ผลพวงจากเรื่องดิไอคอนทำให้มีรถทัวร์หลายคันมุ่งหน้าไปสู่พระเมธีวชิโรดม หรือที่รู้จักกันว่า พระ ว.วชิรเมธี พระนักคิด-นักเขียนผู้โด่งดัง จากกรณีเกี่ยวพันกับบริษัทดิไอคอน ซึ่งมีพฤติกรรมหลอกลวงลูกข่ายให้มาร่วมลงทุนจนความเสียหายน่าจะขึ้นถึงหลักพันล้านบาท
ดังนั้น เมื่อมีคลิปวีดิโอของพระเมธีวชิโรดมเผยแพร่ออกไปในทำนองสนับสนุนธุรกิจของบริษัท จึงเป็นธรรมดาที่พระเมธีวชิโรดมจะต้องถูกนำไปโยงเข้ากับขบวนการหลอกลวงนี้อย่างช่วยไม่ได้
แต่ปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นกับพระเมธีวชิโรดมนั้นไม่ใช่ปัญหาของปัจเจก เช่นเป็นพระรูปเดียวที่ชอบรับกิจนิมนต์บริษัทห้างร้าน ‘รับนิมนต์จนลืมกลับวัด’ มีพฤติกรรมชอบไปกับคนรวยหรือคนมีชื่อเสียงจนเกินงาม หากพิเคราะห์ดูให้ดีปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมีรากมาจากความเข้าใจในบทบาทของพระสงฆ์ในสังคมไทย ซึ่งไม่เคยถูกนำขึ้นมาถกเถียง
นั่นคือ พระสงฆ์นั้นจะเป็นเนื้อนาบุญแบบไหนดี
ในสังคมไทยนั้น พระสงฆ์ถือว่าคือเนื้อนาบุญอันสำคัญ นอกจากจะปฏิบัติธรรมเพื่อการบรรลุหลุดพ้นของตัวพระเองแล้ว ยังมีหน้าที่ให้ญาติโยมมาทำบุญอีกด้วย ก่อนจะไปทำบุญด้วยการรักษาศีลหรือภาวนา ญาติโยมส่วนใหญ่ก็เริ่มจากทำบุญทำทานเป็นขั้นต้นเสียก่อน ตักบาตร ถวายสังฆทาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่ากันไป ส่วนการรักษาศีลหรือภาวนานั้นเป็นบุญขั้นถัดไป ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะไปถึง พระจึงเป็นสะพานบุญให้ชาวบ้านผู้หวังจะขึ้นสวรรค์
คำถามสำคัญคือ เนื้อนาบุญนั้นจะต้องเปิดรับญาติโยมทุกคนเลยหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากญาติโยมนั้นมีประวัติสีเทาๆ สะพานบุญจะยังเปิดอยู่หรือเปล่า หรือถ้าญาติโยมไม่น่าไว้ใจ สะพานบุญจะปิดทำการ ไม่รับเป็นเนื้อนาบุญชั่วคราว
ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าการเป็นเนื้อนาบุญนั้นเปิดกว้างให้ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันในการทำบุญ ส่วนบุญนั้นจะได้มากหรือน้อยขึ้นกับญาติโยมเองว่าได้ทรัพย์สินมาอย่างไร หรือทำบุญด้วยเจตนาบริสุทธิ์แค่ไหน หากทรัพย์นั้นไม่ใช่ได้มาจากสัมมาชีพ แต่เป็นมิจฉาชีพหรืออบายมุข บุญก็น้อยลงไปเอง
เรื่องเล่าที่คุ้นชินกันคือ ‘ยายแฟง’ เจ้าของซ่องยายแฟงผู้มีชื่อเสียง ประกอบธุรกิจโรงชำเราหญิงจนร่ำรวย ได้สร้างวัดใหม่ยายแฟงหรือวัดคณิกาผลขึ้น ด้วยเงินอันได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของหญิงโสเภณีในกิจการของยายแฟงเอง
ปรากฏว่า เมื่อถามพระว่าได้บุญเท่าไหร่ คำตอบคือได้เพียงสลึงเฟื้องเท่านั้นเอง นิดเดียว ไม่สมกับความตั้งใจที่จะสร้างวัด นั่นก็เพราะผู้ตอบเห็นว่าเงินที่ได้มาใช้สร้างวัดนั้นได้มาจากกิจกรรมไม่บริสุทธิ์ เรื่องเล่ายายแฟงก็จบลงเพียงเท่านี้ คือหว่านพืชลงไปแล้ว แต่ไม่งอกงามในเนื้อนาบุญเพราะความผิดของเจ้าตัวเอง
แต่การตีความเช่นนี้ยังคงใช้ได้ในปัจจุบันหรือไม่ การรับเป็นเนื้อนาบุญโดยไม่เลือกหน้า ในทางหนึ่งก็คือเมตตากรุณาโดยไม่แบ่งแยก เปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิทำบุญ แต่ในอีกแง่หนึ่ง การรับเป็นเนื้อนาบุญไม่เลือกหน้านั้น ผลักความรับผิดชอบทางศีลธรรมจากพระไปสู่ญาติโยม โดยพระไม่ต้องตัดสินใจว่า กิจกรรมที่ญาติโยมทำนั้นผิดหรือไม่อย่างไร แล้วจะมีพระไว้ทำไม ถ้าพระตอบคำถามทางศีลธรรมไม่ได้ ทั้งที่ควรจะเป็นผู้ที่อยู่ในฐานะที่พร้อมและกล้าจะตอบที่สุด
คำถามนี้ไม่ใช่เฉพาะกรณีที่ญาติโยมมาจากธุรกิจการค้าสีเทาหรือสีดำเท่านั้น แต่หากลองคิดให้ไกลออกไป ยังรวมถึงกรณีที่ญาติโยมนั้นเป็นผู้มีอำนาจที่ได้มาโดยไม่สุจริตอีกด้วย เผด็จการทหารไทยนั้นคล้ายนายพลพม่า คือชอบทำบุญ ต่างมีพระอาจารย์ที่ ‘ขึ้น’ อยู่ด้วย ที่ผ่านมาก็มีข่าวไปทำบุญหรือบริจาคเงินให้พระอาจารย์ของตนเป็นระยะ น่าคิดว่าความมั่งคั่งที่ผิดปกติอันเกิดจากอำนาจที่แย่งชิงมานั้นเป็นอำนาจและความมั่งคั่งที่ไม่สุจริต เหตุใดพระสงฆ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจึงรับเป็นเนื้อนาบุญให้หน้าตาเฉยและด้วยความยินดียิ่ง
แทนที่จะเป็นสะพานบุญ เป็นเนื้อนาบุญ ผลคือพระสงฆ์กลายเป็นสะพานภัย กลายเป็นบันไดให้มิจฉาชีพปีนไปหลอกสังคมแทน หรือต่อสะพานให้ผู้มีอำนาจและความมั่งคั่งโดยไม่สุจริตครองอำนาจโดยชอบธรรมมากยิ่งขึ้น ช่วยล้างบาปจากอกุศลกรรมใดๆ ให้บรรเทาเบาบางลง
ปัญหาทำนองนี้จะปล่อยให้พระแต่ละรูปตอบคำถามกันเองคงไม่ได้ ปัญหาในระดับนี้คือปัญหาที่องค์กรผู้ดูแลคณะสงฆ์ไทยควรจะเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด วางบรรทัดฐานไปว่าการรับนิมนต์กิจกรรมต่างๆ นั้น ควรมีหลักเกณฑ์พิจารณาอย่างไร ไม่เช่นนั้น จะมีมหาเถรสมาคมไว้ทำไม
พูดกันมานานแล้วว่า พุทธศาสนาไทยอยู่ในภาวะวิกฤต ส่วนหนึ่งของวิกฤตคือพระสงฆ์นั้นขาดความเห็นอกเห็นใจสังคม ไม่เกิดความรู้สึกร่วมทุกข์ร่วมสุขกับญาติโยม หากไม่เริ่มคิดเรื่องจุดยืนทางศีลธรรมเสียบ้าง โอกาสจะรอดพ้นจากวิกฤตคงไม่มี