ในที่สุดวันหยุดยาวในเทศกาลวันชาติมาเลเซีย หรือเมอร์เดกาเดย์ (Merdeka Day) ในเดือนกันยายนก็มาถึง คนมาเลเซียมุ่งมั่นเดินทางพักผ่อนอย่างไม่หวั่นรถติด ด่านชายแดนไทย-มาเลเซียที่เนืองแน่นไปด้วยรถโดยสารนักท่องเที่ยว ถนนในกัวลาลัมเปอร์โล่งสบายอย่างน้อยสามสี่วัน มีเพียงธงชาติโบกสะบัดตามสำนักงานราชการ ห้างร้าน และอาคารบ้านเรือนที่เตือนว่าวันชาติมาถึงอีกคราหนึ่งแล้ว
แต่สำหรับครู นักเรียน และผู้ปกครองเด็กของโรงเรียนจีนระดับประถมเล็กๆ และเจ้าของร้านฮาร์ดแวร์ของครอบครัวแห่งหนึ่ง เมอร์เดกาเดย์ปีนี้มาพร้อมบทเรียนที่หนักหน่วง ความตั้งใจเฉลิมฉลองวันชาติอย่างใครๆ กลายเป็นฝันร้าย เมื่อพวกเขาบังเอิญแขวนธงชาติกลับหัว
ธงชาติมาเลเซียหรือ ‘จาลูร์ เกมิลัง’ (Jalur Gemilang) ซึ่งมีความหมายว่า ‘แถบแห่งความรุ่งโรจน์’ เป็นสัญลักษณ์สูงสุดที่แสดงความเป็นชาติมาเลเซีย จาลูร์ เกมิลัง ประกอบด้วยด้วยแถบสีแดงสลับขาว 14 แถบ เป็นสัญลักษณ์แทนดินแดนสหพันธ์และรัฐทั้งสิบสาม ภาพพระจันทร์เสี้ยวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลาม และดาว 14 แฉกซึ่งแสดงความเป็นเอกภาพของดินแดนทั้ง 14 วางอยู่ในกรอบสีน้ำเงินในมุมด้านบนของธง สีเหลืองของพระจันทร์เสี้ยวและดาวคือสีแทนองค์พระประมุขแห่งมาเลเซีย และกรอบสีน้ำเงินคือความเป็นเอกภาพของพลเมือง
ความผิดพลาดใดๆ ที่นำไปสู่ประเด็นการเมืองเป็นความน่าสะพรึงสำหรับคนทำมาหากิน ครั้งนี้ก็เช่นกัน เหตุธงชาติกลับหัวทำเอาบรรยากาศก่อนวันชาติเดือดจัดด้วยเกมการเมือง ทันทีที่คลิปวิดีโอแสดงภาพธงชาติกลับหัวบนเสาธงของโรงเรียน SJKC Chung Hua โรงเรียนจีนระดับประถมที่เมืองพอร์ต ดิ๊กสัน ในรัฐเนเกอรีเซิมบิลัน ถูกแชร์ว่อนในโซเชียลมีเดียเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม เสียงวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงก็ว่อนท่วมอินเทอร์เน็ต กลุ่มที่แสดงความโกรธเกรี้ยวคาดโทษมากที่สุดคือสมาชิกกลุ่มยุวชนพรรคอัมโน (United Malays National Organisation: UMNO) ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
แถลงการณ์ชี้แจงและขอโทษต่อสาธารณะของกรรมการโรงเรียนในวันเดียวกันไม่สามารถลดกระแสกล่าวโทษได้ ทางโรงเรียนชี้แจงว่าความผิดพลาดครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างไม่มีเจตนา โดยเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนซึ่งเป็นผู้พิการและถูกมอบหมายให้รับผิดชอบในการนำธงขึ้นเสา เจ้าหน้าตำรวจเริ่มกระบวนการสอบสวนโดยอ้างกฎหมายอย่างน้อยสี่ฉบับ นักการเมืองพรรคอัมโนยังคงเดินหน้าเรียกร้องการลงโทษ รวมทั้งฟาฎลินา ซีเด็ก (Fadhlina Sidek) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในสังกัดพรรคอัมโนเอง ที่ขู่ว่าเมื่อการสอบสวนสิ้นสุดลง ตนจะใช้มาตรการที่เข้มงวดต่อผู้กระทำผิด ในขณะที่อักมัล ซาเลห์ (Akmal Saleh) ประธานกลุ่มยุวชนอัมโน ก็เรียกร้องให้ใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดลงโทษผู้รับผิดชอบของโรงเรียน
ลาทีฟะห์ โกยา (Latheefa Koya) ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและอดีตประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งมาเลเซีย (Malaysian Anti-Corruption Commission) โพสต์ในแพลตฟอร์ม X ชี้ว่านักการเมืองอัมโนที่ตีประเด็นความผิดพลาดธรรมดาๆ ให้ใหญ่โตเกินความเป็นจริง และเรียกปฏิกริยาของนักการเมืองกลุ่มนี้ว่า “ฮีสทีเรีย” “ชวนสยอง” และ “น่าขยะแขยง” ในขณะเดียวกัน แอนโทนี โลค (Anthony Loke) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เลขาธิการพรรค Democratic Action Party (DAP) ซึ่งมีชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนเป็นฐานเสียงหลัก ชี้ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเพียงความผิดพลาด ซึ่งไม่มีความจำเป็นที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องหาประโยชน์จากเรื่องนี้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
ความวัวยังไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก ยิ่งใกล้วันชาติมากเท่าไหร่ประเด็นธงชาติกลับหัวก็ยิ่งดุเดือดมากเท่านั้น เพียงไม่ถึงสองสัปดาห์หลังเหตุการณ์ที่โรงเรียนจีน คลิปวิดีโอแสดงภาพธงชาติกลับหัวหน้าร้านฮาร์ดแวร์ในเขตเกปาลาบาตัส (Kepala Batas) ในรัฐปีนังก็แพร่สะพัดในโลกออนไลน์เช่นเคย ปัง ชิน เทียน (Pang Chin Tian) เจ้าของร้านชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนวัย 59 ปีรีบกล่าวขอโทษ ชี้แจงว่าเขากำลังรีบจัดการกับภารกิจของร้านจนไม่ได้สังเกตว่าธงชาติที่เขาตั้งใจจะติดฉลองวันชาติหน้าบ้านนั้นกลับหัว เขาบอกว่าตนเองก็เป็นชาวมาเลเซียผู้รักชาติเสมอมา และไม่มีเจตนาก่อปัญหาครั้งนี้ ปังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตัวสอบปากคำหลังมีผู้แจ้งความและได้รับการประกันตัว โดยไม่ถูกดำเนินคดีในศาล
แต่ปัญหาของนายปังยังไม่จบ เพราะอักมัล หัวหน้าใหญ่แห่งกลุ่มยุวชนอัมโนยังไม่ยอมให้จบ อักมัลประกาศผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ขู่ว่าหากปังไม่ได้รับการลงโทษตามกฎหมาย ตนจะ “ให้บทเรียนส่วนตัว” กับชายผู้ซึ่งไม่รู้ว่าควรจะแขวนธงชาติอย่างไรด้วยตัวเอง
ความรักชาติของยุวชนอัมโนดูจะมีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง เพราะในเวลาที่ไล่เลี่ยกันนั้นความผิดพลาดเรื่องธงชาติก็เกิดจากกลุ่มยุวชนอัมโนของเขาเอง เฟซบุ๊กของกลุ่มยุวชนอัมโนสาขารัฐตรังกานูโพสต์ภาพธงชาติที่มีแถบสีเพียง 12 แถบแทนที่จะเป็น 14 แถบที่ถูกต้อง ทั้งที่ไม่กี่วันก่อนหน้าเฟซบุ๊กเดียวกันนี้เพิ่งโพสต์ช่วยอักมัลประณามเหตุการณ์ธงชาติกลับหัวที่ปีนังไปหยกๆ
ถึงจะมีการแก้ไขภายหลัง แต่ภาพธงชาติ 12 แถบ ไม่อาจรอดพ้นสายตาอันแหลมคมของพลเมืองเน็ตมาเลเซียได้ ภาพสกรีนช็อตจากเฟซบุ๊กยุวชนอัมโนตรังกานูก็เผยแพร่ไปทั่ว ครั้งนี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ประชดประชันที่กระหึ่มทั่วโซเชียลมีเดียมุ่งเป้าไปที่อัมโนโดยตรง อักมัลแก้เกี้ยวด้วยการบอกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจในตรังกานูควรสอบสวนเรื่องนี้ และประกาศว่าเขายังจะเดินหน้าสั่งสอนนายปังที่ปีนังต่อไป
วันที่ 14 สิงหาคม กลุ่มยุวชนอัมโนและผู้สนับสนุนในปีนังราว 200 คนมาตามนัด รวมตัวประท้วงที่หน้าร้านฮาร์ดแวร์ตามที่อักมัลประกาศไว้ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อแสดงความสำคัญของการให้ความเคารพต่อธงชาติ ในเวลาเดียวกันทนายความปีนังกลุ่มเล็กๆ ก็ตั้งหลักประท้วงในบริเวณใกล้ๆ กลุ่มทนายแถลงว่าพวกตนต้องการแสดงตัวเพื่อประท้วงการคุกคามของยุวชนอัมโนต่อเจ้าของร้านฮาร์ดแวร์ สองกลุ่มเผชิญหน้าอย่างไม่มีการกระทบกระทั่ง ก่อนจะแยกย้ายกันไป
อัมโนถูกโจมตีหนักหลังเหตุการณ์ธงชาติกลับหัวที่ตามมาในวันที่ 21 สิงหาคมที่ชั้นสองของทันตคลีนิกแห่งหนึ่งในเขตปอนเตียน รัฐยะโฮร์ ครั้งนี้ อะห์หมัด มัสลัน (Ahmad Maslan) สส.อัมโนในพื้นที่ รีบออกแถลงการณ์ไกล่เกลี่ยทันควัน ชี้แจงแทนคลีนิกว่าเรื่องนี้เป็นความพลาดพลั้งโดยไม่ตั้งใจของพนักงานหญิงผู้หนึ่ง ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ตบท้ายว่าประเด็นเรื่องธงชาติไม่ควรถูกทำให้เป็นประเด็นทางเชื้อชาติ แต่ควรเป็นประเด็นของความละเอียดอ่อน ความใส่ใจ และความรักชาติมากกว่า
คำแถลงของ อะห์หมัด มัสลัน ควรได้รับความชื่นชมในฐานะสัญญาณของความสมานฉันท์ ถ้าบังเอิญเจ้าของคลีนิกแห่งนั้นจะไม่ใช่ทันตแพทย์หญิงชาวมาเลเซียเชื้อสายมลายู
แน่นอนว่าเสียงโจมตีพรรคอัมโนย่อมโหมกระหน่ำในโซเชียลมีเดีย กระดาน Reddit r/malaysia แพลตฟอร์มของชุมชนมาเลเซียใน Reddit เต็มไปด้วยเสียงวิจารณ์แค้นเคืองต่อท่าทีสองมาตรฐานของนักการเมืองอัมโน ที่กระเหี้ยนกระหือรือให้ลงโทษพลเมืองเชื้อชาติอื่นแต่กลับปกป้องคนเชื้อสายมลายูที่ผิดพลาดในเรื่องเดียวกัน
“เมื่อคนเชื้อชาติอื่น (non-Malay) เป็นคนทำ พวกเขาถูกจับและตั้งข้อหา (แต่) เมื่อคนมาเลย์ทำซะเอง ก็เป็นแค่ ‘ความผิดพลาด‘ แล้วก็แค่ขอโทษ” ข้อความหนึ่งปรากฏใน Reddit
สำหรับมาเลเซีย พอถึงจุดนี้ก็ไม่แปลกที่เรื่องอาจบานปลายขยายตัวเป็นเรื่องของเชื้อชาติ และกลุ่มที่เล็งเห็นความเดือดร้อนมากที่สุดคือพรรคการเมืองที่มีฐานเสียงชาวจีนที่จำเป็นต้องออกมาแสดงจุดยืนอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นพรรค Malaysian Chinese Association (MCA) ซึ่งอยู่ในแนวร่วมของอัมโนเอง โดย วี คา เสียง (Wee Ka Siong) ประธานพรรค ต้องออกมาวิจารณ์ท่าทีของอักมัลต่อเจ้าของร้านที่ปีนังว่าการข่มขู่เช่นนั้นจะทำให้ชาวมาเลเซียไม่กล้าติดธงชาติเฉลิมฉลอง นักกิจกรรมฝ่ายประชาสังคม เช่น ไซด์ มาเลก (Zaid Malek) ทนายความจากกลุ่ม Lawyers for Liberty กล่าวว่าความผิดพลาดเรื่องธงชาติกลับหัวไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาที่แท้จริงคือนักการเมืองจอมฉวยโอกาสและไร้ความรับผิดชอบอย่างอักมัล ที่ฉวยโอกาสใช้ความผิดพลาดอย่างไม่ตั้งใจเพื่อสร้างภาพทางการเมืองให้ตัวเองต่างหาก
ก่อนที่บรรยากาศเมอร์เดกาจะกร่อยไปมากกว่านี้ นายกฯ อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) ต้องเข้าระงับเหตุด้วยการพูดผ่านโฆษกรัฐบาลผู้หนึ่งว่าจะต้องไม่มีปัญหาสองมาตรฐานการพิจารณากรณีธงชาติกลับหัว พร้อมกันนั้นสำนักงานอัยการสูงสุดได้ส่งคำเตือนประชาชน ห้ามไม่ให้มีพฤติกรรมล่าแม่มดและจ้องลงโทษผู้แสดงธงชาติผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นการบุกเข้าในสถานที่ การนำเอาข้อมูลส่วนตัวมาโจมตีเผยแพร่ และการกล่าวหาอย่างไม่มีมูลทางโซเชียลมีเดีย
ปัญหาธงชาติกลับหัวยุติลงโดยไม่มีใครถูกลงโทษตามกฎหมาย แต่สิ่งที่มันทิ้งเอาไว้คือร่องรอยของปัญหาที่ใหญ่กว่าของประเทศ นั่นคือปัญหาความขัดแย้งของแนวคิดชาตินิยมสองแบบ ระหว่างชาตินิยมที่ตั้งบนอัตลักษณ์ของคนกลุ่มใหญ่เชื้อชาติเดียว กับอัตลักษณ์ของชาติที่มาจากประชากรหลากหลายเชื้อชาติที่มีความเป็นเจ้าของมาเลเซียโดยเท่าเทียมกัน
ลึกลงไปคือคำถามว่าอะไรคือสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็น ‘ชาวมาเลเซีย’ ที่แท้ วัฒนธรรมของใครที่กำหนดนิยามของชาติ และสังคมสามารถยอมรับความขัดแย้งทางความคิด หรือความผิดพลาดของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้เพียงไหน ก่อนที่คนกลุ่มนั้นจะถูกกล่าวหาว่าโจมตีอัตลักษณ์ของชาติ คำถามเหล่านี้ดำรงอยู่เป็นความขัดแย้งเบื้องลึกของสังคมมาเลเซียมาเนินนาน ที่ประชาชนคนธรรมดารับรู้อย่างลึกซึ้งแต่ไม่มีใครปรารถนาจะกล่าวถึง
มีงานวิชาการไม่น้อยที่ยืนยันความขัดแย้งของอุดมการณ์ชาตินิยมสองแบบนี้ ชาตินิยมแบบแรกคือชาตินิยมที่มีแก่นแท้เชิงชาติพันธุ์และศาสนา ที่สร้างขึ้นในฐานะเครื่องมือทางการเมืองของพรรคอัมโนมาตั้งแต่ประวัติศาสตร์ มีรากฐานอยู่ในอัตลักษณ์เชิงชาติพันธุ์-ศาสนาของชาวมลายู อุดมการณ์นี้มักถูกเรียกว่า ‘ชาตินิยมมลายู’ สนับสนุนแนวคิด Ketuanan Melayu (อำนาจสูงสุดของชาวมลายู) และวางตำแหน่งชาวมลายูในฐานะภูมิบุตร (Bumiputera: ลูกหลานของแผ่นดิน)
ชาตินิยมมลายูเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับศาสนาอิสลาม ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธรัฐนิยามชาวมลายูว่าเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม พูดภาษามลายู และยึดมั่นในประเพณีของชาวมลายู ชาตินิยมตามแบบของอัมโนยืนยันว่าอัตลักษณ์ของชาติมาเลเซียต้องเป็นชาวมลายูและอิสลามเป็นหลัก อุดมการณ์นี้ทำให้อัมโนมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งประเทศในฐานะผู้รวบรวมการสนับสนุนจากชาวมลายูนับแต่ยุคเปลี่ยนผ่านออกจากการปกครองของใต้อาณานิคมอังกฤษ
อัมโนเป็นตัวแทนประชากรมลายูในขณะนั้น ในการร่วมกับพรรคการเมืองตัวแทนเชื้อชาติจีนและอินเดีย จัดทำ ‘สัญญาสังคม’ (Social Contract) ในการก่อตั้งสหพันธรัฐมาเลเซียในทศวรรษ 1950
ข้อตกลงในสัญญาสังคมกำหนดบริบททางการเมือง และชีวิตทางสังคมและเศรษฐกิจของชาวมาเลเซียมาจนถึงปัจจุบัน ในข้อตกลงสัญญาสังคม ขณะที่ฝั่งมลายูยอมมอบสัญชาติให้ประชากรเชื้อสายจีนและอินเดีย (non-Malay) ซึ่งอพยพเข้าเป็นแรงงานภายใต้อาณานิคมอังกฤษ กลุ่ม non-Malay ตกลงยอมรับให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ให้ภาษามลายูเป็นภาษาทางการ ยอมรับสถานะพิเศษของสถาบันสุลต่าน และยอมรับสิทธิพิเศษของพลเมืองภูมิบุตร ซึ่งในมาตรา 153 ของรัฐธรรมนูญระบุว่าเป็นสิทธิพิเศษด้านการศึกษา (ทุนการศึกษา), ตำแหน่งในราชการ, การดำเนินธุรกิจ, และใบอนุญาตต่างๆ โดยมาตรานี้ยังระบุด้วยว่าการปกป้องสิทธิพิเศษเหล่านี้จะต้องไม่กระทบต่อผลประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมายของชุมชนอื่นๆ ในประเทศ
งานวิชาการคลาสสิกของวิลเลียม อาร์. รอฟฟ์ (William R. Roff) ในหนังสือ The Origins of Malay Nationalism (1967) ที่ติดตามการพัฒนาของจิตสำนึกมลายูนิยมชี้ว่า การเติบโตของอุดมการณ์ชาตินิยมมลายูนั้น เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับการเข้ามาของกลุ่มเชื้อชาติอื่นในยุคอาณานิคม โดยเฉพาะชาวจีนและชาวอินเดีย ที่ทำให้ชาวมลายูหวาดหวั่นว่าสถานะทางเศรษฐกิจของตนกำลังถูกบั่นทอนลงจากความสำเร็จของชาวจีนในอุตสาหกรรมเหมืองแร่และการค้า การหลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็วของประชากรต่างชาติได้สร้างความกังวลว่าชาวมลายูอาจกลายเป็นชนกลุ่มน้อยในแผ่นดินของตนเอง
ความรู้สึกนี้เป็นแรงกระตุ้นสำคัญให้ชาวมลายูต้องหันกลับมานิยามอัตลักษณ์ของตนที่นำไปสู่การตื่นตัวทางชาตินิยมของชาวมลายู รอฟฟ์ชี้ว่าการเกิดขึ้นของชาตินิยมมลายูจึงเป็นการเคลื่อนไหวทางความคิดและสังคมเพื่อใช้อัตลักษณ์ทางภาษา วัฒนธรรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาอิสลาม กำหนด ‘ความเป็นมลายู’ (Malayness) ที่แตกต่างจาก ‘คนนอก’ หรือ ‘เปนดาตัง’ (Pendatang) ที่มาใหม่ รอฟฟ์สรุปว่าชาตินิยมมลายูเกิดขึ้นไม่ใช่เพื่อต่อสู้กับอังกฤษโดยตรง แต่เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมและประชากรที่กำลังเกิดขึ้นภายใต้การปกครองของอังกฤษต่างหาก
มรดกตกทอดอย่างหนึ่งของขบวนการอัตลักษณ์มลายูยุคอาณานิคมคือนิยามของ คำว่า ‘เปนดาตัง’ ที่บิดผันไปในบริบทของการเมือง ความหมายดั้งเดิม ‘เปนดาตัง’ ในภาษามลายูมีความหมายตรงไปตรงมาว่า ‘ผู้อพยพ’ หรือ ‘ผู้มาใหม่’ ซึ่งในยุคอาณานิคมอังกฤษ ถูกใช้ในบริบทที่เป็นกลางเพื่อกล่าวถึงกลุ่มคนที่อพยพมาจากจีนและอินเดีย อย่างไรก็ตามหลังได้รับเอกราช คำนี้เริ่มมีความหมายเชิงลบและถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสื่อถึงนัยว่าประชากรมาเลเซียที่ไม่ใช่มลายูนั้น ไม่ได้เป็น “ลูกหลานของแผ่นดิน” (Bumiputera) ดังนั้นความภักดีและสิทธิของพวกเขาจึงมีเงื่อนไข
‘เปนดาตัง’ ในฐานะคำทางการเมืองเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับแนวคิดชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์ เพราะมันถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของวาทกรรมตอกย้ำแนวคิดอำนาจสูงสุดของชาวมลายู (Ketuanan Melayu) และเพื่อตั้งคำถามถึงความชอบธรรมในการดำรงอยู่และการอ้างสิทธิทางการเมืองของชุมชนที่ไม่ใช่มลายู
นอกจากการใช้ถ้อยคำและภาษาเป็นอาวุธเชิงวัฒนธรรมแล้ว ชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์ได้แสดงออกเชิงสถาบันในนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Policy) ซึ่งประกาศใช้หลังเหตุการณ์จลาจลทางเชื้อชาติในปี 2512 แม้รัฐบาลในเวลานั้นประกาศว่า NEP มีเป้าเพื่อปรับโครงสร้างสังคมเพื่อลดความยากจนในหมู่ชาวมลายูอันจะนำไปสู่การลดความขัดแย้งทางเชื้อชาติ และให้จำกัดเวลาของการใช้นโยบายไว้เพียง 20 ปี แต่ในความเป็นจริง NEP ยังดำเนินอยู่ในรูปแบบต่างๆ จนถึงปัจจุบัน
งานวิชาการหลายชิ้นชี้ว่า NEP มักถูกตีความและนำไปใช้ในฐานะรูปแบบหนึ่งของ ‘ชาตินิยมทางเศรษฐกิจของชาวมลายู’ ซึ่งออกแบบมาเพื่อยกระดับสถานะทางเศรษฐกิจของประชากรเชื้อสายมลายู ซึ่งคือการแบ่งแยกทางเชื้อชาติในเชิงเศรษฐกิจที่ประชากรกลุ่มอื่นไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
ท่าทีของอักมัลและกลุ่มยุวชนอัมโนจึงไม่ใช่อื่นใดนอกจากการผลิตซ้ำวาทกรรมชาตินิยมของของอัมโน ที่ย้ำถึงความจำเป็นในการปกป้องสิทธิของชาวมลายู ภาษา ศาสนา และสถานะของผู้นำชาวมลายู การกระทำใดๆ ของประชากรกลุ่มอื่นที่กระทบกระทั่งอัตลักษณ์มลายูเทียบได้กับการโจมตีต่อชาติมาเลเซีย ในทางกลับกัน การกระทบกระทั่งต่อสัญลักษณ์ของความเป็นชาติ ก็ไม่ต่างอะไรกับการทำร้ายอัตลักษณ์มลายูเช่นเดียวกัน
ภายใต้วิธีคิดนี้ การติดธงกลับหัวโดยคนในกลุ่ม non-Malays ไม่ใช่ความผิดพลาดธรรมดา แต่เป็นการท้าทายเชิงสัญลักษณ์ต่อระเบียบเชิงชาติพันธุ์-ศาสนา และการขาดความเคารพต่ออัตลักษณ์ของชาติที่เน้นชาวมลายูเป็นหลักนั่นเอง
ทว่าในรัฐชาติมาเลเซียสมัยใหม่ที่ประชากรหลากเชื้อชาติเติบโตรับรู้ความเป็นไปของโลก อุดมการณ์แบบเก่าย่อมถูกท้าทายมากขึ้นเป็นธรรมดา แนวคิดที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอัมโนและกล่มมลายูนิยมต่างๆ คือแนวคิดชาตินิยมแบบพหุเชื้อชาติ (Multiracial Nationalism) ที่สนับสนุนอัตลักษณ์ของชาวมาเลเซียที่ครอบคลุมและมุ่งเน้นพลเมืองเป็นหลักซึ่งอยู่เหนือขอบเขตทางเชื้อชาติและศาสนา หนังสือ Malaysia: The Making of a Nation (2002) โดย เจีย บุน เคง (Cheah Boon Kheng) นักประวัติศาสตร์ชื่อดัง กล่าวถึงชาตินิยมแบบพหุเชื้อชาติในฐานะอุดมการณ์คู่ขนาน โดยชี้ว่ารากฐานของชาตินิยมแบบพหุเชื้อชาติสามารถย้อนไปถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองในยุคแรกๆ ที่เก่าแก่พอๆ กับอุดมการณ์มลายูนิยมของพรรคอัมโน ขณะเดียวกันก็มีพรรคฝ่ายค้านที่ท้าทายการเมืองที่มีฐานจากเชื้อชาติของพรรครัฐบาล โดยมีบุคคลสำคัญ เช่น ลิม กิต เสียง (Lim Kit Siang) อดีตประธานพรรค DAP ซึ่งเสนออุดมการณ์ ‘มาเลเซียของชาวมาเลเซีย’ มาอย่างยาวนาน โดยเป็นแนวคิดที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องเล่าของ Ketuanan Melayu โดยตรงและเรียกร้องความเท่าเทียมกันสำหรับพลเมืองทุกคน
เจียว่า แม้การเมืองมาเลเซียจะถูกครอบงำโดยพรรคการเมืองชาวมลายู แต่การที่ประเทศประกอบด้วยหลายเชื้อชาติ ทำให้ผู้นำระดับชาติต้องแสดงความใส่ใจในพลเมืองที่หลากหลายในระดับหนึ่ง เพื่อเน้นความเป็นชาติมากกว่าความเป็นชุมชนอย่างเดียว
การเลือกตั้งทั่วไปปี 2561 (GE14) ที่ผ่านมาคือช่วงเวลาสั้นๆ ที่แนวคิดชาตินิยมแบบพหุเชื้อชาติผลิบาน แนวร่วมพรรคฝ่ายค้าน ปากาตัน ฮาราปัน (Pakatan Harapan) นำโดยอันวาร์ อิบราฮิม ร่วมกับพรรคของ มหาเธร์ โมฮัมหมัด (Mahathir Mohamad) ในขณะนั้น สามารถโค่นล้มพรรคอัมโนและแนวร่วม Barisan Nasional ที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนานได้ ด้วยการใช้ประเด็นต่อต้านการทุจริตและการปฏิรูปสถาบันการเมือง ดึงดูดการสนับสุนของประชาชนที่ก้าวข้ามเส้นแบ่งทางเชื้อชาติ
นักวิชาการหลายคนตีความว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ความรู้สึกชาตินิยมเชิงพลเมือง (Civic Nationalism) ซึ่งประชาชนปรารถนาที่จะกอบกู้ประเทศจากการบริหารที่ผิดพลาด และบดบังการเมืองเชิงชาติพันธุ์ไปชั่วขณะ
แต่ท่ามกลางความตื่นตัวที่ว่าดูเหมือนจะค่อยๆ จางหายไปในปัจจุบัน การปรากฏตัวของอักมัลและยุวชนพรรคอัมโนภายใต้การนำของอักมัล แสดงถึงความไม่เปลี่ยนแปลงของอุดมการณ์มลายูนิยมในหมู่นักการเมืองอัมโนไม่ต่างกับเมื่อ 70 ปีที่แล้ว ที่ความกลัว ‘เปนดาตัง‘ สิงสู่อยู่ในใจ
เอกสารประกอบ
https://www.malaysiakini.com/news/752034
https://bernama.com/en/news.php?id=2416442