะต้องทำงานทางด้านการทูตมากขึ้นในอันที่จะสร้างสันติภาพในยุคปลายสงครามกลางเมือง เขาทำหน้าที่หัวหน้าคณะเจรจาสันติภาพกับเขมรสามฝ่าย (สีหนุ-ซอนซาน-เขมรแดง) ที่นำไปสู่การสร้างสันติภาพและการถอนทหารเวียดนามออกจากกัมพูชาในปี 1989 ในแง่นี้ ฮุน เซนอาจจะเริ่มรู้สึกว่า เขาสร้างกัมพูชาขึ้นมากับมือของเขาเอง
โดยทั่วไปแล้วโครงสร้างการเมืองในระบอบอำนาจนิยมหรือมีพัฒนาการมาจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช อาจจะสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของรัฐให้กับผู้นำได้มากกว่าโครงสร้างระบอบการเมืองแบบพหุนิยมหรือเสรีนิยม ในกรณีของฮุน เซน และกัมพูชานั้น โครงสร้างการเมืองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่ก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่การปลดปล่อยของเขมรแดงในปี 1975 มีส่วนอย่างสำคัญ แม้ว่าฮุน เซนและกองทัพเวียดนามจะประสบความสำเร็จในการขับไล่เขมรแดง แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองการปกครอง พรรคประชาชนกัมพูชาในปัจจุบันแท้จริงแล้วก็คือ พรรคคอมมิวนิสต์ในชื่อ ‘พรรคประชาชนปฏิวัติกัมพูชา’ ที่อ้างรากเหง้ามาตั้งแต่ปี 1951 ซึ่งทำหน้าที่ในการผลิตอุดมการณ์และนโยบายเพื่อควบคุมภาครัฐและกองทัพนั่นเอง
ความพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ในปี 1993 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างพรรคประชาชนกัมพูชากับกลไกรัฐและกองทัพเลย พรรคฟุนซิเปกซึ่งได้รับชัยชนะเพียงที่นั่งในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 58 ที่นั่ง มากกว่าพรรคประชาชนกัมพูชาซึ่งได้ 51 ที่นั่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่ได้ควบคุมกลไกบริหารภายในรัฐและกองทัพของกัมพูชา สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ผู้เขียนมีความเห็นที่คัดค้านกับนักวิเคราะห์ทั่วไปมาโดยตลอดตั้งแต่วันนั้นจนถึงบัดนี้ว่า ไม่มีทางที่พรรคฟุนซินเปกของเจ้านโรดม รณฤทธิ์ จะปล่อยให้พรรคประชาชนกัมพูชาเป็นฝ่ายค้านได้ สุดท้ายการประนีประนอมก็มาถึงจุดที่ว่า ประเทศกัมพูชาต้องมีนายกรัฐมนตรี 2 คน เพราะรณฤทธิ์ไม่สามารถบริหารงานในฐานะนายกรัฐมนตรีคนเดียวได้ ด้วยว่าไม่มีอำนาจในการบังคับบัญชากลไกรัฐซึ่งทั้งหมดนั้นเคยทำงานภายใต้การนำของฮุน เซนมาก่อน หลายกระทรวงในรัฐบาลกัมพูชาสมัยแรกจึงมีรัฐมนตรีคู่ แทนที่จะมีรัฐมนตรีว่าการและช่วยว่าการเหมือนในประเทศอื่น
สถานการณ์เช่นนั้นทำให้การบริหารงานเป็นไปด้วยความยากลำบาก ในที่สุดฮุน เซน นายกรัฐมนตรีคนที่สองซึ่งควบคุมอำนาจในรัฐและในกองทัพได้ค่อนข้างเบ็ดเสร็จ (เนื่องจากกองกำลังของฟุนซินเปกที่มาหลอมรวมหลังการเลือกตั้งมีจำนวนน้อย และเขมรแดงเป็นกลุ่มติดอาวุธนอกกฎหมาย) ตัดสินใจยึดอำนาจในปี 1997 และพรรคประชาชนกัมพูชาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งในปี 1998 ได้ 64 ที่นั่ง ในขณะที่ฟุนซินเปกได้ 43 ที่นั่ง ฮุน เซน จึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียว แม้ว่าพรรคฟุนซินเปกได้ร่วมรัฐบาล แต่รณฤทธิ์ต้องไปเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การเลือกตั้งในปีต่อๆ มา ฟุนซินเปกและรณฤทธิ์ไม่ประสบความสำเร็จอีกเลย ฮุน เซน จึงอยู่ในอำนาจคนเดียวมาโดยตลอด แม้ว่าบางเวลาจะมีพรรคการเมืองอื่นๆ เช่น พรรคสมรังสี พรรคสงเคราะห์ชาติ ขึ้นมาท้าทายพรรคประชาชนในการเลือกตั้งอยู่เนืองๆ แต่ก็ไม่เคยได้ที่นั่งในสภามากพอจะจัดตั้งรัฐบาลได้เลยสักครั้ง
แน่นอนทีเดียวว่าชัยชนะของพรรคประชาชนกัมพูชาและฮุน เซนดังเช่นที่กล่าวมานั้น ไม่ได้ขาวสะอาดเท่าใดนัก ฝ่ายค้านถูกกำจัดด้วยวิธีการต่างๆ นานา ตั้งแต่ชักชวนให้เป็นพวก ข่มขู่ คุกคาม จับกุมคุมขัง ไปจนถึงการล่าสังหาร และทำเหมือนไทย คือ ยุบพรรคที่เป็นคู่แข่งไปเสีย การเลือกตั้งล่าสุดเมื่อปี 2023 คณะกรรมการเลือกตั้งได้ตัดสิทธิพรรคแสงเทียนซึ่งเป็นฝ่ายค้านสำคัญ[3] ทำให้พรรคประชาชนกัมพูชากวาดที่นั่งในสภาได้มากถึง 120 ที่นั่ง เหลือให้พรรคฟุนซินเปกเพียง 5 ที่นั่ง
องค์ประกอบสำคัญอีกประการหนึ่งที่จะชี้ให้เห็นว่ากัมพูชามีสภาพเป็นเสมือนรัฐส่วนตัวของฮุน เซน คือ เขาสามารถถ่ายโอนและจ่ายแจกอำนาจทางการเมืองให้กับคนในตระกูล ลูกหลาน และพวกพ้องได้อย่างสะดวกโดยไม่มีอุปสรรค ฮุน เซน วางแผนสืบทอดอำนาจโดยให้ ฮุน มาเนต บุตรชายคนโตรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งปี 2023 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่พรรคประชาชนกัมพูชาของฮุน เซนชนะอย่างถล่มทลาย การส่งมอบตำแหน่งให้ลูกชายเช่นนี้ทำให้การสืบทอดอำนาจในระบอบการเมืองกัมพูชาเป็นไปอย่างราบรื่นและยังคงความต่อเนื่องในกรอบเดิม
ในทำนองเดียวกัน ตระกูลอื่นๆ ในพรรคประชาชนกัมพูชาก็ล้วนแล้วแต่ถ่ายโอนอำนาจให้กับลูกหลานเหมือนกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีรัฐมนตรีกลาโหม เตีย บัญห์ ซึ่งได้มอบอำนาจให้ เตีย เซยฮา ผู้เป็นลูกชายรับช่วงต่อ รัฐมนตรีมหาดไทย ซอ เค็ง ให้บุตรชาย ซอ สุขา ขึ้นครองตำแหน่งแทน มีรัฐมนตรีอีก 8 คนในคณะรัฐมนตรีของฮุน มาเนต ที่เข้ามารับตำแหน่งแทนพ่อหรือในโควตาที่สืบทอดจากครอบครัวในกระทรวงต่างๆ ตัวอย่างเช่น ดิต ตินา ลูกชายของ ดิต มุนตี อดีตประธานศาลฎีกา ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และการประมง, ชัย ฤทธิเสน ลูกชายของ ชัย ตัน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวางแผน ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาชนบท และ จาม นิมน ที่รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ต่อจาก จาม ประสิทธิ์ ผู้เป็นพ่อ นอกจากนี้ เจีย ซอมที ลูกชายของ เจีย ซิม อดีตประธานพรรคประชาชนกัมพูชาและอดีตประธานวุฒิสภา ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการสังคมและเยาวชน, สาย สมอาล ลูกชายของ สาย ชุม อดีตประธานวุฒิสภาอีกคนหนึ่ง ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดิน ผังเมือง และการก่อสร้าง และ ซก สกล ลูกชายของ ซก อัน อดีตรองนายกรัฐมนตรีและผู้สนับสนุนคนสำคัญของฮุน เซน ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยว
นอกจากนี้ ยังมีรัฐมนตรีที่มีความเกี่ยวข้องหรือเป็นเครือญาติกับตระกูลฮุนโดยตรง เช่น แก้ว รัตนะ ซึ่งเป็นคนสนิท (แหล่งข่าวบางแหล่งบอกว่าเป็นหลาน) ของฮุน เซน ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเหมืองแร่และพลังงาน, เนท เพียะตรา หลานของฮุน เซนอีกคน ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสารสนเทศ และ เชียง ลา หลานเขยของฮุน เซน ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ ยังมีตำแหน่งอื่นๆ ที่สืบทอดผ่านสายเลือด เช่น เจีย เสรย ลูกสาวของเจีย จันโท ที่ได้รับตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางกัมพูชาแทนที่พ่อของเธอ
รูปแบบการเมืองแบบครอบครัวหรือการเมืองวงศ์ตระกูลเช่นนี้ทำให้ฮุน มาเนต ซึ่งเป็นผู้นำรุ่นใหม่ ต้องทำงานท่ามกลางผู้ใต้บังคับบัญชาที่ล้วนเป็นรุ่นลูกหลานของพรรครัฐบาลรุ่นบิดา ส่งผลให้โครงสร้างอำนาจเก่ายังคงอยู่ครบถ้วน แม้หน้าตาของรัฐบาลจะดูเหมือนเปลี่ยนแปลงเป็นคนรุ่นใหม่ แต่แก่นแท้ยังคงเป็น ‘ระบบเดิมในหน้ากากใหม่’[4] ถ้าจะว่าไปแล้ว ฮุน มาเนต ก็คือตัวแทนใบหน้าใหม่ของระบบเก่า และในเวลานี้ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ฮุน เซนยังคงเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในกัมพูชา และมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเชิงนโยบายต่างๆ
แม้ว่าฮุน เซนจะลงจากตำแหน่งนายกฯ แต่เขายังคงครองอำนาจผ่านบทบาทสำคัญในโครงสร้างการเมือง ประการแรกคือการเป็นประธานพรรคประชาชนกัมพูชาที่ปกครองประเทศมาอย่างยาวนาน ฮุน เซนยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคนี้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งหมายความว่าเขายังสามารถชี้นำและกำหนดทิศทางของรัฐบาลได้ โดยอาศัยกลไกพรรคและเจ้าหน้าที่รัฐต้องปฏิบัติตามนโยบายและคำสั่งของผู้นำพรรคแบบเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์ เช่น ในจีน เวียดนาม ลาว และเกาหลีเหนือ
ดังที่กล่าวข้างต้น อดีตนายกฯ สามารถสั่งการรัฐบาลได้ในฐานะประธานพรรค โดยที่นายกรัฐมนตรี (คนปัจจุบัน) ต้องเคารพและปฏิบัติตามนโยบายและผู้นำของพรรค[5] ดังนั้น ฮุน มาเนตในฐานะนายกฯ จึงต้องดำเนินงานไปในทิศทางที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของบิดาและกลุ่มผู้นำพรรคที่ยังคงภักดีต่อฮุน เซน
ทุน(นิยม)พวกพ้องฮุน เซน
ระบบเศรษฐกิจและการเมืองของกัมพูชาในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาอยู่ภายใต้อิทธิพลของโครงสร้างที่เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่นระหว่างอำนาจรัฐ – ครอบครัวผู้นำ – กลุ่มทุน จนเกิดสิ่งที่ทางวิชาการเรียกกันว่า ‘ทุนนิยมพวกพ้อง’ (Crony Capitalism) ระบบนี้ไม่เพียงแต่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่ยังเป็นกลไกหลักที่ค้ำจุนและรักษาอำนาจของผู้นำสูงสุดอย่าง ฮุน เซนและครอบครัว แม้ในปัจจุบันที่เขาก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม
ทุนนิยมพวกพ้องในกัมพูชาเป็นระบบที่โอกาสทางเศรษฐกิจ การเข้าถึงทรัพยากร และการได้รับสัมปทานจากรัฐไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแข่งขันเสรีหรือความสามารถทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว หากแต่ขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดและความสัมพันธ์ทางการเมืองกับผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะผู้นำประเทศและเครือญาติ
ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์นี้มีลักษณะเป็นสองทาง ฝ่ายผู้นำจะมอบตำแหน่งทางการเมือง เช่น วุฒิสมาชิก สิทธิพิเศษ สัมปทาน หรือสัญญาจัดซื้อจัดจ้างของรัฐให้แก่กลุ่มทุนที่ภักดี ฝ่ายทุนจะตอบแทนด้วยการสนับสนุนทางการเงินแก่พรรคการเมือง การดำเนินโครงการของรัฐบาล หรือแม้แต่กิจกรรมส่วนตัวของตระกูลผู้นำ
ครอบครัวของฮุน เซนเองมีบทบาทเป็นทั้งผู้เล่นทางการเมืองและผู้ครอบครองกิจการสำคัญของประเทศ ฮุน มานา บุตรสาวคนโต เป็นนักธุรกิจหญิงที่มีอาณาจักรครอบคลุมสื่อ โทรคมนาคม และเหมืองแร่ รวมถึงมีหุ้นในบริษัทเอกชนมากกว่า 20 แห่ง มูลค่ารวมหลายสิบล้านดอลลาร์ ฮุน มะลิ บุตรสาวคนเล็ก เชื่อมเครือข่ายธุรกิจของครอบครัวกับตระกูลการเมืองอื่น เช่น ตระกูลซก ผ่านการแต่งงาน (มะลิแต่งงานกับ ซก พุทธิวุฒิ ลูกชายซก อาน) และการร่วมลงทุน นอกจากนี้คนในครอบครัวยังมีบทบาทกำหนดทิศทางกิจการที่เกี่ยวข้องกับรัฐ เช่น พลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และธนาคาร[6]
นอกจากคนในตระกูลแล้ว ฮุน เซนยังสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจที่เข้มแข็งและมีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างลึกซึ้ง ตัวอย่างเช่น
- กิต เม้ง (Kith Meng) ประธานหอการค้ากัมพูชา เจ้าของ Royal Group คุมกิจการโทรคมนาคม (Cellcard), สื่อ CTN, ธนาคาร ANZ Royal, พลังงาน และโรงแรม ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการประสานงานภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นออกญา และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติหลายแห่ง โดยเฉพาะจีน เช่น Huawei และ China Southern Power Grid
- เจือง สุเพียบ (Choeung Sopheap) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ เยีย ฟู (Yeay Phu) และ เลา เมงคิน (Lau Meng Khin) คู่สามีภรรยานักธุรกิจแห่งบริษัท Pheapimex ที่ได้ชื่อว่าทรงอิทธิพลทางการเมืองมากเพราะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัวตระกูลฮุน โดย เยีย ฟู เป็นเพื่อนสนิทของ บุญ รานี ภรรยาฮุน เซน ประกอบธุรกิจและทำงานการกุศลในสภากาชาดกัมพูชาด้วยกัน ส่วน เลา เมงคิน ก็เป็นวุฒิสมาชิกของพรรคประชาชนมาตั้งแต่ปี 2006[7]
- มง ฤทธี (Mong Reththy) เพื่อนฮุน เซนตั้งแต่สมัยวัยเยาว์ ปัจจุบันเป็นวุฒิสมาชิกและเจ้าพ่อเกษตรกรรม ครองสัมปทานปาล์มน้ำมันและอ้อยขนาดใหญ่ ร่วมทุนกับนักธุรกิจไทย และมีชื่อเสียงจากการสนับสนุนโครงการของรัฐบาล เขาได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจที่สนิทสนมกับ ฮุน เซน มากที่สุดและทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินให้กับฮุน เซน มาอย่างยาวนาน
- ลี ยง พัด (Ly Yong Pat) หรือที่รู้จักกันดีในนามเสี่ยพัด ราชาแห่งเกาะกง เจ้าของธุรกิจ LYP Group ครอบครองกิจการคาสิโน น้ำตาล และโรงแรม เป็นผู้ทรงอิทธิพลชายแดนเกาะกง และมีบทบาททางการเมืองในฐานะวุฒิสมาชิก เขาถูกทางการสหรัฐฯ คว่ำบาตรเมื่อปีที่แล้วในฐานที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์และบังคับใช้แรงงานในศูนย์สแกมเมอร์
- ซก กง (Sok Kong) นักธุรกิจเชื้อสายเวียดนาม-กัมพูชา แห่งอาณาจักร Sokimex ครองกิจการน้ำมัน โรงแรม และการท่องเที่ยว รวมถึงได้รับสัมปทานบริหารปราสาทนครวัด ถือว่าเป็น oligarch เจ้าแรกๆ ที่เติบโตมาพร้อมกับอำนาจของฮุน เซน
- ก๊ก อัน (Kok An) วุฒิสมาชิกของพรรคประชาชนกัมพูชา ประกอบธุรกิจหลายอย่าง เช่น คาสิโน สุรา ยาสูบ ไปจนถึงธุรกิจประมง เขาถูกออกหมายจับในประเทศไทยเมื่อเร็วๆ นี้ในฐานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายสแกมเมอร์
บุคคลเหล่านี้ได้รับผลประโยชน์จากรัฐอย่างต่อเนื่อง บางครั้งภาครัฐมักจะหลับตาข้างหนึ่งหรือไม่ก็รู้เห็นเป็นใจให้พวกเขาทำธุรกิจสีเทา เช่น การหลอกลวงทางไซเบอร์ คอลเซ็นเตอร์ เป็นต้น เพื่อแลกกับการสนับสนุนทางการเงินและความภักดีต่อระบอบปกครองของ ฮุน เซน
ทุนนิยมพวกพ้องในกัมพูชาไม่ได้ดำรงอยู่เพียงเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว หากแต่ได้รับการค้ำจุนจากโครงสร้างทางการเมืองและกฎหมาย การจำกัดบทบาทฝ่ายค้านและสื่ออิสระอย่างต่อเนื่องในระยะที่ผ่านมาทำให้ไม่มีแรงตรวจสอบหรือท้าทายการผูกขาดของทุนพวกพ้อง กระบวนการยุติธรรมอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝ่ายบริหาร ทำให้ข้อพิพาททางธุรกิจที่กระทบเครือข่ายอำนาจมักตัดสินเข้าข้างฝ่ายทุนพวกพ้อง การเลือกตั้งที่ปราศจากการแข่งขันจริงๆ ทำให้ผู้มีอำนาจไม่จำเป็นต้องพึ่งคะแนนนิยมจากประชาชน แต่ใช้เครือข่ายทุนเป็นฐานทรัพยากรหลัก ผลคือ ระบบนี้กลายเป็นวงจรอุปถัมภ์ปิดที่ตัดการแข่งขันออกไป ทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจ
แม้การลงทุนจากทุนพวกพ้องและพันธมิตรต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานและเขตเศรษฐกิจพิเศษหลายแห่งในกัมพูชา แต่ประโยชน์ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในมือกลุ่มทุนและผู้มีอำนาจ ขณะที่ประชาชนทั่วไปมักได้ผลประโยชน์เพียงเล็กน้อย ความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูง ประชากรจำนวนมากยังอยู่ใกล้เส้นความยากจน การสูญเสียที่ดินทำกินจากการให้สัมปทานขนาดใหญ่ ทำให้เกิดความขัดแย้งในชุมชน สภาพแวดล้อมถูกทำลายจากโครงการเหมืองและตัดไม้เชิงพาณิชย์ ตลาดเสรีและผู้ประกอบการรายเล็กไม่สามารถแข่งขันได้ เพราะถูกกันออกจากโอกาสสำคัญ ในระยะยาว ทุนนิยมพวกพ้องอาจสร้างความเปราะบางให้เศรษฐกิจกัมพูชา เพราะขึ้นอยู่กับนายทุนไม่กี่กลุ่มและเสี่ยงต่อแรงกระแทกทางการเมือง
กล่าวโดยสรุป แม้ว่าฮุนเซนจะลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการแล้วหลังการเลือกตั้งในปี 2023 แต่กัมพูชายังคงอยู่ภายใต้เครือข่ายอำนาจที่เขาสร้างขึ้นจากการผสานการเมืองที่เป็นแบบ ‘รัฐสมบัติส่วนตัว’ และระบบเศรษฐกิจแบบ ‘ทุนนิยมพวกพ้อง’ ให้เป็นโครงสร้างเดียวกัน โดยรัฐถูกใช้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของครอบครัวและพันธมิตร ขณะที่โอกาสทางเศรษฐกิจถูกผูกขาดไว้ในมือกลุ่มทุนใกล้ชิด อันได้แก่ เครือญาติ นักการเมือง และนักธุรกิจที่ภักดี
ระบบนี้ทำให้ตระกูลฮุนไม่เพียงคงอำนาจทางการเมืองผ่านพรรคประชาชนกัมพูชาและตำแหน่งสำคัญในฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ แต่ยังควบคุมเศรษฐกิจในสาขาหลัก เช่น พลังงาน โทรคมนาคม อสังหาริมทรัพย์ และการเงิน กลายเป็นวงจรผลประโยชน์ที่ตอกย้ำความมั่งคั่งและอำนาจ จนยากที่กลไกประชาธิปไตยหรือการแข่งขันเสรีจะทลายลงได้
[1] “CPP expels Thy Sovantha and strips her of govt positions” Khmer Times (August 3, 2025) [https://www.khmertimeskh.com/501732416/cpp-expels-thy-sovantha-and-strips-her-of-govt-positions/] ทางการกัมพูชา จำกัดการเข้าถึงในบางเวลาที่มีเหตุพิพาทกับไทย
[2] “King Sihamoni authorizes Hun Sen to lead national defense coordination amid escalating border tension” Khmer Times August4, 2025 [https://www.khmertimeskh.com/501732244/king-sihamoni-authorises-hun-sen-to-lead-national-defence-coordination-amid-escalating-border-tensions/] การเข้าถึงจากประเทศไทยถูกจำกัดบางเวลา
[3] Human Rights Watch. Cambodia Event of 2023 [https://www.hrw.org/world-report/2024/country-chapters/cambodia#:~:text=independent%20media%20%2C%20%2040rights,leaders%2C%20and%20trade%20union%20leaders]
[4] “The son almost rises: Cambodia’s Hun Sen the power behind throne” Malaymail. October 14, 2024 [https://www.malaymail.com/news/world/2024/10/14/the-son-almost-rises-cambodias-hun-sen-the-power-behind-throne/153548]
[5] Devjyot Ghoshal, Francesco Guarascio and Poppy Mcpherson “Cambodia’s Hun Sen at the helm in border conflict with Thailand” Reuters July 31, 2025 [https://www.reuters.com/world/asia-pacific/cambodias-hun-sen-helm-border-conflict-with-thailand-2025-07-31/#:~:text=Chhay%20Sophal%2C%20a%20Phnom%20Penh,the%20ruling%20Cambodian%20People%27s%20Party]
[6] Global Witness. Hostile Takeover July7, 2016 [https://globalwitness.org/en/campaigns/land-deals/hostile-takeover/]
[7] Megha Bahree “In Cambodia, A Close Friendship with the PM Leads To Vast Wealth For One Power Couple” Forbes September 14, 2014 [https://www.forbes.com/sites/meghabahree/2014/09/24/who-you-know-inc-in-cambodia-a-close-friendship-with-the-pm-leads-to-vast-wealth-for-one-power-couple/]