เมื่อพูดถึงมีม (meme) หลายคนอาจนึกถึงข้อความ รูปภาพ หรือวิดีโอตลกๆ ที่ส่งต่อกันอย่างแพร่หลายในโลกอินเทอร์เน็ต มีมมักใช้ภาพของบุคคลในสถานการณ์ต่างๆ ฉากจากละครหรือภาพยนตร์ยอดฮิต สัตว์โลกนานาชนิด หรือแม้แต่การ์ตูนแอนิเมชัน เพื่อนำมาล้อเลียน เสียดสี หรือสะท้อนประเด็นทางวัฒนธรรมในสังคมหนึ่ง เช่น ชีวิตวัยทำงาน ความรัก หรือโชคชะตาที่เล่นตลก
ในอดีต ผู้คนอาจคุ้นเคยกับมีมในฐานะการ์ตูนล้อเลียนบนหน้าหนังสือพิมพ์ที่วาดโดยศิลปินประจำคอลัมน์ แต่ในทุกวันนี้ ทุกคนก็สามารถผลิตมีมสักชิ้นขึ้นมาได้ด้วยตัวเองได้ ขอแค่มีแอปพลิเคชันที่มีฟีเจอร์ตัดต่อได้ หรือไม่ก็ Generative AI ที่สร้างมีมขึ้นมาตามคำสั่ง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพานักวาดการ์ตูนมืออาชีพอีกต่อไป ส่งผลให้มีมเป็นสื่อที่ปรากฏตัวอยู่ทุกหนทุกแห่งบนแพลตฟอร์มออนไลน์
ปัจจุบัน มีมจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่สื่อบันเทิงอีกต่อไป หากแต่กลายเป็นเครื่องมือสื่อสารทางการเมืองชั้นยอดที่ใครๆ ก็สร้างขึ้นมาเองได้ ประกอบกับความสามารถในการแพร่กระจายสารออกไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทำให้ในปี 2024 ชาวเน็ตอเมริกันกว่าร้อยละ 58 ระบุว่าพวกเขาเห็นมีมที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองเป็นประจำทุกสัปดาห์[1] ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนจากทุกฟากฝั่งการเมืองจึงเล็งเห็นถึงศักยภาพของมีมและงัดมันขึ้นมาใช้เป็นอาวุธสำหรับการต่อสู้ในสนามการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายขวาที่มีเจ้าของแพลตฟอร์ม X หนุนหลังอยู่
บทความนี้จะพาสำรวจกลยุทธ์ของฝ่ายขวาอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) อีลอน มัสก์ (Elon Musk) และกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ (MAGA) ที่ใช้มีมสร้างข้อเท็จจริงซ้ำๆ บนแพลตฟอร์ม X (ชื่อเดิม Twitter) เพื่อชักจูงให้สาธารณชนคล้อยตามแนวคิดของตน ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายเสรีนิยมเองก็ใช้มีมเป็นเครื่องมือในการสร้างความขบขันเพื่อเซาะกร่อนความชอบธรรมของอำนาจฝ่ายขวา โดยทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะฉายภาพให้เห็นว่า ในยุคที่ผู้คนติดตามข่าวสารผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ มีมได้กลายเป็นอาวุธที่ใช้ช่วงชิงความจริงในสมรภูมิการเมืองสหรัฐฯ
ทำไมมีมฝ่ายขวาจึงเป็นไวรัลในปัจจุบัน?
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนตุลาคม 2022 มัสก์เข้ามาบริหารทวิตเตอร์และสั่งการให้กู้คืนบัญชีผู้ใช้งานทวิตเตอร์มากกว่า 62,000 บัญชีที่เคยถูกระงับการใช้งานไป เพราะเคยทวิตเนื้อหาเหยียดสีผิวเชื้อชาติ ทฤษฎีสมคบคิด หรือสนับสนุนแนวคิดนีโอนาซี โดยมัสก์อ้างว่า เขาเชื่อในเสรีภาพในการแสดงออกและต้องการให้ทุกฝ่ายถกเถียงกันได้อย่างเท่าเทียม[2]
ตั้งแต่นั้นมา มัสก์ออกมาสนับสนุนความเห็นฝ่ายขวาอย่างเปิดเผย อีกทั้งโพสต์ของฝ่ายขวาก็มียอดการรับชมที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยการศึกษาของ The Washington Post จากตัวอย่างกว่า 150,000 โพสต์ของนักการเมืองทั้ง 2 พรรค พบว่า ในเดือนกันยายน 2024 โพสต์ของนักการเมืองพรรครีพับลิกันมียอดการรับชมเฉลี่ยกว่า 7,900 ครั้ง ขณะที่พรรคเดโมแครตจะได้รับเฉลี่ยเพียง 4,100 ครั้ง และระหว่างกรกฎาคมถึงตุลาคม 2024 โพสต์จากนักการเมืองพรรครีพับลิกันมีมากกว่า 29 โพสต์ที่มียอดการรับชมเกิน 20 ล้านครั้ง ในขณะที่พรรคเดโมแครตมีเพียง 6 โพสต์เท่านั้น[3] จึงนำไปสู่การตั้งข้อสงสัยว่า มัสก์ปรับอัลกอริทึมของ X ให้โพสต์แนวคิดฝ่ายขวาขึ้นเต็มหน้าฟีดมากกว่าของฝ่ายเสรีนิยม
ในปีเดียวกัน ศูนย์วิจัย Pew เปิดผลสำรวจความเห็นของกลุ่มผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน โดยพบว่ากว่าร้อยละ 54 มองว่า X เป็นคุณต่อประชาธิปไตย (ในแบบที่พวกเขาเชื่อ) ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากร้อยละ 17 ในปี 2021[4] โดยความเห็นดังกล่าวสะท้อนถึงความนิยม X ที่มีมากขึ้นในหมู่รีพับลิกัน
เมื่อความเห็นฝ่ายขวาแพร่หลายมากขึ้น บรรดา MAGA ก็เริ่มกล้าแสดงความคิดเห็นในทำนองเหยียดเชื้อชาติและเพศสภาพอย่างเปิดเผย จากที่แต่ก่อนเคยกลัวโดนทัวร์ลงหรือถูกระงับการใช้งานบนแพลตฟอร์ม ปรากฏการณ์นี้สามารถอธิบายผ่านแนวคิดทางจิตวิทยาที่เรียกว่า ‘วงเกลียวแห่งความเงียบ’ (spiral of silence) ซึ่งชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคมมักไม่กล้าแสดงความเห็นเมื่อรู้ว่าตนเองเป็นเสียงส่วนน้อย เนื่องจากกลัวจะถูกมองว่าแปลกแยกจากสังคม ในทางตรงกันข้าม มนุษย์จะกล้าแสดงออกมากขึ้นเมื่อได้รับรู้ว่าความเห็นของตนเป็นไปในทิศทางเดียวกับเสียงส่วนใหญ่[5]
มวลชน MAGA บางส่วนเริ่มกล้าที่จะยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าพวกเขากำลังเหยียดคนอื่น แถมยังมองอีกว่านี่เป็นเรื่องตลก ขณะที่บางส่วนใช้ความตลกเป็นโล่กำบังตัวเองเวลาที่โดนทัวร์ลง เพื่อบอกคนอื่นๆ ในทำนองว่า “ไม่เอาหน่า มันก็เป็นแค่มุกตลกเฉยๆ” ดังเช่นที่มัสก์มักชอบใช้เป็นข้อแก้ตัวอยู่เสมอ ซึ่งทำให้การเหยียดกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แถมยังตลกอีกต่างหาก[6]
สาเหตุสำคัญที่ MAGA ใช้มีมตลกโจมตีฝ่ายเสรีนิยมก็เพราะ MAGA รู้สึกเกรงกลัวว่าวิถีชีวิตและคุณค่าที่พวกเขายึดถือตลอดมากำลังถูกคุกคามโดยพวกเสรีนิยม เช่น การปล่อยผู้อพยพเข้าประเทศจะทำให้แรงงานผิวขาวถูกแย่งงาน หรือการสนับสนุนความหลากหลายทางเพศจะทำให้สถาบันครอบครัวแตกสลาย พวกเขาจึงพยายามทำให้คนเห็นเสรีนิยมเป็นภาพของปีศาจร้ายและตัวตลกเพื่อกระตุ้นอารมณ์ของผู้คน พร้อมกับบอกว่า พวกเขามีเหตุผลดีที่สุดเพื่อปกป้องความอยู่รอดของสังคม
เหล่า MAGA ยังใช้ประโยชน์จาก ‘ความตลก’ ในการโจมตีกลุ่มเสรีนิยมที่ใช้ ‘ความจริงจัง’ และ ‘ความเจ็บปวด’ ขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมต่างๆ อาทิ Black Lives Matter และความเสมอภาคทางเพศ มีมจึงกลายเป็นอาวุธชั้นยอดในการเย้ยหยันฝ่ายเสรีนิยมที่ MAGA มองว่าบ้าคลั่ง เสียสติ ดูเคียดแค้นอยู่ตลอดเวลา และเป็นการส่งสารไปยังฝ่ายเสรีนิยมให้หัดมีอารมณ์ขันในชีวิตบ้าง รวมถึงยังเป็นการลดทอนเรื่องจริงจังของฝ่ายตรงข้ามให้เป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระ
ด้วยเหตุที่กล่าวไปข้างต้น มีมที่แฝงแนวคิดฝ่ายขวาจึงแพร่หลายบนแพลตฟอร์ม X และได้ถูกรีโพสต์หลายครั้งในทุกๆ วัน จนทำให้มีมค่อยๆ กลายเป็นแหล่งที่มาของความจริงสำหรับใครหลายคน
คำลวงที่ถูกพูดซ้ำจะค่อยๆ มีน้ำหนักจนกลายเป็นความจริง
เหตุที่คนเราหลงเชื่ออะไรที่ปรากฏซ้ำบ่อยๆ ก็เพราะว่ามนุษย์มักเลือกใช้ทางลัดเพื่อประเมินสิ่งรอบตัวอย่างรวดเร็ว เราจึงมักอ้างอิงสิ่งต่างๆ จากความคุ้นเคยหรือความถี่ที่เราเคยเห็นหรือได้ยินอะไรมา จนทำให้เกิดความคิดว่า ‘มันก็น่าจะจริง’ ซึ่งปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ‘ความจริงลวงตา’ (illusion of truth)[7] นักการเมืองในอดีตเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี และพยายามใช้ประโยชน์จากมันโดยการทำให้โฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายตนวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ดังเช่นที่โยเซฟ เกิบเบิลส์ (Joseph Goebbels) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโฆษณาการแห่งนาซีเยอรมนีเคยกล่าวโจมตีวินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ว่าพวกอังกฤษกำลังใช้แนวทาง ‘พูดโกหกคำโตบ่อยๆ จนผู้คนหลงเชื่อ’[8]
ยิ่งในปัจจุบัน เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำทำให้คอนเทนต์บนโลกออนไลน์ถูกแชร์ซ้ำหลายรอบในแต่ละวัน อีกทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์ยังปรับแต่ง (personalize) คอนเทนต์ที่ผู้ใช้งานคลิกเข้าไปดูบ่อยๆ ให้ปรากฏมากขึ้นอีก ส่งผลทำให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียได้รับแต่ข้อมูลที่ตัวเองชอบ และกลายเป็นห้องเสียงสะท้อน (echo chamber) ที่คนได้ยินแต่ความคิดแนวเดียว จนทำให้เกิดความจริงลวงตาได้โดยง่าย
มีมเป็นสื่อในโซเชียลมีเดียที่ง่ายต่อการแชร์ซ้ำมากที่สุด นอกจากจะสร้างความขำขันแล้ว มีมยังมีบทบาทในการถ่ายทอดข้อมูลที่เป็นโฆษณาชวนเชื่อ ตัวอย่างเช่น มีมแผนที่สหรัฐฯ ที่แสดงให้เห็นว่าแทบทั้งประเทศโหวตเลือกพรรครีพับลิกัน แต่เหตุใดพรรคเดโมแครตถึงมีที่นั่งในสภาคองเกรสใกล้เคียงกับพรรครีพับลิกัน โดยมีมดังกล่าวถูกแชร์ต่อๆ กันในหมู่กองเชียร์ MAGA จนหลายคนเชื่อเป็นตุเป็นตะว่าพรรคเดโมแครตโกงการเลือกตั้ง
แต่ถ้าหากศึกษามาดีพอก็จะทราบว่า สัดส่วนผู้แทนราษฎรในสภาคองเกรสขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร ไม่ใช่จำนวนพื้นที่ พลเมืองในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ตามมหานคร เช่น นิวยอร์กหรือลอสแอนเจลิส โดยที่นิวยอร์กเพียงแค่เมืองเดียวก็มีจำนวนประชากรมากกว่าประชากรทั้งหมดของหลายรัฐเสียอีก และประชาชนที่พำนักในมหานครเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นฐานเสียงของเดโมแครต ดังนั้น การที่รีพับลิกันชนะในพื้นที่ตอนกลางของประเทศที่มีคนอาศัยอยู่เบาบางจึงไม่ได้ทำให้พรรคได้ครองที่นั่งในสภาแบบท่วมท้นแต่อย่างใด
อีกหนึ่งตัวอย่าง คือ การโจมตีกมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งกระทำโดยฝ่ายรีพับลิกันหลายคน ไม่ว่าจะเป็นตัวทรัมป์เอง มัสก์ รวมถึงคนอื่นๆ ซึ่งพวกเขาไม่เคยมานั่งอธิบายยาวเหยียดว่า คอมมิวนิสต์คืออะไร และเหตุใดนโยบายของแฮร์ริสจึงมีลักษณะเป็นคอมมิวนิสต์ แต่พวกเขาแค่โพสต์รูปที่เอไอสร้างให้แฮร์ริสอยู่คู่กับสัญลักษณ์ค้อนเคียวและสีแดงบ่อยๆ และกล่าวคำว่าคอมมิวนิสต์ซ้ำๆ เพียงเท่านั้น
กลุ่ม MAGA ที่มีอคติแต่เดิม (confirmation bias) อยากจะเชื่ออยู่แล้วว่า แฮร์ริสเป็นคนไม่ดี จึงเชื่อในสิ่งที่ทรัมป์พยายามสื่อ ซึ่งมีมได้ช่วยทำให้สารย่อยง่าย เพราะเพียงแค่มองภาพก็เข้าใจ และทำให้ข้อมูลซึมเข้าสู่ความทรงจำอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นความจริงในหมู่ฝ่ายขวา มีมที่แฝงด้วยไอเดียนี้จึงถูกผลิตซ้ำและถูกแชร์ออกไปนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งถือได้ว่า การใช้มีมในการโฆษณาชวนเชื่อเรื่องคอมมิวนิสต์ประสบความสำเร็จไม่น้อยเลยทีเดียว
การสร้างมีมและเปลี่ยนตัวเองเป็นคนอื่นของทรัมป์ ไม่ได้เป็นแค่เรื่องตลก!
หลายคนน่าจะเคยเห็นมีมที่ทรัมป์ใช้เอไอสร้างภาพตัวเองเป็นพระสันตะปาปา เป็นกษัตริย์ที่สวมมงกุฎ หรือเป็นชายร่างกำยำถือดาบไลท์เซเบอร์สีแดงเหมือนในภาพยนตร์ Star Wars ซึ่งบางคนอาจจะคิดว่า นี่เป็นมีมที่ทำขึ้นมาเรียกเสียงหัวเราะเพียงเท่านั้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง มีมเหล่านี้กำลังสร้างภาพจำให้คนมองทรัมป์เป็นคนแข็งแกร่ง ทรงอำนาจ และศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับบุคคลนั้นๆ ซึ่งมีมทำหน้าที่ถ่ายทอดไอเดียที่ทรัมป์จินตนาการอยู่ในหัวให้กลายเป็นภาพในโลกแห่งความเป็นจริงที่ทุกคนเห็น
การสร้างภาพตัวเองเป็นบุคคลอื่นไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ที่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จิตรกรวาดพระบรมสาทิสลักษณ์ทรงเครื่องกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช และอะพอลโล สุริยะเทพในเทพปกรณัมกรีก เพื่อนำมาใช้สนับสนุนโครงเรื่อง (narrative) ว่า พระองค์ทรงเป็นสุริยะกษัตริย์ (the sun king) และมหาราชผู้พิชิต

พระบรมสาทิสลักษณ์พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงเครื่องกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช
เวลาที่คนเห็นภาพแขวนอยู่บนผนังพระราชวังแวร์ซายทุกวันๆ นานวันเข้า ความคุ้นเคยสามารถกลายเป็นแหล่งที่มาของความจริง ขุนนางที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ดุจดั่งเทพเจ้า ขณะที่ปัจจุบัน ทำเนียบขาวประดับรูปของทรัมป์เต็มฝาผนัง รวมไปถึงด้านหน้าของอาคารหน่วยงานภาครัฐ สร้างภาพให้ทรัมป์เป็นตัวแทนของความเด็ดเดี่ยว ความรักชาติ และความเป็นอเมริกัน ซึ่งทรัมป์ก็มักจะฉายภาพหรือใช้เอไอสร้างภาพตัวเองคู่กับธงชาติอเมริกาอยู่เสมอ[9] เพื่อให้ผู้คนซึมซับไอเดียนี้ในทุกๆ วัน จนเกิดเป็นสำนึกความจริงว่า ตัวตนของทรัมป์กับชาติอเมริกาเป็นสิ่งเดียวกัน
การโต้กลับของฝ่ายเสรีนิยม
มีมไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือสำหรับการสร้างโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น แต่เป็นอาวุธของผู้ที่มีอำนาจน้อยกว่า (weapon of the weak) ในการท้าทายผู้มีอำนาจ
ที่ผ่านมา ทรัมป์และพรรคพวกพยายามสร้างภาพความยิ่งใหญ่ ความเป็นชาย (masculinity) และความฉลาดหลักแหลมของผู้นำเพื่อให้คนเชื่อมั่นว่า ผู้นำมีคุณสมบัติเพียบพร้อมในการบริหารประเทศชาติ หรือทำให้คนรู้สึกเกรงกลัวจนยอมเคารพและเชื่อฟังผู้มีอำนาจ ฝ่ายเสรีนิยมจึงเลือกใช้มีมเป็นอาวุธในการทำลายความน่าเชื่อถือด้วยความตลก เพื่อส่งสารว่า คุณสมบัติที่กล่าวอ้างมานี้เป็นแค่เรื่องไร้สาระ อำนาจของฝ่ายขวาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่แสดงออก และไม่มีเหตุผลที่ประชาชนต้องก้มหัวให้กับคนเหล่านี้
อย่างเช่นกรณีของเจดี แวนซ์ (JD Vance) รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ตำหนิโวโลดีมีร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelenskyy) ประธานาธิบดียูเครน ว่า ‘ได้พูดขอบคุณแล้วหรือยัง’ ในระหว่างการหารือที่ทำเนียบขาว เพื่อแสดงให้กลุ่มผู้สนับสนุนเห็นว่า เขาเป็นคนแข็งกร้าวและพร้อมปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่กระนั้น ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกลับมองว่าแวนซ์พูดจาไร้วุฒิภาวะ พร้อมกับทำมีมล้อเลียนแวนซ์เหมือนกับเด็กที่ร้องแต่จะเอาคำขอบคุณหรือเหมือนคนที่ดูบกพร่องทางสติปัญญา
อีกหนึ่งกรณีที่น่าสนใจ คือ การที่ผู้สนับสนุนมักออกมาชื่นชมทรัมป์ว่า เขาเป็นคนฉลาดและมีสัญชาตญาณเฉียบคม ฝ่ายต่อต้านทรัมป์จึงทำมีมเพื่อแสดงให้เห็นว่า ทรัมป์มักตัดสินใจอะไรที่ไม่ฉลาด และมักจะนำไปสู่วิกฤตต่างๆ เกิดขึ้นตามมา เช่น การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าที่ทำให้ราคาข้าวของเครื่องใช้ปรับตัวสูงขึ้น พอหลังจากที่เกิดเหตุร้ายขึ้น ทรัมป์จะหว่านล้อมให้ผู้สนับสนุนเชื่อว่า ปัญหาเหล่านั้นได้คลี่คลายลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ จากนั้น ทรัมป์จะไปถอนคำสั่งไม่เข้าท่าที่เขาเป็นคนอนุมัติเอง เช่น การประกาศเลื่อนเก็บภาษีนำเข้า ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นวงจร
นอกจากการใช้มีมเป็นอาวุธต่อสู้กับผู้มีอำนาจแล้ว ฝ่ายเสรีนิยมยังใช้มีมในการโต้กลับกลุ่ม MAGA โดยมักจะเป็นการพุ่งเป้าโจมตีไปที่ระดับสติปัญญาของบรรดา MAGA ว่าโง่เขลาเบาปัญญา ไกลปืนเที่ยง อยู่อาศัยในรัฐที่มีปัญหารอบด้าน[10] ต่อให้ทรัมป์ชี้ไม้เป็นนกก็พร้อมจะเชื่อ[11] และถ้าคิดอะไรไม่ออกก็จะโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดของรัฐบาลชุดที่แล้ว[12]
อย่างไรก็ตาม การโจมตีเช่นนี้ทำให้เกิดความรู้สึกว่าถูกดูหมิ่นเหยียดหยามในหมู่ MAGA ซึ่งนำไปสู่การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย โดยเฉพาะการแบ่งแยกระหว่างเมืองกับชนบท ซึ่งคนชนบทมักจะเป็นกลุ่มที่สนับสนุนฝ่ายขวาและไม่ต้องการให้คนในเมืองที่มักจะมีแนวคิดเสรีนิยม มาสั่งสอนว่าต้องดำเนินชีวิตอย่างไร[13]
ยิ่งไปกว่านั้น การโต้ตอบกันผ่านมีมบนโลกออนไลน์ยังทำให้คนมีแนวโน้มใช้ถ้อยคำที่รุนแรงด่าทอใส่กันมากขึ้น เพราะพวกเขาคิดว่าตนเองสามารถปกปิดตัวตนได้ ต่อให้ใช้ภาพหรือถ้อยคำที่รุนแรงก็จะไม่มีผลกระทบตามมา แถมชาวเน็ตยังไม่เห็นอารมณ์ความรู้สึกของคู่สนทนาในระหว่างการแลกเปลี่ยน เพราะคนบนโลกออนไลน์เห็นคนอื่นเป็นแค่รูปไอคอนรูปหนึ่งเท่านั้น ซึ่งบางครั้งก็ไม่ใช่รูปใบหน้าของพวกเขาด้วยซ้ำ และถ้าเป็นการพูดคุยแบบตัวต่อตัวอาจทำให้เกิดเกรงใจหรือเห็นอกเห็นใจกันอยู่บ้าง ดังนั้น การด่าใครสักคนบนโลกออนไลน์จึงทำให้รู้สึกผิดน้อยกว่าการพูดต่อหน้าคนๆ นั้น ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ‘การขาดความยับยั้งชั่งใจบนโลกออนไลน์’ (online disinhibition effect)[14] ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้วิวาทะบนโลกออนไลน์สร้างความแตกแยกในสังคมอเมริกันร้าวลึกมากขึ้นทุกวันๆ
[1] Prateekshit Pamdey and Daniel Lane, “Partisan memes and how they were perceived in the 2024 U.S. presidential election,” Election Analysis, accessed by May 22, 2025, https://www.electionanalysis.ws/us/president2024/section-7-popular-culture/partisan-memes-and-how-they-were-perceived-in-the-2024-us-presidential-election/.
[2] David Ingram, “How Elon Musk turned X into a pro-Trump echo chamber,” NBC NEWS, October 31, 2024, https://www.nbcnews.com/tech/social-media/elon-musk-turned-x-trump-echo-chamber-rcna174321.
[3] Drew Harwell and Jeramy B. Merrill, “On Elon Musk’s X, Republicans go viral as Democrats disappear, The Washington Post, October 29, 2024, https://www.washingtonpost.com/technology/2024/10/29/elon-musk-x-republican-democrat-twitter-election/.
[4] Colleen McClain, Monica Anderson and Risa Gelles-Watnick, “How American Navigate Politics on TikTok, X, Facebook and Instagram,” Pew Research, June 12, 2024, https://www.pewresearch.org/internet/2024/06/12/how-americans-navigate-politics-on-tiktok-x-facebook-and-instagram/.
[5] Thomas Peterson, “spiral of silence,” Britannica, accessed by May 26, 2025, https://www.britannica.com/topic/spiral-of-silence.
[6] Mirco Göpfert and Konstanze N’Guessan, “How the far right uses humor and meme culture to its advantage,” Development and Cooperation, April 29, 2025, https://www.dandc.eu/en/article/when-hatred-wrapped-satire-xenophobia-irony-and-fascism-jokes-it-leaves-mainstream-society.
[7] Tom Stafford, “How liars create the ‘illusion of truth’,” BBC, October 27, 2016, https://www.bbc.com/future/article/20161026-how-liars-create-the-illusion-of-truth.
[8] Joseph Goebbels, “Churchill’s Lie Factory,” Calvin University, assessed by May 26, 2025, https://research.calvin.edu/german-propaganda-archive/goeb29.htm.
[9] The White House, “PRESIDENT TRUMP LOVES THE AMERICAN FLAG!,” X, April 23, 2025, https://x.com/whitehouse/status/1915079106833633334?s=61&t=KlsO_GyhTetvBtdsCAQjIA.
[10] Anonymous, “THE BIBLE BELT,” X, March 21, 2025, https://x.com/youranonnews/status/1903126546056900919?s=61&t=KlsO_GyhTetvBtdsCAQjIA.
[11] Just Dave Now, “The scary thing is this actually happening,” X, March 9, 2025, https://x.com/justdave89now/status/1898594688254263619?s=61&t=KlsO_GyhTetvBtdsCAQjIA.
[12] DINGO JOHNSON, “They said,” X, March 5, 2025, https://x.com/dingojohns0n/status/1897013169400558072?s=61&t=KlsO_GyhTetvBtdsCAQjIA.
[13] aka, “The left can’t stand facts,” X, May 23, 2025, https://x.com/akafaceus/status/1925750679198408982?s=61&t=KlsO_GyhTetvBtdsCAQjIA.
[14] นำชัย ชีววิวรรธน์, “ทำไมคนปกติกลายเป็นปีศาจบนโลกออนไลน์,” The 101.world, 10 กรกฎาคม 2024, https://www.the101.world/why-good-people-turn-bad-online/.