นับเป็นความกล้าหาญชาญชัยของรัฐบาลมาเลเซียที่ประกาศยุติการหนุนช่วยราคาน้ำมันดีเซลนับแต่วันที่ 1 พฤษภาคมเป็นต้นไป การประกาศนี้ถือเป็นก้าวแรกของแผนยกเลิกการให้เงินสนับสนุนราคาเชื้อเพลิงทั้งหมด (fuel subsidy rationalisation) อันประกอบด้วยน้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซินโดยเฉพาะ RON95 และแก๊ส ซึ่งสร้างกระแสปั่นป่วนระลอกแรกในหมู่ประชาชนทั้งในประเทศและชายแดนประเทศเพื่อนบ้านที่มักข้ามพรมแดนมาเติมน้ำมันราคาถูกเป็นกิจวัตร
มาเลเซียเป็นประเทศประชานิยมทางเศรษฐกิจ (economic populism) แต่ไหนแต่ไรมามาตรการลดแลกแจกแถมสารพัดชนิดที่รัฐบาลจัดสรรให้แก่ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง เป็นเครื่องค้ำจุนความมั่นคงทางการเมืองของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย ในบทความชื่อ Populism as Strategy in Malaysia (ตีพิมพ์ในหนังสือ Three Faces of Populism in Asia ปี 2024) ซึ่งเขียนขึ้นจากการติดตามศึกษานักการเมืองเชื้อสายมลายูนับถือศาสนาอิสลามจำนวนห้ารายที่ใช้วาทกรรมประชานิยมในลักษณะต่างๆ เพื่อระดมเสียงสนับสนุนจากประชาชน Syaza Shukr ผู้เขียนบทความนี้แบ่งประชานิยมในมาเลเซียออกเป็นสองลักษณะที่เธอชี้ว่าเกิดขึ้นเมื่อเวทีทางการเมืองในศตวรรษที่ 21 เปิดกว้างขึ้น นั่นคือประชานิยมทางเศรษฐกิจ และประชานิยมแบบเน้นย้ำถึงอารยธรรมอิสลาม (Islamist civilization populism) ที่สามารถส่งผลทางการเมืองได้ในมาเลเซีย ซึ่งมีประชากรเชื้อสายมลายูนับถือศาสนาอิสลามกว่าร้อยละ 60
Shukr ชี้ว่า เมื่อเวทีการเมืองเปิดกว้างให้แก่ผู้เล่น นักการเมืองจึงหันมาใช้นโยบายประชานิยมทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือในการดึงดูดเสียงสนับสนุนจากประชาชน ประชานิยมทางเศรษฐกิจต้องใจประชาชนคนธรรมดาเพราะมักมาพร้อมกับวาทกรรมสนับสนุนประชาชนตัวเล็กตัวน้อย เพิ่มเติมด้วยวาทกรรมวิพากษ์วิจารณ์ความไม่ยุติธรรมที่เกิดจากชนชั้นนำ บริษัทยักษ์ใหญ่ หรือแม้แต่ระบบเศรษฐกิจโดยรวม ส่วนประชานิยมอารยธรรมอิสลามนั้น เธอเห็นว่าเป็นประชานิยมอีกรูปแบบซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยนักการเมืองใช้ประโยชน์จากความรู้สึกทางศาสนาของสมาชิกในชุมชนมุสลิม และสัญญาว่าจะนำพาสังคมไปสู่ค่านิยมและการปกครองแบบอิสลามดั้งเดิม เพิ่มเติมด้วยการวาดภาพอุดมการณ์ตะวันตกว่าเป็นศัตรู ถือเป็นวาทกรรมที่แยกชาวมาเลเซียเชื้อสายมลายูนับถือศาสนาอิสลามออกจาก ‘คนอื่น’ ซึ่งเป็นชาวมาเลเซียต่างศาสนาและเชื้อสายที่มีอยู่เกือบร้อยละ 40 ของประชากรทั้งหมด
ผู้เขียนพบว่า ไม่ว่านักการเมืองจะใช้วาทกรรมประชานิยมแบบใดเป็นยุทธศาสตร์ของตน ก็มักสามารถทำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเชื้อสายมลายูมอบอำนาจทางการเมืองให้แก่ตน ด้วยความเชื่อว่านักการเมืองคนนั้นๆ จะสามารถปกป้องพวกเขาจากการคุกคามทางวัฒนธรรมหรือทางเศรษฐกิจจาก ‘คนอื่น’ ได้
งานเขียนของ Shukr แสดงให้เห็นว่า แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกประชานิยมทั้งทางเศรษฐกิจและเชื้อชาติ-ศาสนาออกจากการเมืองมาเลเซีย ในบางกรณีประชานิยมทางเศรษฐกิจผนวกเข้ากับประชานิยมทางเชื้อชาติ และถูกใช้เพื่อประโยชน์ของประชากรเชื้อสายมลายู แต่ในบางกรณีประชานิยมทางเศรษฐกิจก็ครอบคลุมชาวมาเลเซียไม่จำกัดเชื้อชาติ เช่นเรื่องการหนุนช่วยราคาเชื้อเพลิง ซึ่งอนุญาตให้ใครก็ตามในมาเลเซียเติมน้ำมันโดยจ่ายเงินส่วนหนึ่งและรัฐช่วยจ่ายอีกส่วนหนึ่ง
ถ้าจะวัดกันที่ตัวเงิน อาจพูดได้ว่าการหนุนช่วยราคาเชื้อเพลิงที่เริ่มใน พ.ศ. 2525 คือมารดาประชานิยมทางเศรษฐกิจมาเลเซีย ตัวเลขใน พ.ศ. 2565 ชี้ว่า จากงบประมาณเพื่อการหนุนช่วยประชาชนทั้งหมดราว 90,000 ล้านริงกิตนั้น (ราว 700,000 ล้านบาทตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน) ร้อยละ 53 หรือ 47,700 ล้านริงกิต (กว่า 367,000 ล้านบาท) คือเงินที่ใช้ใช้ในการหนุนช่วยราคาเชื้อเพลิง
รัฐบาลมาเลเซียทุกยุคทุกสมัยรู้ดีว่าการหนุนช่วยราคาน้ำมันคือรูรั่วรูใหญ่เบิ้มในกระเป๋าเงินของประเทศ แต่ไม่มีรัฐบาลใดกล้าเสี่ยงกับหายนะทางการเมืองด้วยการแตะต้องความเคยชินของประชาชน หลังจากเกิดเหตุกับรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี อับดุลลาห์ อาห์หมัด บาดาวี (Abdullah Ahmad Badawi) แห่งพรรคอัมโน (UMNO – United Malays National Organisation) ในช่วงปลายปี 2550 ซึ่งที่จริงแล้วอัมโนเป็นเจ้าแห่งประชานิยมทางเศรษฐกิจมาแต่ไหนแต่ไร แต่ในปีนั้นมาเลเซียพบปัญหาจากภาวะราคาน้ำมันโลกพุ่งขึ้นสูง เป็นเหตุให้นายกฯ บาดาวีเริ่มเปรยถึงความจำเป็นในการตัดการหนุนช่วยด้านพลังงานขึ้นมา
เขากล่าวในที่ประชุมใหญ่ของพรรคว่า ถึงอย่างไรก็จะต้องมีการลดระดับการหนุนช่วยประชาชนในเรื่องนี้ เพราะมาเลเซียไม่สามารถรับภาระทางการเงิน 35,000 ล้านริงกิต (ราว 269,500 ล้านบาท) ต่อปีได้อีกแล้ว และว่าเงินจำนวน 40,000 ล้านริงกิต (ราว 308,000 ล้านบาท) ต่อปีที่รัฐบาลใช้ในการหนุนช่วยราคาน้ำมันและอื่นๆ ในประเทศในเวลานั้น มีสัดส่วนพอๆ กับงบประมาณในการพัฒนาประเทศทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องมีการปรับโครงสร้างการหนุนช่วยราคาน้ำมันที่ช่วยเหลือกลุ่มประชากรที่ขาดแคลนจริงๆ เพราะว่า “มันไม่แฟร์ ถ้าคนรวยกับคนจนจ่ายราคา (น้ำมัน) ราคาเดียวกัน”
นับว่านายกฯ บาดาวีมีเหตุผลที่ไม่มีใครเถียงได้ แต่บางครั้งการพูดถูกเรื่องแต่ผิดเวลาอาจนำพาจน เมื่อคนหลายกลุ่มเริ่มออกประท้วง ตั้งคำถามว่าเมื่อมาเลเซียเป็นประเทศผลิตและส่งออกน้ำมัน เหตุไฉนคนมาเลเซียจึงต้องจ่ายค่าน้ำมันแพง ในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2551 ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น พรรคอัมโนสูญเสียเสียงข้างมากสองในสามของสภาฯ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นายกฯ บาดาวีประกาศไม่ต่อตำแหน่งนายกฯ เป็นวาระที่สอง เปิดโอกาสให้นาจิบ ราซัก (Najib Rasak) รองหัวหน้าพรรคขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่
มาตรการหนุนช่วยราคาน้ำมันกลายเป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้นับแต่นั้น จนกระทั่งผู้กล้าคนใหม่ปรากฏตัว เขาผู้นั้นคือ นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) ที่ออกแถลงทางโทรทัศน์เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ประกาศนโยบายยุติการหนุนช่วยราคาเชื้อเพลิงและชี้แจงรายละเอียดด้วยตัวเอง เริ่มจากเรื่องคณะรัฐมนตรีมีมติรับโครงการยกเลิกการให้เงินอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งถือเป็นก้าวแรกของนโยบายนี้ เขาให้เหตุผลว่านโยบายนี้จะช่วยประหยัดงบประมาณได้ราว 40,000 ล้านริงกิตต่อปี และมีเป้าหมายป้องกันไม่ให้ชาวมาเลเซียฐานะร่ำรวยและชาวต่างชาติที่อาศัยในมาเลเซียจำนวน 3.5 ล้านคนได้ประโยชน์จากการหนุนช่วยของรัฐบาล ส่วนเงินที่ประหยัดได้จะนำไปใช้ในโครงการของรัฐต่างๆ ที่จะให้ประโยชน์แก่ประชาชนร้อยละ 80–85 ของประเทศ
ในปี 2566 งบประมาณที่ใช้หนุนช่วยราคาดีเซลอย่างเดียวตกอยู่ที่ 14,300 ล้านริงกิต (ราว 110,110 ล้านบาท) ครั้งนี้การตัดการหนุนช่วยครอบคลุมเฉพาะรัฐต่างๆ ในคาบสมุทรมลายา โดยไม่เกี่ยวกับรัฐซาบาห์และซาราวักซึ่งเป็นพื้นที่เกาะฝั่งตะวันออกที่มีระยะการเดินทางที่ไกลและมีราคาค่าขนส่งที่สูงกว่าแผ่นดินใหญ่ ถึงจะตัดการหนุนช่วยบุคคลทั่วไป แต่รัฐบาลมีมาตรการพิเศษป้องกันไม่ให้ราคาสินค้าในท้องตลาดพุ่งขึ้นด้วยการหนุนช่วยราคาดีเซลแก่กลุ่มธุรกิจขนส่งมวลชน 10 กลุ่ม เช่นรถบัสและแท็กซี่ และกลุ่มขนส่งด้านโลจิสติกส์อีก 23 กลุ่ม ทั้งยังระบุกลุ่มประชาชนที่จะได้รับการช่วยเหลือด้านการเงินอีกหลายกลุ่ม เช่นเจ้าของยานพาหนะที่ใช้น้ำมันดีเซลในการประกอบอาชีพ ชาวนาและเกษตรกร และผู้ประกอบการค้าขายรายย่อย
ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศเดือนมิถุนายนพุ่งขึ้นอย่างหน้าหวาดเสียวถึงร้อยละ 56 หรือจากลิตรละ 2.15 ริงกิต (ราว 16.55 บาท) ขึ้นเป็น 3.35 ริงกิต (25.8 บาท) ซึ่งยังคงเป็นราคาที่ถูกเป็นอันดับสามในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ รองลงมาจากบรูไน และพื้นที่มาเลเซียฝั่งตะวันออกเอง
มาตรการยุติการหนุนช่วยราคาเชื้อเพลิงมาถึงในยามที่รัฐบาลพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ย่ำแย่จากภาวะเงินเฟ้อและค่าเงินริงกิตตกต่ำ ซึ่งสั่งสมมาในหลายรัฐบาล โดยเฉพาะในช่วงเวลาของความไม่มั่นคงทางการเมืองและปัญหาโควิด-19 ห้าปีที่ผ่านมา ถึงแม้เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว แต่เมื่อเทียบกับจังหวะก้าวของอดีตนายกฯ บาดาวีแล้ว อันวาร์เลือกจังหวะทางการเมืองได้เหมาะสมกว่า เพราะเวลานี้การโจมตีของพรรคฝ่ายค้านอ่อนแรงลงถึงขั้นที่ว่า สส. ฝ่ายค้านบางรายส่งสัญญานแปรพักตร์หันเข้าหารัฐบาล ที่สำคัญนายกฯ อันวาร์ยังซื้อเวลาได้อีกสามปีก่อนจะถึงการเลือกตั้งทั่วไปรอบใหม่ เมื่อถึงตอนนั้นถ้าไม่พลาดท่าเสียทีในเรื่องอื่น ความโกรธของประชาชนเรื่องราคาน้ำมันอาจเจือจางลง
การตัดการหนุนช่วยด้านราคาพลังงานอาจเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากปัจจัยที่สวนทางกับความเข้าใจทั่วไปว่ามาเลเซียเป็นประเทศผลิตน้ำมันที่มีน้ำมันใช้และมีรายได้มหาศาลจากน้ำมันตลอดกาล ในความเป็นจริงแม้ว่ากิจการด้านน้ำมันของมาเลเซียจะยังทำเงินเข้าประเทศอย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่ผลประกอบการเมื่อปีที่แล้วของ Petroliam Nasional Berhad หรือเปโตรนาส บริษัทที่ผลิตและส่งออกน้ำมันของรัฐบาล ที่ลดลงจากความผันผวนของตลาด เริ่มส่งสัญญาณไม่ชอบมาพากล โดยใน พ.ศ. 2566 เปโตรนาสมีผลประกอบการที่ 343,600 ล้านริงกิต (กว่า 2.64 ล้านล้านบาท) คิดเป็นกำไรสุทธิเท่ากับ 80,700 ล้านริงกิต (ราว 621,400 ล้านบาท) ซึ่งลดลงจากปี 2565 ที่กำไรสุทธิสูงถึง 101,600 ล้านริงกิต เป็นผลให้เงินปันผลที่เปโตรนาสส่งให้รัฐบาลมาเลเซียลดลงเหลือ 40,000 ล้านริงกิตมาเลเซีย (308,000 ล้านบาท) จาก 50,000 ล้านริงกิต (385,000 ล้านบาท) ในปีก่อนหน้า
ในขณะเดียวกัน มาเลเซียเริ่มส่อแนวโน้มการนำเข้าน้ำมันดิบที่มากกว่าการส่งออกในเดือนเมษายนปีนี้ มาเลเซียส่งออกน้ำมันดิบเป็นมูลค่า 2,750 ล้านริงกิต (21,175 ล้านบาท) ในขณะที่การนำเข้าน้ำมันดิบมีมูลค่า 4,780 ล้านริงกิต (36,806 ล้านบาท) ส่งผลให้ติดลบดุลการค้าน้ำมันถึงกว่า 2,000 ล้านริงกิตภายในเดือนเดียว
แนวโน้มนี้สอดคล้องกับการคาดการณ์ที่ว่ามาเลเซียจะเปลี่ยนจากประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันเต็มตัวในอนาคต บทความใน พ.ศ. 2555 เรื่อง Exploring Malaysia’s Transformation to Net Oil Importer and Oil Import Dependence โดย Yudha Prambudia และ Masaru Nakano แห่ง Keio University ที่เขียนขึ้นจากผลการจำลองความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมผลิตน้ำมันกับภาคเศรษฐกิจของมาเลเซีย โดยใช้แบบจำลองสถานการณ์สี่ลักษณะเพื่อคาดการณ์ถึงกรอบเวลาที่มาเลเซียจะกลายเป็นประเทศการนำเข้าน้ำมันสุทธิ (การนำเข้าที่หักลบการส่งออกแล้ว) ในอนาคต พบว่ามาเลเซียกำลังจะเปลี่ยนเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันกว่าร้อยละ 90 ในเวลาอีกไม่กี่ปี
สถานการณ์จำลองทั้งสี่วางอยู่บนข้อเท็จจริงที่ว่าภาคการขนส่งและภาคอุตสาหกรรมของมาเลเซียยังคงพึ่งพาการใช้น้ำมันอย่างสูง และรัฐเลือกแก้ปัญหาด้วยสี่วิธี คือขุดเจาะน้ำมันเพิ่ม, ลงทุนในการสำรวจขุดเจาะใหม่ๆ, ตัดเงินหนุนช่วยราคาน้ำมันในประเทศ, และเร่งพัฒนาทางเทคโนโลยี ซึ่งผลการศึกษาพบว่าสถานการณ์ตัดเงินหนุนช่วยราคาน้ำมันเป็นทางออกที่ดีที่สุด
บทความนี้ชี้ว่า ถ้าหากนำเอาสถานการณ์ทั้งสี่มารวมกัน มาเลเซียจะเริ่มนำเข้าน้ำมันอย่างเร็วที่สุด คือใน พ.ศ. 2555 และช้าที่สุดคือ พ.ศ. 2564 ทั้งยังคาดว่ามาเลเซียจะพึ่งพาน้ำมันนำเข้ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่ว่านโยบายน้ำมันของมาเลเซียจะเดินไปในทิศทางใดในสี่สถานการณ์ข้างต้น ภายใน พ.ศ. 2573 มาเลเซียจะนำเข้าน้ำมันอย่างน้อยร้อยละ 90 และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนอาจสูงถึงร้อยละ 97 ก็เป็นได้
รัฐบาลอันวาร์อาจจะโชคดีที่ว่า ไม่พบว่าการปล่อยราคาดีเซลลอยตัวมีผลกระทบกับราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้ออย่างน้อยก็ในช่วง 1-2 เดือนแรก ซึ่งสร้างความแปลกใจให้สำนักวิจัยทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีการคาดการณ์ว่าตัวเลขเงินเฟ้อในประเทศจะเพิ่มขึ้นสูงอย่างมีนัยสำคัญจากเงินเฟ้อร้อยละ 1.8 ในครึ่งปีแรก จากที่ก่อนหน้านี้ธนาคารกลางมาเลเซีย (Bank Negara Malaysia) คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะอยู่ระหว่างร้อยละ 2 ถึง 3.5 แต่กลับพบว่าตัวเลขเงินเฟ้อไม่ได้สูงอย่างที่คิด เนื่องจากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI: Consumer Price Index) ต่ำกว่าที่คาดไว้อย่างน่าแปลกใจ และทำให้ฝ่ายวิจัยของธนาคาร UOB ประกาศลดตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในมาเลเซียปีนี้ลงจากร้อยละ 2.6 เป็นร้อยละ 2 โดยชี้ว่าทางธนาคาร “ตระหนักถึงผลกระทบจากการปรับเงินอุดหนุนดีเซลที่น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก”
HSBC Global Research ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยของธนาคาร HSBC ระบุเช่นเดียวกันว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของมาเลเซียหลังมาตรการดีเซลต่ำกว่าที่คิดไว้ ซึ่งก่อนหน้านี้ทางธนาคารคาดว่าตัวเลข CPI ปีนี้จะตกราวร้อยละ 2.4 และชี้ว่าผลกระทบของการยกเลิกการหนุนช่วยราคาดีเซลอาจมีน้อยเพราะน้ำมันดีเซลคิดเป็นร้อยละ 0.2 ในตะกร้าสินค้าที่ใช้ในการคำนวนดัชนีราคาผู้บริโภค ประกอบกับมาตรการหนุนช่วยเฉพาะกลุ่มของรัฐบาลที่ออกมาพร้อมๆ กันที่ส่งผลด้วย อย่างไรก็ตาม HSBC ยังยืนการคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อตลอดปีอยู่ที่ร้อยละ 2.6
แต่นั่นก็อาจจะเร็วเกินไปที่รัฐบาลจะรีบฉลอง เพราะ ‘ของจริง’ ที่จะตามมาคือการยุติการหนุนช่วยน้ำมันเบนซิน RON95 ที่จะกระทบต่อผู้ขับขี่รถยนต์ทั่วประเทศ เวลานี้รัฐบาลยังคงเก็บความลับเรื่องวันดีเดย์ในการยกเลิกหนุนช่วยราคา RON95 ด้วยเหตุผลเพื่อการป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าล่วงหน้า
การยกเลิกการหนุนช่วยราคาเชื้อเพลิงเป็นเรื่องใหญ่ที่แสดงทั้งความ ‘ใจถึง’ และการไม่มีทางเลือกของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีอันวาร์ ในสถานการณ์ที่มาเลเซียกำลังกระเป๋าแห้งเกินกว่าจะแจกของฟรีได้เหมือนเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลกำจัดวิถีประชานิยมทางเศรษฐกิจอย่างสิ้นซาก เพราะพร้อมๆ กับการจัดการเรื่องราคาเชื้อเพลิงนั้น รัฐบาลก็เพิ่มมาตรการประชานิยมอื่นๆ เช่นการขึ้นเงินเดือนข้าราชการ หรือการอนุญาตให้ประชาชนถอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Employees Provident Fund: EPF) ก่อนกำหนดในจำนวนที่มากขึ้น จนสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
การหนุนช่วยราคาเชื้อเพลิงถ้วนหน้ากำลังจะหมดไปจากมาเลเซีย แต่ประชานิยมทางเศรษฐกิจยังไม่ไปไหน เป็นไปได้ว่ารัฐบาลนี้จะปรับยุทธศาสตร์ประชานิยมของตนให้มุ่งเป้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เพื่อชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไปและต่อไป
เอกสารประกอบ
https://www.malaysiakini.com/news/74597
https://fulcrum.sg/malaysia-has-removed-diesel-subsidies-now-must-manage-the-fallout
https://theedgemalaysia.com/node/720231
https://oec.world/en/profile/bilateral-product/crude-petroleum/reporter/mys
https://www.malaysiakini.com/news/699528