ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งและข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาในประเด็นเส้นเขตแดน กระแสชาตินิยมปะทุขึ้นอีกครั้งในสังคมการเมืองไทย ขณะเดียวกันรัฐบาลพลเรือนก็กำลังเปิดทางให้กองทัพเข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญในการกำหนดทิศทางการจัดการปัญหาชายแดนและความมั่นคง
สถานการณ์เช่นนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่สังคมจะเริ่มตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพลเรือนกับกองทัพ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปมปัญหาเชิงโครงสร้างของการเมืองไทยตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เห็นได้จากกองทัพยังคงมีบทบาทและอำนาจทางการเมืองสูงกว่าที่ควรจะเป็นภายใต้ระบบประชาธิปไตย และเมื่อบรรยากาศของความขัดแย้งถูกหล่อเลี้ยงด้วยอารมณ์ชาตินิยมเช่นนี้ ยิ่งทำให้บทบาทของรัฐบาลพลเรือนในการกำหนดทิศทางประเทศถูกเบียดบังให้เลือนรางลงไปทุกที
วันโอวันชวน อนาลโย กอสกุล ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการทหาร (กมธ.ทหาร) และบรรณาธิการเว็บไซต์ ThaiArmedForce.com มาสนทนาเกี่ยวกับบทบาทและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพลเรือนกับกองทัพ รวมถึงตั้งคำถามเพื่อคลี่คลายว่า ในภาวะที่ ‘กระแสชาตินิยม’ กำลังโถมทับสังคมไทย เราควรระมัดระวังอะไรเป็นพิเศษบ้าง
หมายเหตุ : เรียบเรียงเนื้อหาส่วนหนึ่งจากรายการ 101 One-on-One EP.372: มองความมั่นคงในภาวะชาตินิยม เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ดำเนินรายการโดย อินทร์แก้ว โอภานุเคราะห์กุล
มองบทบาทรัฐบาลไทยท่ามกลางความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

อนาลโย กอสกุล บรรณาธิการเว็บไซต์ thaiarmedforce.com ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธและความมั่นคง เริ่มต้นอธิบายสถานการณ์ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาในมิติของความมั่นคง ผ่านการวิเคราะห์บทบาทระหว่างรัฐบาลและกองทัพไทยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
อนาลโยมองว่า ปัญหาระหว่างรัฐบาลพลเรือนและกองทัพไทยที่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร กำลังเผชิญอยู่นั้นไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ แต่กลับเป็นสิ่งที่หลายรัฐบาลที่ผ่านมาต่างก็ต้องเผชิญโดยไม่รู้ตัวด้วยกันทั้งสิ้น ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นคือรัฐบาลไทย ‘ไม่มีธงทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับมิติด้านความมั่นคง’ มากเท่าไหร่นัก จนหลายครั้งต้องผลักบทบาทดังกล่าวให้เป็นหน้าที่ของกองทัพไทยในการขับเคลื่อนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นความมั่นคง ทั้งที่ตามหลักการไม่ควรเป็นเช่นนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าปัญหาที่รัฐบาลไม่มีธงทางความคิดเกี่ยวกับความมั่นคงกำลังกลายเป็นปัญหาที่เรื้อรังซึ่งต้องได้รับการเร่งแก้ไขให้ดีขึ้น
“นโยบายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงต้องออกมาจากฝ่ายการเมืองเป็นหลัก ส่วนกองทัพต้องทำหน้าที่เป็นเพียงฝ่ายปฏิบัติตามรัฐบาลเท่านั้น แต่รัฐบาลไทยกลับยกอำนาจดังกล่าวให้กับกองทัพจนทำให้เขารู้สึกว่าทำแบบนี้ถูกต้องแล้ว ท่าทีดังกล่าวจึงทำให้เกิดเป็นลักษณะเฉพาะของการทำงานแบบไทยๆ กล่าวคือรัฐบาลทำงานน้อยไปหน่อย ส่วนกองทัพไทยก็ทำงานมากเกินไปหน่อย” อนาลโยอธิบายเพิ่มเติม
อนาลโยยกตัวอย่างผ่านนโยบาย ‘การปิดด่านในพื้นที่ชายแดน’ ซึ่งเขายอมรับว่าในแง่หนึ่งอำนาจการปิดด่านเป็นอำนาจที่กองทัพสามารถดำเนินการได้ แต่ต้องยอมรับว่ากองทัพกลับตัดสินใจและดำเนินการนโยบายดังกล่าวผ่านมุมมองด้านความมั่นคงเป็นหลัก ทั้งที่ในความเป็นจริงการปิดด่านในพื้นที่ชายแดนกลับส่งผลกระทบทั้งมิติทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย
ดังนั้นเมื่อรัฐบาลไทยมอบอำนาจการตัดสินใจให้กับกองทัพ ทำให้นโยบายการปิดด่านในพื้นที่ชายแดนเกิดขึ้นด้วยบริบททางความมั่นคงจนลืมพิจารณาบริบทอื่นไป เขาจึงย้ำว่ารัฐบาลต้องเป็นผู้นำสำหรับการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ มากกว่ากองทัพ
“ประเทศไทยส่งออกสินค้าไปยังประเทศกัมพูชาหลายหมื่นล้านต่อปี แต่ในวันที่ประเทศไทยตัดสินใจปิดด่านทำให้ประเทศไทยไม่สามารถส่งออกสินค้าไปได้ ประเด็นดังกล่าวกองทัพไม่มีหน้าที่ในการคำนึงถึงผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจหรอก แต่กองทัพพิจารณาเพียงผลกระทบด้านความมั่นคงเท่านั้น ดังนั้นบทบาทในการพิจารณาและตัดสินใจควรเป็นหน้าที่ของ ‘สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ’ (สมช.) เสียมากกว่าในการพิจารณาข้อดีและข้อเสีย ตลอดจนช่วงเวลาในการบังคับใช้มาตรการต่างๆ” อนาลโยกล่าว

ทั้งนี้ อนาลโยตั้งคำถามต่อรัฐบาลไทยถึงเป้าหมายของการดำเนินนโยบายการปิดด่านในครั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาเมื่อสอบถามไปยังฝ่ายทหารและฝ่ายการเมืองถึงเป้าหมายของการดำเนินนโยบายดังกล่าวกลับไม่ได้รับคำตอบที่ตรงกัน กล่าวคือการดำเนินนโยบายที่ดีต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น รัฐบาลกัมพูชาต้องถอนกำลังทหารตลอดแนว หรือการไม่นำปัญหาข้อพิพาทในพื้นที่ชายแดนขึ้นสู่ศาลโลก เป็นต้น
นอกจากนี้ เป้าหมายในการดำเนินนโนบายการปิดด่านต้องไม่เป็นความลับและต้องสื่อสารให้กับสาธารณะเข้าใจร่วมกันอย่างชัดเจน เนื่องจากที่ผ่านมาประชาชนรับทราบเพียงว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายการปิดด่านในพื้นที่ชายแดน แต่ไม่เคยมีการสื่อสารจากรัฐบาลว่าจะดำเนินนโยบายดังกล่าวถึงเมื่อไหร่ จากปัญหาดังกล่าวอาจแปรเปลี่ยนจากมาตรการที่ใช้เพื่อต้องการกดดันประเทศกัมพูชากลายเป็นนโยบายที่สร้างผลกระทบให้กับประชาชนในพื้นที่ชายแดนแทน
“จากพลวัตการปรับตัวของรัฐบาลกัมพูชาและตลาดโลกที่มีความเสรีมากขึ้น ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อให้แต่ละประเทศสามารถหาทางออกจากนโยบายเหล่านี้ได้ง่ายกว่าในอดีต กล่าวคือในอนาคตเขาอาจสามารถจัดเตรียมทรัพยากรจากประเทศอื่นๆ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาจากประเทศไทย ซึ่งจะทำให้คนเสียประโยชน์จากนโยบายการปิดด่านอาจเป็นประเทศไทย
“ดังนั้นการสื่อสารถึงเป้าหมายของการดำเนินนโยบายการปิดด่านต่อสาธารณะจึงเป็นเรื่องจำเป็น แต่ที่ผ่านมาสังคมไทยกลับไม่เคยได้ยินการสื่อสารในประเด็นเหล่านี้จากนายกรัฐมนตรี ผู้นำเหล่าทัพ หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” อนาลโยแสดงความคิดเห็น
ตัดเกรด ‘กองทัพไทย’ ผ่านสายตาของ ‘เนิร์ดความมั่นคง’

ส่วนบทบาทของกองทัพไทยต่อประเด็นข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาในครั้งนี้ ในมุมมองอนาลโยมองว่ามีทั้งเรื่องที่กองทัพทำได้ดีและเรื่องที่กองทัพต้องปรับปรุง
สำหรับประเด็นที่กองทัพทำได้ดีคือการทำงานด้านการทหารในพื้นที่ซึ่งอยู่ในกรอบหน้าที่ของกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นการวางกำลังในพื้นที่ หรือเมื่อมีปัญหาก็ใช้วิธีการเจรจาระหว่างหน่วยทหารก่อนที่จะเกิดการปะทะกัน หรือการประกาศเจตนารมณ์ว่ากองทัพจะปกป้องอธิปไตยไทย ตลอดจนประคับประคองสถานการณ์ในพื้นที่อยู่ตลอดเวลา
ต่อมาประเด็นที่ควรปรับปรุงคือ การดำเนินการบางอย่างที่เกินจากกรอบและหน้าที่ของกองทัพ เช่น การประกาศว่าเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาคือที่ไหน การดำเนินนโยบายปิดด่านในพื้นที่ชายแดน หรือการแสดงความคิดเห็นว่าประเทศไทยจะทำสงครามกับใคร เป็นต้น
“ต้องยอมรับว่าในต่างประเทศเขาจะไม่แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องเหล่านี้ เพราะเป็นเรื่องที่ผู้นำทางการเมืองต้องตัดสินใจ กองทัพทำหน้าที่เป็นเพียงหน่วยงานที่รับนโยบายมาปฎิบัติ กล่าวคือการตัดสินใจว่าประเทศหนึ่งจะทำสงครามหรือไม่ขึ้นอยู่กับฝ่ายการเมือง แต่ถ้าฝ่ายการเมืองตัดสินใจแล้วว่าจะทำสงคราม กองทัพมีหน้าที่ออกแบบว่าเราจะทำสงครามอย่างไร
หลักการดังกล่าวเป็นหลักการที่แบ่งอำนาจและความรับผิดชอบระหว่างรัฐบาลพลเรือนกับกองทัพได้อย่างชัดเจน แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่มีใครดำเนินการเช่นนั้น ส่งผลให้พื้นที่ชายแดนไทยกลายเป็นทหารตัดสินใจหมดเลย” อนาลโยอธิบาย
เขาย้ำว่า ปัญหาที่กองทัพทำหน้าที่เกินกว่าบทบาทที่ควรจะเป็น หรือรัฐบาลพลเรือนไม่มีความสามารถในการควบคุมกองทัพถือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญของประเทศไทยซึ่งต้องเร่งแก้ไข ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่กองทัพมองว่าตนเองเป็นสถาบันที่มีหน้าที่ในการออกมาแก้ไขวิกฤตของประเทศ รวมถึงวิกฤตทางการเมือง กล่าวคือหลายครั้งกองทัพดำเนินการราวกับว่าตนถืออำนาจอาญาสิทธิ์ และอุปโลกน์บทบาทของตนเองให้เป็นผู้แก้ปัญหาการเมือง รวมถึงเป็นผู้ปกป้องและรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
มุมมองดังกล่าวถือเป็นการละเมิดหลักการสำคัญที่ว่า ‘กองทัพต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายการเมือง’ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของระบอบการปกครองในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือระบอบอื่นใดก็ตาม
“เราต้องยอมรับว่าฮุน เซนพูดถูกอย่างหนึ่งคือ รัฐบาลไทยและกองทัพไทยทำงานร่วมกันได้อย่างยากลำบาก ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่รับรู้มาก่อนอยู่แล้ว หากเรายอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ได้และสามารถแก้ไขได้ ก็จะช่วยให้เราสามารถหาทางออกจากปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้ได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น” อนาลโยกล่าวย้ำ
ชาตินิยมไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ผิดที่คลั่งชาติ
ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งระหว่างสองประเทศที่เริ่มทวีความร้อนแรงขึ้นอีกครั้งตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ดังกล่าวได้ปลุก ‘กระแสชาตินิยม’ ให้หวนกลับมาในสังคมไทยอีกครั้ง จึงเป็นประเด็นที่น่าจับตามองว่า กระแสดังกล่าวจะส่งผลต่อการทำงานของรัฐบาลและกองทัพไทย อย่างไร ทั้งในด้านการกำหนดนโยบาย การใช้มาตรการตอบโต้ และการสื่อสารกับประชาชนในช่วงเวลาที่อารมณ์ของสังคมมีความอ่อนไหวต่อเรื่องของดินแดนและอธิปไตย
อนาลโยแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นดังกล่าวว่า ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งเช่นนี้ กระแสชาตินิยมอาจกลายเป็นผลบวกต่อรัฐบาลและกองทัพไทยและเป็นสภาวะที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ โดยเขาอธิบายว่า หากสถานการณ์ความขัดแย้งบานปลายไปจนถึงขั้นสงครามจริง การปลุกอารมณ์ของสังคมที่ทำได้ง่ายที่สุดคือการสร้างบรรยากาศแบบชาตินิยม ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เนื่องจากรัฐบาลในหลายประเทศทั่วโลกก็มักใช้กระแสชาตินิยมเช่นนี้ในการระดมพลังผู้คน เพื่อให้การทำสงครามไม่ได้กลายเป็นภารกิจที่ยากเกินจะรับมือ เพราะได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนภายในประเทศ
เมื่อสำรวจกลับมายังอารมณ์ของสังคมไทยในปัจจุบัน เขาพบว่าหลายคนเริ่มมองว่าคนไทยเริ่มยอมรับการทำสงครามมากขึ้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ววิธีการแก้ไขปัญหาพื้นที่พิพาทที่ดีที่สุดคือการเจรจามากกว่าการใช้จรวดยิงใส่กัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระแสชาตินิยมที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
“ผมเคยตั้งคำถามกับหลายคนว่า ถ้าสมมติเราส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 ไปทิ้งระเบิด แล้วเครื่องบินลำนั้นถูกยิงตก พวกคุณจะรับได้หรือไม่? คำตอบที่ผมได้รับคือ พวกเขา ‘รับได้’ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น พวกเขาจะส่ง F-16 ไปอีกสามลำ เพื่อทิ้งระเบิดให้ล่มสลายยิ่งขึ้น” อนาลโยเล่า
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ เขามองว่าคนไทยควรมีสติในการติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างประเทศ และไม่ควรปล่อยให้ผู้นำทางการเมืองของประเทศอื่นเข้ามา ‘ปั่นหัว’ จนทำให้สังคมไทยเกิดความตึงเครียดหรือร้อนระอุเกินความจำเป็น
หากสังคมไทยถูกครอบงำด้วยอารมณ์มากเกินไป อาจทำให้การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทถูกบิดเบือนโดยปัจจัยทางอารมณ์ เช่น ในกรณีที่รัฐบาลไทยต้องการใช้แนวทางเจรจาเพื่อคลี่คลายปัญหา แต่อาจต้องเผชิญแรงกดดันจากสังคมที่ไม่พอใจและเรียกร้องให้รัฐบาลตอบโต้ด้วยมาตรการที่รุนแรงกว่าเดิม ซึ่งอาจทำให้แนวทางการแก้ปัญหาให้สงบกลายเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น
เขามองว่า ‘เวลา’ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเยียวยาและประคับประคองสถานการณ์ไม่ให้ร้อนแรงจนเกินไป พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้สังคมไทยมีสติและสามารถถกเถียงร่วมกันอย่างมีเหตุผลมากขึ้น ซึ่งจะเอื้อให้การแก้ไขปัญหาดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
“สังคมไทยควรตั้งสติ และพยายามหาจุดสมดุลระหว่าง ‘ความรักชาติ’ กับ ‘ชาตินิยม’ ซึ่งผมยืนยันว่า ชาตินิยมไม่ใช่เรื่องผิด แต่เมื่อมันมากเกินไป ก็จะกลายเป็น ‘ความคลั่งชาติ’ ซึ่งอันนี้ผิดแน่นอน ดังนั้นหากเราสามารถหาจุดสมดุลให้กับประเด็นเหล่านี้ได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง” อนาลโยกล่าวทิ้งท้าย
