ในช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนกุมภาพันธ์ ผู้เขียนมีเหตุให้ต้องไปบรรยายให้กับรายวิชา ‘โลกาภิวัตน์และสภาวะข้ามชาติ (Globalization and Transnationality)’ ของคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในหัวข้อ ‘เสรีนิยมใหม่และมิติทางเศรษฐกิจ (Neoliberalism and Economic Aspects)’ แต่เนื่องจากรายวิชาขึ้นด้วยคำว่า AN อันเป็นตัวย่อของสาขามานุษยวิทยา ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องอ่านงานศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจของนโยบายเสรีนิยมใหม่ที่ผนวกแนวทางการศึกษาแบบมานุษยวิทยาด้วย ด้วยโอกาสอันเหมาะเจาะ ผู้เขียนจึงได้เริ่มอ่านงานสองชิ้นอย่างสังเขปคือ The Everyday Political Economy of Southeast Asia ที่มี Juanita Elias และ Lena Rethel ทำหน้าที่บรรณาธิการ โดยทั้งสองท่านสังกัดอยู่ในภาควิชาเศรษฐศาสตร์การเมืองของมหาวิทยาลัยวอร์ริก (the University of Warwick) และ Neoliberalism from Below: Popular Pragmatics and Baroque Economies ของ Veronica Gago ศาสตราจารย์คณะสังคมศาสตร์แห่งมหาวิยาลัยบูเอโนสไอเรส (Universidad de Buenos Aires)
ถึงแม้หนังสือสองเล่มมีจุดยืนทางทฤษฎีที่ต่างกันและใช้พื้นที่กรณีศึกษาที่ต่างกัน โดยงานของ Elias และ Rethel ศึกษาปฏิบัติการนโยบายเสรีนิยมใหม่ในระดับชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้น ณ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่หนังสือของ Gago ใช้ตลาด La Salada ซึ่งเป็นตลาดขายสินค้าผิดกฎหมายขนาดใหญ่ในบูเอโนสไอเรสเป็นกรณีศึกษา แต่งานทั้งสองชิ้นล้วนเสนอข้อถกเถียงที่คืนความเป็นผู้กระทำการ (agency) ให้แก่สามัญชนที่เผชิญและผยุงตัวตนและสภาพทางเศรษฐกิจของพวกเขา/เธอภายใต้โลกที่ก่อรูปจากนโยบายแบบเสรีนิยมใหม่ เช่น การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ (liberalisation) การลดกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่มีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (deregulation) และการถ่ายโอนอำนาจและกิจการของรัฐให้แก่เอกชน (privatization)
โดยทั่วไปแล้ว งานศึกษาเสรีนิยมใหม่จากนักวิชาการที่สังกัดอยู่ ‘ปีกซ้าย'[1] ที่ใช้แนวทางแบบ ‘เศรษฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศเชิงระเบียบ (Regulatory International Political Economy – RIPE)’ มักทำการศึกษาเสรีนิยมใหม่ในแง่ของบทบาทของชนชั้นนำที่มีลักษณะข้ามชาติ โดยเฉพาะบรรษัทข้ามชาติ องค์การโลกบาลทางเศรษฐกิจ และหน่วยงานรัฐของประเทศมหาอำนาจ ในการก่อรูปและแพร่ขยายอิทธิพลของเสรีนิยมใหม่ ตัวอย่างงานศึกษาในกลุ่มนี้เช่น A Brief History of Neoliberalism ของ David Harvey (2005) หรือบทบาทของชนชั้นนำในประเทศกำลังพัฒนา ทั้งกลุ่มทุนเอกชนและผู้ครอบครองอำนาจรัฐ ในการรับมือและปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ให้ตอบสนองผลประโยชน์ของตนเอง ตัวอย่างของงานประเภทนี้เช่น หนังสือรวมบทความชื่อ East Asia and the Trials of Neo-Liberalism ที่มี Kevin Hewison และ Richard Robison เป็นบรรณาธิการ โดยเล่มนี้เน้นถึงการปรับตัวของชนชั้นนำในเอเชียตะวันออกที่ต้องปรับแนวทางเศรษฐกิจให้เดินตามอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่ในช่วงหลังวิกฤติการณ์การเงินเอเชียใน ค.ศ. 1997
หากไม่ทำการศึกษาชนชั้นนำ งานศึกษาจากนักวิชาการปีกซ้ายในหลายวาระวาดภาพให้สามัญชนที่ดิ้นรนในสังคมกลายเป็นเหยื่อที่ถูกแนวคิดเสรีนิยมใหม่ลดทอนให้กลายเป็นสินค้าแรงงานราคาถูกเท่านั้น เช่น งานที่ศึกษาสภาพชีวิตของแรงงานเปราะบางในระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ ในอีกนัยหนึ่ง งานศึกษาเรื่องเสรีนิยมใหม่ให้ภาพสามัญชนในฐานะกลุ่มทางสังคมที่รอเผชิญหน้ากับวิบากกรรมจากชนชั้นนำผู้ออกแบบและผลักดันนโยบายทางเศรษฐกิจที่เน้นบทบาทของกลไกตลาด โดยมักบรรยายไปในทิศทางของการสร้างเงื่อนไขให้ชีวิตทางเศรษฐกิจของสามัญชนมีความผันผวนและเปราะบางรุนแรงขึ้น ผ่านการกำหนดและใช้นโยบายเสรีนิยมใหม่จากเบื้องบน
ในทางตรงกันข้าม งานศึกษาของ Elias และ Rethel ในประเด็น ‘เศรษฐศาสตร์การเมืองในชีวิตประจำวัน (Everyday Political Economy – EPE)’ และ ‘เสรีนิยมใหม่จากเบื้องล่าง (Neoliberalism from Below)’ ได้ฉายภาพสามัญชน ทั้งผ่านมโนทัศน์ของ ‘ตัวแสดงประจำวันที่มีสถานะเป็นผู้กระทำการ’ หรือ ในงานของ Gago ได้ทำให้เห็น ‘ความเป็นองค์ประธานที่มีลักษณะมหาชน (popular subjectivities)’ โดยมองสามัญชนในฐานะกลุ่มที่มีความสามารถทั้งต่อต้านและแสวงหาประโยชน์จากนโยบายแบบเสรีนิยมใหม่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มสามัญชนจึงนำไปสู่การก่อตัวของระบบเสรีนิยมใหม่ในรูปแบบที่มีหน้าตาและคุณลักษณะต่างไปจากภาพอุดมคติของชนชั้นนำที่เป็นผู้ส่งนโยบายเสรีนิยมใหม่ลงมายังเบื้องล่าง
สามัญชนจึงไม่ได้เป็นเพียงเหยื่อของการพัฒนาตามแนวทางอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่ที่ทิ้งพวกเขา/เธอไว้ข้างหลังหรือเผชิญกับการแย่งชิงทรัพยากรเพื่อสะสมความมั่งคั่งของกลุ่มชนชั้นนำ แต่สามัญชนมีความสามารถเชิงยุทธศาสตร์ในการประสาน ‘การเมืองประจำวัน’ ซึ่งครอบคลุมท่าทีหลายอย่าง ทั้งยอมรับ แข็งขืน และต่อต้าน การเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจจากนโยบายเสรีนิยมใหม่ และมี ‘ชีวิตประจำวัน’ ซึ่งเป็นกิจวัตรที่เปลี่ยนแปลงและปรับเปลี่ยนตามระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่
ในอีกนัยหนึ่ง สามัญชนเหล่านี้ได้ทำการปรับตัวเองให้กับระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับบ่อนเซาะกรอบมาตรฐานที่วางอยู่บนอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่ ผ่านการผนวกเอาชุดการปฏิบัติและความรู้แบบอื่นๆ เข้ามาในระบบเศรษฐกิจ ดังในกรณีของกลุ่มประเทศในทวีปอเมริกาใต้ที่พบเจอกับการเกิดขึ้นของนโยบายทางเศรษฐกิจที่ผสมผสานอุดมการณ์แบบเสรีนิยมใหม่ ซึ่งมุ่งเน้นกลไกตลาดให้เข้ากับแนวคิดการพัฒนานิยมแนวใหม่ (neo-developmentalism) โดยรัฐมีบทบาทแทรกแซงระบบเศรษฐกิจโดยตรงมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดสรรสวัสดิการและบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานให้แก่พลเมือง การผสมผสานดังกล่าวเป็นผลจากการเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง เช่น การเลือกตั้งและการเดินขบวนประท้วงแของกลุ่มสามัญชนที่ถูกริดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานของชีวิตจากนโยบายแบบเสรีนิยมใหม่ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ปิดกั้นการเข้าถึงบริการสาธารณะบางประการ เช่น การสร้างน้ำประปาสะอาดจากประชาชน เนื่องจากการแปรรูปฯ ทำให้บริการเหล่านี้มีราคาที่สูงขึ้นถึงระดับที่สามัญชนไม่สามารถเข้าถึงได้
ยิ่งกว่านั้น การเคลื่อนสมมติฐานการมองสามัญชนในฐานะกลุ่มทางสังคมที่ถูกกระทำจากนโยบายแบบเสรีนิยมใหม่ไปสู่ผู้กระทำการ เผยให้เห็นถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ‘เสรีนิยมใหม่จากเบื้องบน’ ที่สะท้อนถึงอุดมคติและผลประโยชน์ของกลุ่มชั้นนำ ทั้งเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่และผู้จัดการกลไกรัฐ และ ‘เสรีนิยมใหม่จากเบื้องล่าง’ ที่สะท้อนถึงยุทธวิธีและการดิ้นรนของสามัญชน
ปฏิสัมพันธ์ของเสรีนิยมใหม่ทั้งสองทิศทางนี้นำไปสู่การสร้างความเป็นจริงของระบบเศรษฐกิจที่ต่างกันออกไปแต่ละพื้นที่ เช่น กรณีในการจัดการกลุ่มทรัพยากรมนุษย์ที่มีพรสวรรค์เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนบนฐานของความรู้ที่ไม่ประสบความความสำเร็จนักในประเทศมาเลเซีย โดยการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยกลุ่มพรสวรรค์สะท้อนอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่ที่ต้องการผลักให้ประเทศในฐานะหน่วยการผลิตเพื่อขีดความสามารถในการแข่งขัน ผ่านการแปลงมนุษย์เป็นทุน และในขณะเดียวกัน รัฐบาลมาเลเซียต้องการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในสังคมที่มีลักษณะพหุวัฒนธรรมผ่านการให้สิทธิพิเศษแก่กลุ่ม ‘บุตรของแผ่นดิน (Bumiputera – Children of the land)’ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีเชื้อสายมลายู ส่งผลให้กลุ่มคนเชื้อสายจีนและอินเดียในมาเลเซียไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการและโอกาสทางเศรษฐกิจที่ผูกกับทรัพยากรของรัฐ นโยบายเสรีนิยมใหม่แบบมาเลเซียในด้านของการจัดการแรงงานจึงมีด้านของการแปลงทรัพยากรมนุษย์เป็นทุนไปพร้อมกับการเลือกปฏิบัติทางชาติพันธุ์
แต่นโยบายเสรีนิยมเบื้องบนจากมาเลเซียได้รับการท้าทายจากสภาวะความเป็นจริงแบบเสรีนิยมใหม่จากเบื้องล่าง โดยเฉพาะจากกลุ่มคนที่ไม่ใช่เชื้อสายมลายูที่จำเป็นต้องแสวงหาทางเลือกชีวิตในรูปแบบของการศึกษาที่ดำเนินโดยภาคเอกชนและการหางานในต่างประเทศ ทางเลือกในชีวิตดังกล่าวไม่สามารถปรากฏขึ้นได้ หากรัฐบาลมาเลเซียไม่อนุญาตให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสรรบริการทางการศึกษาไปพร้อมกับการเปิดเสรีให้มีการเคลื่อนย้ายทรัพยากรทางเศรษฐกิจข้ามพรมแดนของรัฐชาติได้
สภาวะการปะทะกันของเสรีนิยมใหม่จากเบื้องบนที่เจือปนอุดมการณ์มลายูนิยมและเสรีนิยมใหม่จากเบื้องล่างก่อรูปจากการกระทำของกลุ่มคนเชื้อชาติที่ไม่ถูกนับเป็นบุตรของแผ่นดินส่งผลให้ความพยายามในการเขยิบฐานทางเศรษฐกิจของรัฐบาลมาเลเซียไม่ประสบความสำเร็จนัก เพราะรัฐบาลไม่สามารถใช้มาตรการดึงกลุ่มแรงงานพรสวรรค์กลับประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ แรงงานกลุ่มนี้ไม่มั่นใจในอนาคตทางสังคมและเศรษฐกิจของลูกหลานตนเองที่ต้องเผชิญกับการจัดสรรสวัสดิการและการเข้าถึงบริการสาธารณะที่ใช้สังกัดชาติพันธุ์เป็นเกณฑ์
นอกจากการผสมผสานชุดปฏิบัติการทางเศรษฐกิจที่ต่างกัน การศึกษาระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่จากสามัญชนที่อยู่เบื้องล่างหรือกิจกรรมการเศรษฐกิจในชีวิตประจำวันยังแสดงความพร่าเลือนของเส้นแบ่งระหว่างปริมณฑลทางเศรษฐกิจและปริมณฑลทางสังคมกับการเมือง โดยความพร่าเลือนนี้ดำรงอยู่ทั้งในการจัดสรรทรัพยากรในพื้นที่เฉพาะเจาะจงและการข้ามแดนทรัพยากรข้ามพรมแดน ดังปรากฏในกรณีของตลาด La Salada ที่ได้ชื่อว่าเป็นตลาดขายของผิดกฎหมาย เช่น สินค้าเลียนแบบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ โดยตลาดแห่งนี้เป็นแหล่งรวมกลุ่มผู้คนอพยพจากประเทศในอเมริกาใต้ที่เข้ามาแสดงบทบาททั้งในฐานะผู้ผลิตสินค้าป้อนตลาด ผู้ขายสินค้า และผู้ให้บริการตัวกลางทางการเงิน โดยผู้อพยพเหล่านี้แสวงหากำไรจากนโยบายการเปิดเสรีในการเคลื่อนย้ายสินค้า ความเข้าใจเกี่ยวกับการไหลเวียนของสินค้า ผู้คนที่มีแหล่งกำเนิด และจุดหมายที่มักตั้งอยู่ในพื้นที่ของรัฐชาติที่ต่างกัน
การดำรงอยู่ของตลาด La Salada ไม่ได้เกี่ยวข้องแค่กับพื้นที่เศรษฐกิจอื่น เช่น ตลาดในสถานที่อื่น หรือโรงงานผลิตสินค้าเลียนแบบเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงเข้ากับที่อยู่อาศัยของสามัญชนที่ทำหน้าที่ผลิตซ้ำทางสังคม เช่น การสร้างและรักษาสภาพของกำลังแรงงาน และการปกป้องสวัสดิการของสามัญชนด้วยทรัพยากรของชุมชน ในสภาวะที่พวกเขา/เธอไม่สามารถเข้าถึงบริการจากกลไกตลาดและไม่ได้รับการคุ้มครองทางสังคมจากรัฐบาล เนื่องด้วยผู้คนเหล่านี้ล้วนทำงานในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งไม่ได้อยู่ในการกำกับของรัฐอย่างเต็มรูปแบบ
โดยสรุปแล้ว ตลาด La Salada แห่งนี้ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยนโยบายเสรีนิยมใหม่หรือกิจกรรมในปริมณฑลทางเศรษฐกิจเพียงถ่ายเดียว แต่ยังต้องพึ่งพาความรู้ทางเศรษฐกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับแนวคิดเสรีนิยมใหม่ เช่น พฤติกรรมการเคลื่อนย้ายทรัพยากรของสามัญชนแต่ละกลุ่ม และการดำรงอยู่ของพื้นที่ทางสังคมที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของกลไกตลาด โดยเฉพาะครัวเรือนและชุมชน กรณีของการศึกษาของตลาดแห่งนี้ผ่านแนวทางการศึกษาสภาวะเสรีนิยมใหม่ในชีวิตประจำวันของสามัญชนที่อยู่เบื้องล่างสร้างความตระหนักว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในโลก ไม่เว้นแต่ภายในระบบที่อ้างว่าขับเคลื่อนโดยอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่ ไม่สามารถดำเนินไปด้วยกลไกตลาดที่อ้างอิงกับหลักอุปสงค์และอุปทานในปริมณฑลทางเศรษฐกิจได้เพียงประการเดียว แต่ระบบเศรษฐกิจล้วนต้องการโอบอุ้มจากปริมณฑลทางการเมืองและสังคมเสมอ อย่างน้อยที่สุดในเรื่องของการสร้างและรักษากำลังแรงงานที่ได้รับความดูแลจากครัวเรือนและชุมชนอย่างปราศจากต้นทุนทางการเงิน
จากกรณีข้างต้น ผู้อ่านคงรับรู้ว่าการศึกษาในแนวทางขั้นต้นจึงต่างกับการศึกษาแบบ RIPE ที่เน้นบทบาทของชนชั้นนำหลากหลายกลุ่มที่ทั้งร่วมมือและขัดแย้งกันในกระบวนการผลักดันนโยบายเสรีนิยมใหม่ โดย RIPE เน้นการใช้องค์ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์การเมืองเชิงมาร์กซิสต์เป็นหลัก ในขณะที่งานศึกษาในทำนอง EPE ผนวกเอาการศึกษามานุษยวิทยาเชิงสังคมและภูมิศาสตร์มนุษย์เข้ามาเพื่อฉายภาพของการต่อรองและต่อต้านของกลุ่มสามัญชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ไร้อำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองที่มีต่อการดำรงอยู่ของนโยบายแนวเสรีนิยมใหม่ เพราะสาขาวิชาทั้งสองช่วยเติมเต็มภาพของสามัญชนที่มีความสามารถเป็นผู้กระทำการลงไปในการวิเคราะห์สภาวะทางเศรษฐกิจ
ในท้ายที่สุดทั้งงานของ Elias กับ Rethel และงานของ Gago ชี้ให้เราเห็นว่า ถึงแม้นโยบายเสรีนิยมใหม่ที่อาจแตกต่างกันออกในแต่ละสังคมได้ทำการตีกรอบกิจกรรมและเงื่อนไขทางเศรษฐกิจของมนุษย์ โดยเฉพาะกลุ่มสามัญชนที่ขาดแคลนทั้งอำนาจทางการเมืองและทรัพยากรทางเศรษฐกิจ กลุ่มสามัญชนเหล่านี้ใช้ความสร้างสรรค์และทุนรอนของตนเองในการต่อต้านและปรับเปลี่ยนลักษณะของระบบเศรษฐกิจที่ถูกขับเคลื่อนภายใต้นโยบายเสรีนิยมใหม่ โดยการต่อต้านและปรับเปลี่ยนได้ทำให้เส้นแบ่งระหว่างปริมณฑลทางเศรษฐกิจและปริมณฑลทางการเมืองกับสังคมพร่าเลือนขึ้น อันเป็นสภาวะที่ท้าทายสมมติฐานขั้นพื้นฐานของอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ที่เชื่อมั่นในเงื่อนไขที่มีการแยกขาดกันของปริมณฑลทางเศรษฐกิจและปริมณฑลอื่นอย่างชัดเจน
เอกสารอ่านเพิ่มเติม
Elias, Juanita and Lena Rethel. 2016. eds. The Everyday Political Economy of Southeast Asia. Cambridge: Cambridge University Press.
Gago, Veronica. 2017. Neoliberalism from Below: Popular Pragmatics and Baroque Economies. Trans. By Liz Mason-Deese. Durham, N.C.: Duke University Press.
↑1 | นักวิชาการในฝั่ง ‘ปีกขวา’ มักหลีกเลี่ยงแนวทางเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการจำกัดอำนาจรัฐในการแทรกแซงกิจการทางเศรษฐกิจโดยตรงเพื่อส่งเสริมการทำงานของกลไกตลาดและภาคเอกชนว่า เสรีนิยมใหม่ แต่พวกเขามักเรียกแนวทางเศรษฐกิจข้างต้นว่า ‘เสรีนิยม (Liberalism)’ หรือ ‘ฉันทามติวอชิงตัน (Washington Consensus)’ |
---|