‘ภาษีทรัมป์’ แกะรอยผลสะเทือนต่อไทยท่ามกลางฝุ่นตลบเศรษฐกิจโลก

ภาษีทรัมป์

ตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์กลับคืนสู่ทำเนียบขาวและสมรภูมิการเมืองอเมริกาอีกครั้ง โลกก็ต้องปั่นป่วนและรับมือกับ ‘นโยบายภาษี’ ที่เขาหยิบมาเป็นธงนำ เพราะทุกการขยับของสหรัฐฯ ไม่ได้สะเทือนเฉพาะในประเทศ แต่ยังสั่นคลอนเส้นทางการค้าและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก จนกลายเป็นคำถามใหญ่ที่หลายฝ่ายกำลังจับตา – ‘ภาษีทรัมป์’ จะเป็นเพียงแรงสั่นไหว หรือคือพายุลูกใหญ่ที่ซัดเศรษฐกิจโลก?

ประเทศไทยก็ไม่อาจอยู่นิ่งในสงครามภาษีครั้งนี้ เมื่อภาษีนำเข้าของไทยถูกกำหนดใหม่ภายหลังการเจรจาที่ 19% แม้จะลดลงจากเดิมที่ตั้งไว้ 36% แต่ก็ยังไร้คำตอบชัดเจนว่าไทยต้องแลกอะไรบนโต๊ะเจรจา และสหรัฐฯ ต้องการสิ่งใด? ความไม่ชัดเจนเช่นนี้ทำให้การประเมินผลกระทบและการกำหนดทิศทางต่อไปของไทยเต็มไปด้วยความยากลำบาก

ท่ามกลางฝุ่นตลบของความไม่แน่นอน วันโอวันชวนสำรวจต้นเหตุ ผลกระทบ และก้าวต่อไปของไทย ผ่านมุมมองและคมคิดของ พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร พร้อมด้วยเคนเน็ท โดนัลท์ นีลเวล นักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร และ ลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ นักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

หมายเหตุ: เรียบเรียงเนื้อหาบางส่วนจากงาน ‘ภาษีทรัมป์จบแล้วจริงหรือ’ จัดโดย KKP Research กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKPFG) เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568

ภาพจาก กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

วางโจทย์และความท้าทายของไทยที่ซุกซ่อนอยู่ในสงครามภาษี

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ในฐานะหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เริ่มต้นวงสนทนาด้วยการชี้ให้เห็นว่า แม้อัตราภาษีสินค้านำเข้าจากไทยสู่สหรัฐฯ ที่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ กำหนดไว้ที่ 19% จะถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าอัตราภาษีเดิมซึ่งสูงถึง 36% สำหรับสินค้าทุกชนิดจากประเทศไทย แต่ในรายละเอียดแล้ว ‘สงครามภาษี’ ครั้งนี้ยังคงเต็มไปด้วยโจทย์และความท้าทายสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมโลกการค้า การลงทุน และโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปอย่างถาวร โดยเขาแบ่งประเด็นท้าทายออกเป็น 3 เรื่องใหญ่

ประเด็นแรกคือ การเปลี่ยนบทบาทของสหรัฐฯ จาก ‘ผู้ซื้อ’ สู่ ‘ผู้ขาย’ และผลสะเทือนต่อทิศทางของโลก เนื่องจากโลกการค้าเสรีหลังสงครามโลกครั้งที่สองทำให้ประเทศร่ำรวยลดต้นทุนการผลิตได้ ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาก็พึ่งพาการจ้างงานและการลงทุนจากต่างชาติเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายประเทศ รวมถึงไทยต่างเห็นประโยชน์จากระบบการค้าเสรีตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

แต่เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ประกาศแนวคิด ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ (America First) เขากลับตั้งคำถามกับโลกว่า เหตุใดสหรัฐฯ จึงต้องเป็นผู้สร้างผลประโยชน์ให้กับประเทศอื่นๆ โดยละเลยผลประโยชน์ของตนเอง ทั้งที่ตลอดหลายปีสหรัฐฯ ต้องเผชิญการขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทรัมป์เลือกใช้ ‘ภาษี’ เป็นอาวุธสำคัญในการต่อรองกับนานาประเทศ เพื่อบรรลุผลประโยชน์แห่งชาติสูงสุด

“ที่ผ่านมา บางประเทศอาจบอกว่าโลกอยู่ได้โดยไม่ต้องมีอเมริกา แต่ในความเป็นจริง มันก็เหมือนการไปตลาดนัดแล้วไล่ผู้ซื้อออกไป เหลือเพียงแต่คนขายที่ต้องคุยกันเอง เพราะไม่มีใครซื้ออะไรทั้งนั้น สหรัฐฯ ใช้สถานะของตนในฐานะ ‘ผู้ซื้อของโลก’ เป็นเงื่อนไขในการต่อรองกับหลายประเทศ เพราะเขามองว่าที่ผ่านมาโลกเอาเปรียบเขา

“ดังนั้น การเจรจาจึงเกิดขึ้นเพื่อต้องการผลประโยชน์กลับมายังสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือผลประโยชน์ทางการเมือง กล่าวให้เข้าใจง่ายคือ สหรัฐฯ ไม่ต่างจากจักรพรรดิที่รอรับ ‘เครื่องราชบรรณาการ’ จากประเทศต่างๆ ในรูปแบบที่ตนพอใจ” พิพัฒน์กล่าว

“วันนี้สหรัฐฯ อาจไม่ต้องการ ‘การค้าเสรี’ (free trade) ที่เป็นมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาอีกต่อไป แต่เขาต้องการเพียง ‘การค้าที่เป็นธรรม’ (fair trade)” พิพัฒน์ย้ำ สหรัฐฯ จึงนำการเจรจาผ่านสงครามภาษีมาใช้เพื่อปรับภูมิรัฐศาสตร์ของโลกด้วย กล่าวคือเป็นการ ‘เตะตัดขา’ จีน เนื่องจากจีนถือเป็นคู่แข่งสำคัญที่มีการเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย
ภาพจาก กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

ประเด็นต่อมาคือ ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาการสวมสิทธิ (transshipment) กล่าวคือเป็นการสวมสิทธิสินค้าจากจีนเข้ามาในสหรัฐฯ โดยผ่านประเทศที่สามเพื่อหลบเลี่ยงอัตราภาษีนําเข้าสหรัฐฯ ซึ่งอาจกลายเป็นข้อจำกัดสำคัญสำหรับการค้าและการลงทุน โดยที่ในปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนว่าเงื่อนไขดังกล่าวจะมีความเข้มข้นในการตรวจสอบมากเพียงใด

ยุคที่การค้าโลกเต็มไปด้วยความเชื่อมโยงส่งผลให้มีการผลิตสินค้าที่เชื่อมโยงการผลิตจากหลายประเทศ (Multi Location Manufacturing) ทำให้มีการเริ่มคำนวณหามูลค่าเพิ่ม (Value Added) ซับซ้อนขึ้น และยังไม่มีใครตอบได้ว่า ต้องมีการเพิ่มมูลค่าในประเทศมากเท่าไหร่สินค้าเหล่านั้นจึงจะ ‘พ้นข้อหา’ การสวมสิทธิได้อย่างแท้จริง ส่งผลให้เงื่อนไขนี้อาจมีผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุน เนื่องจากในช่วงสองปีที่ผ่านมา ครึ่งหนึ่งของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของไทยมาจากจีน หากวันหนึ่งสินค้าหลายประเภทถูกตีความว่าเข้าข่ายการสวมสิทธิ ก็ไม่ใช่แค่การค้าระหว่างประเทศที่จะสะดุด แต่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทยเองก็อาจต้องเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่เช่นกัน

ประเด็นสุดท้ายคือ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเช่นนี้ ประเทศไทยต้องเริ่มหันกลับมาปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่เพื่อเร่งความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก เนื่องจากหากหนึ่งในข้อตกลงระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่นำไปสู่การเปิดเสรีภาคเกษตรในบางส่วน อาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรบางกลุ่ม จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ไทยต้องหันมาเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้พวกเขาสามารถสู้กับสินค้าที่จะนำเข้ามาได้ โดยพิพัฒน์ย้ำว่าไทยต้องไม่ปล่อยให้วิกฤตสูญเปล่า (do not waste a good crisis)

“ลองนึกภาพดูว่าถ้ามีเนื้อหมูส่งมาจากสหรัฐฯ แต่ขายในราคาที่ถูกกว่าเนื้อหมูในประเทศ แปลว่าความสามารถในการแข่งขันบางอุตสาหกรรมของเรากำลังได้รับผลกระทบ หากเราไม่ทำอะไรก็อาจนำไปสู่ปัญหาในระยะยาวได้” พิพัฒน์ยกตัวอย่าง

นอกจากนี้ ท่ามกลางปัญหาในเวทีภูมิรัฐศาสตร์โลกแล้ว ประเทศไทยยังคงเผชิญข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยเอง เพราะในปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงค้นหาว่าอะไรจะเป็น ‘เครื่องจักรเศรษฐกิจใหม่’ (New Growth Engine) ภายใต้เวลาที่จำกัดและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เดิมทีเรามองว่าประเทศไทยจะค่อยๆ เสียความสามารถในการแข่งขันไปเรื่อยๆ แต่สงครามภาษีครั้งนี้กลับกลายเป็นตัวเร่งที่ทำให้ไทยต้องเร่งหาคำตอบ

ทำไมสหรัฐฯ ถึงเริ่มสงครามภาษี?

ก่อนที่สังคมไทยจะก้าวไปทำความเข้าใจผลกระทบจากสงครามภาษีครั้งนี้ อาจจำเป็นต้องย้อนสำรวจสาเหตุและแรงจูงใจของสหรัฐฯ ที่อยู่เบื้องหลังการเปิดโต๊ะเจรจากับนานาชาติ เพื่อให้การวิเคราะห์ที่ตามมาเป็นไปอย่างตรงจุดและรอบด้านมากขึ้น

เคนเน็ท โดนัลด์ นีลเวล นักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร อธิบายว่า แม้นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากจะเห็นตรงกันว่าการเปิดการค้าเสรีและการลดภาษีนำเข้าส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกมาโดยตลอดหลายทศวรรษ เพราะช่วยสร้างประสิทธิภาพให้กับห่วงโซ่อุปทาน แต่ในอีกด้านหนึ่งก็กลับสร้าง ‘ต้นทุนทางเศรษฐกิจ’ ให้กับสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ

“ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ เป็นประเทศที่ริเริ่มการค้าเสรีและยินดีลดภาษีนำเข้า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือหลายบริษัทในสหรัฐฯ ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตออกไปยังประเทศที่มีต้นทุนแรงงานต่ำกว่า แล้วส่งสินค้ากลับมาขายในตลาดสหรัฐฯ อีกครั้ง” เคนเน็ทกล่าว พร้อมอธิบายว่าวิธีการเช่นนี้ทำให้ประเทศคู่ค้าใช้ตลาดสหรัฐฯ เป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการส่งออก มากกว่าที่จะพัฒนาอุปสงค์ภายในประเทศของตนเอง ผลลัพธ์คืออัตราการนำเข้าของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำให้สหรัฐฯ ตกอยู่ในภาวะ ‘ขาดดุลการค้า’ มหาศาล

แนวโน้มการย้ายฐานการผลิตยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ‘การจ้างงานในภาคการผลิต’ ของสหรัฐฯ ประชากรจำนวนไม่น้อยต้องสูญเสียโอกาสในการทำงานอย่างชัดเจน จนก่อให้เกิดกระแสการเมืองที่ตีกลับว่า ประชาชนไม่ต้องการการค้าเสรีอีกต่อไป แต่ต้องการให้รัฐบาลและนักการเมืองหันมาให้ความสำคัญกับการผลิตในประเทศ และดึงห่วงโซ่อุปทานกลับคืนสู่สหรัฐฯ อีกครั้ง – กระแสดังกล่าวเองที่ปูทางให้โดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในสมัยแรก

สำหรับเคนเน็ท มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าและการกีดกันทางการค้าในบางประเทศ “ไม่ใช่ความคิดสุดโต่งของทรัมป์เพียงลำพัง” แต่เป็นผลพวงจากกระแสทางการเมืองที่ก่อตัวมายาวนานหลายทศวรรษ เขาย้ำว่า “ทรัมป์ไม่ใช่ต้นเหตุของสงครามภาษี แต่ทรัมป์เป็นอาการ เพราะถึงวันนี้ไม่ว่าจะเป็นพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครต ต่างก็ไม่ต้องการกลับไปสู่การค้าเสรีในแบบเดิม และเห็นพ้องว่าการดึงการลงทุนกลับมาผลิตในประเทศคือกุญแจสำคัญในการสร้างงานให้กับชาวอเมริกันอีกครั้ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง โลกคงไม่มีวันย้อนกลับไปสู่การค้าเสรีที่มีภาษีระดับต่ำอย่างที่เคยเป็นมา”

เคนเน็ท โดนัลด์ นีลเวล
ภาพจาก กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

ปัญหาเชิงโครงสร้างอีกประการที่สหรัฐฯ ต้องเผชิญคือ ‘ภาวะขาดดุลแฝด’ (twin deficits) – การขาดดุลการคลังควบคู่ไปกับการขาดดุลการค้า กล่าวคือ รัฐบาลสหรัฐฯ ก่อหนี้สาธารณะจำนวนมากเพื่อใช้จ่ายภายในประเทศ แต่ประชาชนกลับนำเงินไปซื้อสินค้านำเข้ามากกว่า ส่งผลให้การใช้จ่ายเหล่านี้ไม่ได้ก่อให้เกิดการสร้างงานหรือเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อีกทั้งยังทำให้เกิดแรงกดดันต่อมูลค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้กำหนดนโยบายเริ่มวิตกกังวลมากขึ้น

ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ สหรัฐฯ จึงเลือกใช้ ‘ภาษี’ เป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันเป้าหมายสูงสุด ได้แก่ การดึงการผลิตกลับคืนประเทศ การสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการสร้างงานใหม่ พร้อมกันนั้นยังบังคับให้ประเทศคู่ค้าเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเคนเน็ทแบ่งกลุ่มประเทศที่ถูกปรับขึ้นภาษีออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

กลุ่มที่ 1: ประเทศที่ขาดดุลกับสหรัฐฯ ได้รับการขึ้นภาษีในระดับต่ำที่สุดราว 10% เนื่องจากสหรัฐฯ ยังเป็นผู้ส่งออกสุทธิไปยังประเทศเหล่านี้

กลุ่มที่ 2: ประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐฯ ในระดับปานกลาง เช่น หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถูกเพ่งเล็งมากขึ้น และต้องเจอกับอัตราภาษีที่สูงขึ้นราว 20%

กลุ่มที่ 3: ประเทศที่มีปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองกับสหรัฐฯ เช่น กลุ่ม BRICS ที่เคยแสดงเจตจำนงลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ จึงถูกขึ้นภาษีในระดับสูงสุดราว 40–50% ซึ่งสะท้อนปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงมากกว่าประเด็นทางเศรษฐกิจโดยตรง

ไทยต้องปรับท่ามกลางโลกที่ถูกบังคับให้เปลี่ยน

ลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ นักเศรษฐศาสตร์ ชี้ว่าแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นสิ่งที่ประเทศไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แม้ในปัจจุบันไทยอาจยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงเต็มที่ แต่ในอนาคตสงครามภาษีย่อมเกิดขึ้นและสร้างผลกระทบมายังประเทศไทยอย่างแน่นอน

แม้อัตราภาษีที่ไทยเผชิญอาจไม่แตกต่างจากประเทศอื่นในภูมิภาคมากนัก แต่หากพิจารณาในรายละเอียดกลับพบประเด็นที่น่ากังวล โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนมูลค่าเพิ่มในประเทศกับมูลค่าเพิ่มจากต่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยอยู่ในอันดับสาม รองจากเวียดนามและมาเลเซีย อีกทั้งนิยามของ ‘สินค้าสวมสิทธิ’ (transshipment) ในมุมมองของสหรัฐฯ ก็ยังไม่มีความชัดเจน ทำให้ไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเรียกเก็บภาษีเฉลี่ยมากกว่าประเทศอื่น โดยเฉพาะเมื่อสินค้าส่งออกของไทยหลายรายการสามารถถูกทดแทนได้จากประเทศคู่ค้าอื่นของสหรัฐฯ ได้ไม่ยากนัก

แม้หลายฝ่ายจะแสดงความกังวลว่าการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ จะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม แต่ลัทธกิตติ์มองว่าการวิเคราะห์ควรแยกตามประเภทสินค้า เพราะแต่ละกลุ่มมีอัตราภาษีแตกต่างกัน

 กลุ่มสินค้าสัดส่วนของการส่งออกไปยังสหรัฐฯอัตราภาษี
High Value Added (>60%)อาหาร, ข้าว, ยางพารา, ถุงมือยาง, อาหารสัตว์, กระเป๋า, เฟอนิเจอร์, รถยนต์และส่วนประกอบ, น้ำผลไม้, ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์, ยางรถยนต์15%-30%19% Tariff
Medium Value Added (40-60%)ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์, แอร์, ตู้เย็น, จอมอนิเตอร์, เตาอบ, แผงวงจรไฟฟ้า, เครื่องซักผ้า10%-25%40% Tariff
Low Value Added (<40%)แผงโซลาร์เซลล์, เราเตอร์30%40% Tariff

ข้อมูลจาก กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

กลุ่มแรก: สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added) เป็นสินค้าที่ใช้วัตถุดิบและผลิตในประเทศเป็นหลัก เช่น อาหาร ข้าว และอาหารสัตว์ ซึ่งถูกจัดเก็บภาษีในอัตรา 19% มีสัดส่วนส่งออกไปสหรัฐฯ ราว 15%-30% จึงไม่ถูกจัดว่าเป็นสินค้าสวมสิทธิ อย่างไรก็ตาม สินค้าบางประเภท เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และยางรถยนต์ ยังไม่ชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะจัดอยู่ในกลุ่ม High หรือ Medium Value Added ซึ่งเป็นประเด็นที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิด

กลุ่มที่สอง: สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ (Low Value Added) ได้แก่ สินค้าที่เพียงนำเข้าแล้วส่งออกต่อ เช่น แผงโซลาร์เซลล์ และเราเตอร์ โดยเฉพาะแผงโซลาร์เซลล์ที่ประเทศไทยนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น และส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ มากขึ้น จึงชัดเจนว่าไทยเป็นเพียง ‘ทางผ่าน’ ทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริงอาจไม่รุนแรงอย่างที่หลายฝ่ายกังวล

กลุ่มที่สาม: สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มปานกลาง (Medium Value Added) เป็นสินค้าที่มีการใช้วัตถุดิบและการผลิตในประเทศระดับหนึ่ง แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะตีความว่าเป็นสินค้าสวมสิทธิหรือไม่ หากถูกนับรวม สัดส่วนการส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯ กว่า 10%-25% จะถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญ

ลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ
ภาพจาก กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

จากทั้งหมดนี้สะท้อนว่า สงครามภาษีอาจไม่ได้กระทบการส่งออกของไทยทั้งหมด หากแต่กระทบแตกต่างกันไปตามประเภทสินค้า ตั้งแต่ไม่กระทบมากนัก ไปจนถึงกระทบรุนแรง

ทั้งนี้ ลัทธกิตติ์ยังชี้ว่าอีกหนึ่งความเข้าใจผิดที่มักพบคือ การอธิบายการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยว่าเกิดจากปัจจัยระยะสั้น เช่น มาตรการภาษีของสหรัฐฯ หรือความไม่แน่นอนทางการค้าโลก แต่หากพิจารณาตัวเลขย้อนหลังจะพบว่า การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของไทยมีรากเหง้ามาจาก ปัจจัยเชิงโครงสร้าง ที่ฝังลึกมานาน ดังนั้น ไทยจึงจำเป็นต้องดำเนินนโยบายเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง มากกว่าการมองเพียงปัจจัยระยะสั้น

“หากย้อนไปช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 หลายคนเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยชะลอตัวเพราะมาตรการล็อกดาวน์ และเมื่อเปิดเมืองเศรษฐกิจจะฟื้นกลับมา แต่จนถึงปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยก็ยังไม่สามารถเติบโตได้ตามความคาดหวัง” ลัทธกิตติ์ยกตัวอย่าง

เขาเชื่อว่าท่ามกลางความไม่แน่นอนเช่นนี้ ไทยควรพลิกจากวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสในการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นมาตรการการเยียวยาในระยะสั้นให้กับภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถดำเนินการต่อไปได้ หรือมาตรการของภาครัฐที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศผ่านการใช้นวัตกรรมต่างๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับการเข้ามาของสินค้าสหรัฐฯ ในอนาคตได้

ท้ายที่สุด  ลัทธกิตติ์มองว่าหากไทยเริ่มจัดการให้ไม่มีสินค้าสวมสิทธิเพื่อลดผลกระทบทางด้านภาษีจากสหรัฐฯ อาจทำให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีนลดลง แต่ในอีกด้านหนึ่งอาจเป็นโอกาสครั้งสำคัญของไทยในการหันกลับมาทบทวนนโยบายในการดึงดูดการลงทุนจากประเทศอื่นๆ และมุ่งเพิ่มมูลค่าเพิ่มการผลิตในประเทศมากขึ้นจากอดีต กล่าวคือวิกฤตการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่เป็นความท้าทายในระยะสั้นอาจกลายเป็นแรงขับเคลื่อนครั้งสำคัญที่ทำให้ไทยหันกลับมาปรับนโยบายในประเทศให้เติบโตและยั่งยื่นขึ้นในระยะยาว นอกจากที่จะทำให้เข้าเกณฑ์สำหรับการนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ แล้ว ยังทำให้ความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยปรับตัวดีขึ้นไปพร้อมกันด้วย

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save