“ไทยยังไม่ได้ประโยชน์จากสงครามการค้าเท่าที่ควร” : จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ กับข้อแนะนำถึงเศรษฐกิจไทย และทิศทางหลังเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024

วันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ สปอตไลต์จากทั่วโลกเตรียมสาดส่องไปยังสหรัฐอเมริกาที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกิดขึ้นในวันนั้น

ท่ามกลางประเด็นร้อนที่กำลังเกิดขึ้นในโลกมากมาย การเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้จึงนับเป็นอีกครั้งที่ทั่วทุกมุมโลกต่างจับตาผลเลือกตั้งอย่างลุ้นระทึก เพราะไม่ว่าผู้นำคนต่อไปจะชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หรือ กมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) ก็อาจส่งผลต่อทิศทางสถานการณ์โลกที่แตกต่างกันชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ และหากถามว่าประเด็นใดที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจมากที่สุด หนึ่งในนั้นคงไม่อาจหนีพ้นเรื่องทิศทางนโยบายสงครามการค้า (trade war) และสงครามเทคโนโลยี (tech war) ที่กำลังมีนัยต่อเศรษฐกิจการค้าโลกอย่างยิ่ง

สงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีเริ่มต้นขึ้นในยุคสมัยที่โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี (2016-2020) และยังคงดำเนินมาถึงปัจจุบัน ท่ามกลางการแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐฯ และจีน โดยทั้งสองประเทศต่างใช้มาตรการต่างๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยการตั้งกำแพงภาษีและการจำกัดการส่งออกสินค้าและเทคโนโลยีระหว่างกันในหลายหมวดหมู่   

แต่เมื่อช้างสารชนกัน ก็ย่อมสะเทือนถึงหญ้าแพรก โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีหลายประเทศในโลกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีไปในทิศทางที่แตกต่าง บางประเทศได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะจากการที่ประเทศยักษ์ใหญ่ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศตัวเองเพื่อหลบเลี่ยงกำแพงภาษี ขณะที่บางประเทศก็เสียประโยชน์ เช่น ด้วยเหตุจากการเข้าถึงวัตถุดิบการผลิตสินค้าบางอย่างได้ยากขึ้นจากสภาวะห่วงโซ่อุปทานโลกที่แตกออกจากกัน (decoupling)

แน่นอนว่าประเทศไทยที่มีความผูกโยงกับห่วงโซ่การผลิตโลกอยู่มหาศาลย่อมเป็นอีกประเทศที่ได้รับผลสะเทือนจากสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีของโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่คำถามคือประเทศไทยอยู่ฝั่งไหน ระหว่างประเทศที่ได้ประโยชน์หรือประเทศที่เสียประโยชน์?

จากคำถามที่หลายคนกำลังสนใจนี้ 101 จึงชวน รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหนึ่งในผู้วิจัยของ ‘โครงการศึกษาการแยกห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมสำคัญระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน และนัยยะต่อเศรษฐกิจการค้าไทย’  โดยความร่วมมือระหว่างสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาร่วมพูดคุยกันว่าภายใต้สงครามการค้า-สงครามเทคโนโลยี เราได้หรือเสียประโยชน์กันแน่ และเราจะมีแนวทางปรับตัวอย่างไรเพื่อให้สามารถโอบรับโอกาสที่เข้ามาและบรรเทาผลเสียที่เกิดขึ้นไปพร้อมกัน รวมทั้งชวนมองอนาคตว่าการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่กำลังจะมาถึงนี้จะมีนัยอะไรถึงทิศทางสงครามการค้า-สงครามเทคโนโลยีในแง่มุมที่ประเทศไทยต้องจับตา

จุฑาทิพย์ จงวนิชย์
ภาพจาก www.econ.tu.ac.th/

ท่ามกลางสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่เกิดขึ้นมาต่อเนื่องหลายปี มีภาคการผลิตสินค้าและบริการไหนของไทยที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ชัดเจนที่สุดบ้าง

สินค้าส่วนแรกที่เราได้ประโยชน์จากการที่สามารถเข้าไปในตลาดสหรัฐฯ ได้มากขึ้น คือเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างเช่นเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น กล้อง และไมโครเวฟ ถ้าเป็นเครื่องปรับอากาศ จากข้อมูลล่าสุดในปี 2023 จะเห็นว่าส่วนแบ่งตลาดของเราในสหรัฐฯ ขึ้นสูงจาก 0.9% ไปเป็น 40.7% ถือได้ว่าเป็นการเข้าตลาดสหรัฐฯ ไปได้เยอะมาก ส่วนตู้เย็นก็เพิ่มจากประมาณ 1.4% ไปเป็นถึง 9%

อีกส่วนหนึ่งคือเซมิคอนดักเตอร์ (สารกึ่งตัวนำที่เป็นทั้งตัวนำไฟฟ้าและฉนวนไฟฟ้าซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) ซึ่งมีอยู่สองกลุ่มที่เข้าตลาดสหรัฐฯ ได้มาก ตัวแรกคือ photosensitive device (อุปกรณ์กึ่งตัวนำ) จากเมื่อก่อนเรามีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐแค่ 4% กระโดดขึ้นมาเป็นเกือบ 16% แล้วส่วนนี้ก็กำลังมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อภาคการส่งออกของไทย และอีกตัวหนึ่งที่เราเข้าตลาดเขาได้เยอะคือตัววงจร ซึ่งจริงๆ แบ่งเป็นหลายประเภท เช่น logic chip (วงจรรวมตรรกะ), memory chip (วงจรหน่วยความจำ) และวงจรอื่นๆ โดยส่วนที่เราเข้าตลาดเขาได้เยอะคือวงจรอื่นๆ ซึ่งประเทศไทยที่ความถนัดในการผลิตในส่วนเซ็นเซอร์ โดยเราเพิ่มขึ้นมามีสัดส่วนอยู่ที่ราวๆ 6-7% ในตลาดสหรัฐฯ

ในส่วนการลงทุน ก่อนหน้านี้ถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน การเข้ามาลงทุนของต่างประเทศในไทยน้อยกว่าอย่างค่อนข้างมีนัย แต่เมื่อช่วงปีที่ผ่านมา การลงทุนของเรามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คือช่องว่างเริ่มแคบลงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านของเรา โดยส่วนที่เขาเข้ามาลงทุนเยอะคืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้อีกตัวหนึ่งที่ BOI (คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) กำลังได้รับการขอข้อมูลเข้ามาเยอะขึ้น ข้อมูล ไม่ว่าจะจากจีนหรือไต้หวัน ก็คือ PCB (Printed Circuit Board หรือแผงวงจรพิมพ์)

แต่ถ้าถามส่วนที่เราเสียประโยชน์ มันก็มีค่อนข้างมากเหมือนกัน อย่างพวกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ไมโครเวฟ หรือฮาร์ดดิสก์ ที่แม้เราจะเข้าไปในตลาดสหรัฐฯ ได้มากขึ้น แต่ถ้ามองในระดับตลาดโลก ที่จริงก็ถือว่าไทยมีปัญหา เพราะส่วนแบ่งตลาดโลกเราลดลง เช่น ถ้าดูที่เครื่องปรับอากาศ จะเห็นว่าส่วนแบ่งของเราในตลาดโลกลดลงประมาณ 0.2 หรือ 0.5 percentage point (จุดร้อยละ) เช่นเดียวกับไมโครเวฟและตู้เย็นที่ก็เจอสถานการณ์แบบนี้

สาเหตุของเรื่องนี้เป็นเพราะสินค้าประเภทนี้จากจีนออกไปในตลาดโลกมากขึ้น ด้วยความที่สินค้าของเรากับของจีนอยู่ในห่วงโซ่อุปทานคล้ายคลึงกัน คือทั้งจีนและไทยมีสถานะเป็นประเทศที่นำส่วนประกอบจากประเทศอื่นในภูมิภาคมาประกอบเหมือนกัน แล้วในเมื่อจีนส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปสหรัฐฯ ไม่ได้เพราะโดนกำแพงภาษี ก็ทำให้สินค้าส่วนหนึ่งต้องถูกขายภายในประเทศจีนเอง และอีกส่วนก็เทออกมาขายข้างนอก เพราะฉะนั้นในเมื่อเราอยู่ในห่วงโซ่อุปทานคล้ายจีน เราเลยมีโอกาสส่งสินค้าเหล่านี้ไปขายในจีนได้ค่อนข้างน้อย ซึ่งของเราถือว่าต่างจากมาเลเซีย ที่มีสถานะเป็นผู้ผลิตส่วนประกอบส่งออกไปประกอบยังต่างประเทศ ส่งผลให้มาเลเซียมีโอกาสส่งสินค้าเข้าไปยังจีนได้เยอะขึ้นและเยอะกว่าไทย แต่อีกทางหนึ่งสินค้าประเภทนี้ของไทยก็ถูกส่งไปขายในสหรัฐฯ ได้มากขึ้น เพราะสินค้าของเราทดแทนของจีนได้

แต่สำหรับตลาดจีน ก็ยังพอมีสินค้าบางตัวที่เราเข้าตลาดเขาได้บ้าง อย่างเช่น เครื่องปรับอากาศ แต่เป็นเครื่องปรับอากาศแบบพิเศษที่จับเชื้อโรค ไม่ใช่เครื่องปรับอากาศแบบติดผนัง นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่เราค่อนข้างมีความชำนาญในการผลิตอย่างตู้เย็นและไมโครเวฟที่เราส่งเข้าไปขายได้ แต่ถ้าไปดูมูลค่าของสินค้าพวกนี้ในรูปตัวเงินอาจไม่ได้เยอะมาก เลยบอกได้ว่าความสามารถของสินค้าอุตสาหกรรมของเราที่จะเข้าไปในตลาดจีนไม่ได้มีเยอะ ถือว่าลดลงเลยถ้าไปดูในแง่ส่วนแบ่งตลาด โดยลดลงมาอยู่ประมาณแค่ 1.6% เท่านั้นเอง

ในส่วนรถยนต์ก็เหมือนกัน จีนเร่งตัวขึ้นมามาก ทำให้รถยนต์ที่เราเคยส่งไปจีนได้กำลังลดลงอย่างชัดเจน มีแต่มอเตอร์ไซค์ที่เรายังพอส่งไปจีนได้โดยที่ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากประมาณ 30.2% ในตลาดของจีน ขึ้นมาอยู่ที่ประมาณใกล้ๆ 48-49% ในปี 2023 ฉะนั้นเรายังคงรักษาตลาดรถมอเตอร์ไซค์ของเราในจีนได้ค่อนข้างดี แต่ในส่วนที่เป็นรถยนต์สำเร็จรูปหรือชิ้นส่วนยานยนต์ ส่วนแบ่งตลาดของเราในจีนลดลงอย่างชัดเจน เท่ากับว่าเราเสียตลาดจีนไปในส่วนนี้

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับไทย มันทำให้อุตสาหกรรมส่งออกหลักของเราต้องเร่งปรับตัวมากกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เพราะขณะเดียวกัน จีนที่โดนกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ก็กำลังพยายามเร่งยกระดับเทคโนโลยี จนทำให้เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วซึ่งเราต้องตามให้ทัน และอีกเรื่องหนึ่งที่น่ากังวลก็คือประเทศเราจะถูกจับตาจากทางโลกตะวันตกเหมือนกัน ในฐานะที่เราเป็นฐานการส่งออกของจีน เพราะจีนผลักสินค้ามาที่ไทยแล้วส่งออกจากไทยไปประเทศเหล่านั้นเพื่อเลี่ยงภาษีที่สหรัฐฯ จัดเก็บจากจีน อย่างเช่นแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งเขาก็อยากจัดเก็บภาษีจากประเทศไทยอยู่เหมือนกัน

ถ้าชั่งน้ำหนักกันแล้ว ถือว่าไทยได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์มากกว่ากันจากสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น

ถ้ามองภาคการค้า จะเห็นว่าส่วนแบ่งในตลาดโลกของเราไม่เพิ่ม และในส่วน FDI (การลงทุนทางตรงระหว่างประเทศ) เรามีเพิ่มเข้ามาก็จริงอยู่ แต่ไม่เยอะเท่ากับประเทศอื่นในภูมิภาค เพราะฉะนั้นเลยคิดว่าประเทศไทยยังไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรจากสงครามการค้าเหมือนอย่างประเทศเพื่อนบ้าน เพราะถ้าไปดูประเทศอย่างมาเลเซียเอง ส่วนแบ่งในตลาดโลกของเขาดีดตัวขึ้นมากในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เวียดนามก็เหมือนกัน เพิ่มขึ้นชัดเจน แต่สำหรับประเทศไทย ส่วนแบ่งตลาดของเราถือว่าทรงตัวและลดลงเล็กน้อยในช่วงสองปีที่ผ่านมา

ปัจจัยอะไรที่ทำให้เราไม่ได้ประโยชน์จากสงครามการค้า-สงครามเทคโนโลยี เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านของเรา

ปัจจัยหนึ่งคือนโยบายการเดินหน้าของรัฐบาลเราไม่ชัดเจน เรื่องนี้สำคัญที่สุดเลย อย่างเช่นเมื่อก่อนเราบอกว่าเราจะทำ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และจะมี EEC (เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาพตะวันออก) ขึ้นมา แต่ต่อมาเราบอกว่าจะมี 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย แล้วต่อมาก็เปลี่ยนอีกว่าเราจะมี 8 วิสัยทัศน์ Ignite Thailand (การส่งเสริมศักยภาพอุตสาหกรรม 8 ด้าน) แต่ตอนนี้ถ้ามาตามข่าวดู จะเห็นว่า BOI กลับเสนอแค่ 7 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยไม่รวม medical tourism (การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ) ฉะนั้นถ้าเราเป็นนักลงทุน แล้วต้องมาเจอความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลแบบนี้ ประกอบกับการที่การเมืองไทยไม่นิ่ง ก็แน่นอนว่าเราจะชะลอการลงทุนเอาไว้ก่อน ในขณะที่เพื่อนบ้านของเราอย่างสิงคโปร์มีการเมืองที่ค่อนข้างมั่นคง ถึงแม้จะมีเรื่องคอร์รัปชันขึ้นมาบ้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เขาก็แก้ปัญหาได้ดีใช้ได้ ส่วนประเทศมาเลเซีย แม้การเมืองจะไม่ได้มั่นคงชัดเจนขนาดนั้น แต่เขาเดินหน้าแน่นอนโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ นโยบายของเขาชัดเจน ซึ่งเราขาดเรื่องนี้ และมันเป็นเรื่องสำคัญมากในการจะดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในประเทศ

สองคือเรื่องคน ทักษะแรงงานของเรายังสู้ประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้ โดยเฉพาะในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ มันอาจเกี่ยวที่ว่าแรงจูงใจของคนในประเทศเราอาจผิดเพี้ยนไปหรือเปล่า อย่างก่อนหน้านี้ก็เคยได้คุยกับคนที่จบวิศวกรมา แต่เขาบอกว่าไม่ได้อยากเป็นวิศวกรเลย เขาอยากเปิดร้านอาหาร เพราะเขารู้สึกว่ามันมีผลตอบแทนมากกว่า เพราะฉะนั้นมันเลยอาจเป็นเหตุจากทั้งระบบการศึกษาและระบบแรงจูงใจในประเทศที่อาจยังไม่ลงตัวจนทำให้คนไม่มุ่งพัฒนาทักษะในสายอาชีพวิศวกรหรืออาชีวศึกษาต่างๆ มากเท่าไหร่ นอกจากนี้ยังมีเรื่องความร่วมมือระหว่างรัฐบาล เอกชน และมหาวิทยาลัย ในการพัฒนากำลังคนในสายงานเหล่านี้ ซึ่งรัฐบาลก็กำลังพยายามทำอยู่ แต่ที่จริงไม่ใช่ว่าประเทศไทยไม่เคยมี เราเคยมีมาก่อนอย่างเช่นสัตหีบโมเดลที่เป็นความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและมหาวิทยาลัย โดยได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาล แต่สุดท้ายสัตหีบโมเดลก็หายไป เพราะฉะนั้นมันเลยไม่ใช่ว่าเราไม่เคยทำแบบนี้ แต่เราไม่เคยถอดบทเรียนต่างหากว่าทำไมโมเดลแบบนี้ถึงไปต่อไม่ได้และทำไมถึงไม่ได้รับการสนับสนุนต่อเนื่อง

เรื่องที่สามคือเรื่องกฎระเบียบ เพราะในประเทศเรา การจะไปตั้งโรงงานต่างๆ ต้องมีการขอใบประกอบอะไรเยอะมาก ซึ่งตรงนี้รัฐบาลก็พยายามเข้าไปช่วยอยู่โดยการเอาดิจิทัลเข้ามาช่วย แต่จากที่ได้คุยกับผู้ประกอบการบางคนมา เขาบอกว่ามันก็ยังไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่

และเรื่องที่สี่คือเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซี่งรัฐบาลก็น่าจะพยายามอยู่เหมือนกัน แต่ผู้ประกอบการหลายคนก็บอกว่ามันยังเข้าถึงยากอยู่ อย่างการขอเอกสารต่างๆ ก็ยากโดยเฉพาะกับผู้ประกอบการขนาดเล็กและกลาง รวมถึงดอกเบี้ยเงินกู้ก็ค่อนข้างสูง ฉะนั้นนี่ก็เป็นสิ่งที่เรายังจะต้องเดินหน้าแก้ไขเพื่อให้เราสู้กับประเทศเพื่อนบ้านได้

มีตัวอย่างของประเทศไหนที่ประเทศเราสามารถเรียนรู้เป็นแนวทางใดบ้าง ในการที่จะคว้าโอกาสจากสงครามการค้า-สงครามเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น

ปกติแล้วถ้าเป็นประเทศไทย พอเห็นว่าอุตสาหกรรมไหนเริ่มหมดความสามารถในการแข่งขันหรือเป็น sunset แล้ว เรามักจะไม่พัฒนาต่อ เช่น เมื่อก่อนเราเก่งในการผลิตเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม จากการมีต้นทุนแรงงานถูก แต่วันนี้เราไม่มีความสามารถในการแข่งขันแล้ว เนื่องจากต้นทุนแรงงานของเราสู้เวียดนามและกัมพูชาไม่ได้ เราก็ไม่พัฒนาต่อ เราไม่มีการคิดว่าเราจะพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้ดีขึ้นอย่างไร ไม่เหมือนในไต้หวันหรือญี่ปุ่น ที่มีการคิดว่าจะยกระดับอย่างไร เช่นเดียวกับมาเลเซียและสิงคโปร์

สิงคโปร์เริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 ตอนนั้นเขายังใช้วิธี import substitution (การทดแทนการนำเข้า) เหมือนประเทศไทย คือมีการปกป้องอุตสาหกรรมการผลิตของตัวเองระดับหนึ่ง แต่ถึงจุดหนึ่งเขารู้สึกว่ามาปกป้องมากขนาดนี้ไม่ไหว ก็เลยเปิดประเทศให้นักลงทุนต่างชาติมาลงทุน โดยเป็นการลงทุนในลักษณะ labor intensive (ใช้แรงงานเข้มข้น) เหมือนประเทศเราเหมือนกัน เพราะตอนนั้นแรงงานเขายังมีราคาถูก แต่ต่อมาเขาก็รู้ว่าถ้าต่างชาติเข้ามาลงทุนกับเขาได้เพราะแรงงานราคาถูก เขาก็สามารถย้ายฐานการผลิตไปที่อื่นที่แรงงานถูกกว่าได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเขาจึงพัฒนาคนและระบบการศึกษา และในช่วงนั้น ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของเขา เขาก็ยังผลิตในส่วน back-end (กระบวนการส่วนหลังบ้านหรือระดับปลายน้ำของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ เช่น การทดสอบและการประกอบ) แต่เขาเลือกทำในส่วนที่ล้ำหน้าขึ้น เช่น มาทำการทดสอบในอุปกรณ์ที่ยากขึ้น

ต่อมาเขาก็มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในปี 1984 ที่เขาไปเชิญบริษัทของสวิตเซอร์แลนด์เข้ามาลงทุนในส่วนการผลิตแผ่นเวเฟอร์ (wafer fabrication) ซึ่งถือเป็นส่วน front-end (ส่วนหน้าบ้านหรือระดับต้นน้ำของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์) แล้วพอเขาเข้ามาตั้งฐานสำเร็จบริษัทอื่น บริษัทอื่นๆ ก็ตามมา และระหว่างนี้เขาก็ไม่ได้หยุดพัฒนาคนของเขา นอกจากนี้สิงคโปร์ยังมีการดำเนินการในลักษณะ one stop service ที่ทำให้บริษัทที่สนใจเข้ามาลงทุนสามารถเข้ามาพูดคุยเจรจาทุกเรื่องได้เสร็จในที่เดียว ซึ่งทำให้ทุกอย่างสะดวก

เพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่าเวลาเรามีสินค้าที่เริ่มสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเปลี่ยนไปผลิตสินค้าอื่นเลย แต่เราควรต่อยอดพัฒนาสินค้านั้นให้มันมีศักยภาพและมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น อย่างในภาคอิเล็กทรอนิกส์ เราก็มีฐานค่อนข้างดีอยู่แล้ว โดยเราส่งออกในภาคนี้ได้เป็น 30% ของการส่งออกไทยทั้งหมดเลย แต่ปัญหาคือทำไมเราถึงไม่ต่อยอด และทำให้ระบบนิเวศในการผลิตของเราส่วนนี้มีความครบวงจร แต่การที่เราจะต่อยอดอุตสาหกรรมได้ก็คงต้องมีการช่วยเหลือจากรัฐด้วย ถ้าไปดูสิงคโปร์ เขาก็มีการให้ tax incentive (แรงจูงใจทางภาษี) กับผู้ประกอบการ มาเลเซียและเวียดนามก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน แต่ว่าการให้ incentive อย่างเดียวก็ไม่พอ ต้องมีการทำในลักษณะ one stop service อำนวยความสะดวกผู้เข้ามาลงทุนด้วย

ตัวอย่างอีกประเทศหนึ่งที่น่าสนใจก็คือเวียดนาม เขามีนโยบายชัดเจนว่าจะเดินหน้าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ แต่สิ่งที่เวียดนามทำตอนนี้ยังเป็นเซมิคอนดักเตอร์ส่วน back-end หรือเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์โดยส่วนใหญ่ ซึ่งก็ยังเน้นใช้แรงงานอยู่ดี เพียงแต่เขามีนโยบายชัดเจนว่าเขาจะเดินหน้าไปทำส่วน front-end รวมถึงการออกแบบด้วย มันเลยทำให้นักลงทุนต่างชาติสนใจเวียดนามค่อนข้างมาก บวกกับความเร็วในการกำหนดนโยบายของเวียดนาม ก็ทำให้เขาดึงดูดการลงทุนได้เร็วกว่าประเทศไทย เพราะที่ผ่านมาก็มีบริษัทเทคโนโลยีบางบริษัทที่สนใจลงทุนในไทย แต่ปรากฏว่าเวียดนามเร็วและชัดเจนกว่าเรา เลยทำให้เขาคว้าได้ก่อน

ที่ผ่านมา ประเทศไทยก็พยายามคว้าโอกาสจากสงครามการค้า-สงครามเทคโนโลยี ด้วยการประกาศตัวว่าอยากเป็นฮับ (หรือศูนย์กลาง) ของภูมิภาคในการผลิตสินค้าบางตัว เช่น อีวี (หรือยานยนต์ไฟฟ้า) และเซมิคอนดักเตอร์ คุณคิดว่าประเทศไทยตอนนี้มีศักยภาพเพียงพอในการเดินหน้าเรื่องนี้แล้วหรือยัง

ในส่วนอีวี นโยบายของเราค่อนข้างชัดเจนว่าเรากำลังจะสู้เพื่อเป็นฮับของภูมิภาค ซึ่งถ้าดูในภูมิภาคนี้ ประเทศที่เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมีประเทศเดียวคืออินโดนีเซีย ขณะที่มาเลเซียและสิงคโปร์ยังไม่ได้ตั้งใจว่าจะเป็นฮับในการผลิตเรื่องนี้

แต่ส่วนตัวก็มองว่าการที่รัฐบาลเดินหน้าให้การสนับสนุนรถยนต์ไฮบริด (ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงคู่กับไฟฟ้า) และปลั๊กอินไฮบริด (สามารถชาร์จไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟภายนอกได้) น่าจะเป็นทางที่ประนีประนอม คือเราเดินหน้าไปสู่อีวีแน่อยู่แล้ว แต่การสนับสนุนไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริดก็จะเป็นทางผ่านที่ดีในการเปลี่ยนผ่านไปสู่อีวีได้ เพราะตอนนี้ถ้าดูส่วนแบ่งตลาดยานยนต์ทั่วโลก จะเห็นว่าอีวียังเป็นส่วนน้อยอยู่ ส่วนประเทศใหญ่อย่างสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น หรือประเทศในอียู (สหภาพยุโรป) ก็ยังไม่ได้เข้ามาเล่นอีวีกันเต็มตัวขนาดนั้น อย่างสหรัฐฯ เอง แม้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะประกาศชัดว่าจะไปสู่อีวี แต่ตอนนี้เขาก็ดูจะให้สัดส่วนมันลดลงมา ขณะที่ญี่ปุ่นก็ไม่ได้ให้ความสนใจอีวีมาก แต่เขายังไปเน้นที่ไฮบริด อาจเป็นเพราะสู้คนอื่นไม่ทัน หรืออาจเป็นเพราะเขาไปสนใจในเทคโนโลยีอื่นมากกว่า เช่น รถไฮโดรเจน ที่เขากำลังจะพัฒนา ซึ่งถ้าเรามองว่าญี่ปุ่นเป็นฐานการผลิตหรือเป็นผู้ลงทุนใหญ่ในประเทศไทย เราก็น่าจะรักษาความสัมพันธ์ตรงนี้ไว้ พร้อมๆ กับที่ส่งเสริมอีวีไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ส่วนที่คิดว่าน่ากังวลคือมอเตอร์ไซค์ ซึ่งจริงๆ แล้วการทำมอเตอร์ไซค์ที่เป็น green vehicle (ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม) อย่างเช่นมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ง่ายกว่าทำรถยนต์ แต่มูลค่าของมันน้อยกว่า และการเป็นหน้าเป็นตาของประเทศก็อาจน้อยกว่า ทำให้รัฐมักจะให้ความสนใจไปที่รถยนต์มากกว่า แต่จริงๆ คิดว่าเราก็ควรพัฒนามอเตอร์ไซค์ควบคู่ไปด้วย เพราะจีนก็ยังไม่ลงมาเล่นในมอเตอร์ไซค์เต็มตัว และมันผลิตได้ไม่ยากสำหรับไทย รวมถึงรถกระบะด้วยที่เราก็ควรจะให้ความสำคัญมากขึ้น

นอกจากนี้ รัฐยังต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนไทยเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะด้วยความที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ชิ้นส่วนที่ใช้ประกอบลดลงไปเยอะมากเมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาป และทำให้ต้องใช้แรงงานน้อยลง และเราก็ยังต้องคิดด้วยว่าจะกระจายแรงงานที่เหลือไปทำงานอื่นใดได้บ้าง

เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ สหรัฐฯ และอียู เพิ่งประกาศขึ้นภาษีนำเข้าอีวีจากจีน ในสงครามการค้าระลอกใหม่ คิดว่านี่เป็นโอกาสของเราในการเป็นฮับการผลิตอีวีมากขึ้นไหม

อาจมีส่วน เพราะมันหมายความว่าจีนอาจต้องเข้ามาตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าในไทยมากขึ้น เหมือนอย่างบริษัทบีวายดี (BYD) ที่เพิ่งเข้ามา แต่ที่สุดแล้ว มันจะเป็นโอกาสของเราได้ก็ต่อเมื่อ หนึ่ง จีนต้องตัดสินใจเข้ามาลงทุนไทย ไม่ตัดสินใจไปอินโดนีเซีย และสอง ถ้าจีนเข้ามาแล้วต้องเข้ามาสร้างห่วงโซ่การผลิตให้ประเทศไทยด้วย เหมือนอย่างที่ญี่ปุ่นทำ แต่ปัญหาคือจีนมักจะใช้ชิ้นส่วนของเขาเอง ไม่ใช้ของไทย ฉะนั้นรัฐต้องเข้าไปเจรจาต่อรองเรื่องนี้ให้ได้ เช่น BOI อาจจะต่อรองให้ว่าถ้าคุณเข้ามาแล้ว จะมีบริษัทไทยไหนไหมที่จะเป็นพาร์ตเนอร์เข้ามาผลิตชิ้นส่วนให้ได้ สรุปแล้วมันจึงอยู่ที่ว่าเมื่อโอกาสมาแล้ว เราจะคว้ามันได้หรือเปล่า

แล้วในแง่ความพยายามเป็นฮับเซมิคอนดักเตอร์ คิดว่าประเทศไทยมีศักยภาพหรือยัง

คิดว่าความตั้งใจในเรื่องเซมิคอนดักเตอร์ของเรา มันมาจากความกลัวของเราว่าตลาดฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (Hard Disk Drive) ของเรากำลังลดลงอย่างชัดเจน เพราะกำลังถูกแทนที่ด้วยโซลิดสเตตไดร์ฟ (Solid State Drive) ที่มีความเร็วกว่าและราคาถูกลง โดยโซลิดสเตตไดร์ฟนั้นต้องนำบางส่วนจากเซมิคอนดักเตอร์มาใช้ในการผลิต ซึ่งประเทศสิงคโปร์ก็สามารถใช้ความเป็นฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ใหญ่ของตัวเองในการผลิตโซลิดสเตตไดร์ฟขึ้นมา เป็นเหตุให้ตลาดฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ลดลงชัดเจน แต่มันก็ไม่ได้หายไปไหน ฉะนั้นถ้าประเทศไทยพยายามพัฒนาตรงนี้ให้เป็นโมเดิร์นฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เข้าไปสอดรับกับการทำ data center (ศูนย์ข้อมูล) ได้ เราก็น่าจะยังรักษาโมเมนตัมการส่งออกสินค้าตัวนี้ได้อยู่

กลับมาที่เซมิคอนดักเตอร์ การส่งออกของเราในเรื่องนี้เพิ่มขึ้นชัดเจนในส่วนที่เป็นตัวเซ็นเซอร์, อุปกรณ์กึ่งตัวนำ และวงจรอื่นๆ ส่วนทางกับฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่ลดลง ฉะนั้นจึงคิดว่าเป็นสัญญาณที่ดีว่าเราจะเดินหน้าเซมิคอนดักเตอร์ได้ ถึงตอนนี้เราจะเป็นผู้ผลิตในส่วน Back-end อยู่ แต่อย่างที่บอกไปแล้วคือเราสามารถยกระดับการผลิตในส่วน back-end ขึ้นมาได้ เช่นทำการทดสอบหรือประกอบตัว dynamic random chip (ชิปดีแรม, DRAM) ซึ่งมีความซับซ้อนมากขึ้น และการจะทำสิ่งนี้ได้คือเราต้องมีแรงงานที่มีความพร้อมและมีนโยบายรัฐที่ชัดเจน ขณะที่ส่วน front-end ที่จริงประเทศไทยก็มี SMEs ที่ทำในส่วนการออกแบบอยู่ รัฐจึงสามารถเข้าไปให้แรงจูงใจหรือความช่วยเหลือเพื่อให้ SMEs เข้ามามีส่วนในด้านนี้มากขึ้นได้ เพราะฉะนั้นการจะเดินหน้าอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อาจไม่จำเป็นต้องทำแบบครบทุกอย่างทั้ง back-end และ front-end รวมไปถึงการต้องมีโรงงานผลิต แต่อาจใช้วิธีต่อยอดจากสิ่งที่เราทำได้อยู่แล้ว

ถ้าเทียบกันแล้ว รัฐอาจมีนโยบายเดินหน้าเรื่องอีวีชัดเจนกว่าเซมิคอนดักเตอร์ แต่ส่วนตัวคิดว่าถ้ามีการเดินหน้าอีวี ก็ต้องมีการเดินหน้าเซมิคอนดักเตอร์ไปคู่กัน เพราะสองอุตสาหกรรมนี้ก็ความเชื่อมโยงกันอยู่ แต่ด้วยความที่เซมิคอนดักเตอร์ต้องใช้เงินลงทุนสูง เลยทำให้รัฐอาจยังไม่กล้าเดินหน้าไป รวมถึงเรายังขาดแรงจูงใจที่จะดึงวิศวกรเก่งๆ เข้ามา

เนื่องจากการเลือกตั้งสหรัฐฯ กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ คิดว่าจะส่งผลต่อภาคการผลิตสินค้าและบริการของไทยอย่างไร มองฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้นอย่างไรระหว่างกรณีที่ทรัมป์กับแฮร์ริส ชนะ

คิดว่านโยบายของทรัมป์กับแฮร์ริสไม่ต่างกันนัก เพราะถึงอย่างไรเขาก็ยังต้องปกป้องประเทศเขาในการต่อสู้กับสินค้าจีน เพราะฉะนั้นสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีก็ยังคงมีต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นใครขึ้นมา แต่ข้อหนึ่งที่แฮร์ริสดีกว่าคือเขาจะไม่เซอร์ไพรส์ นโยบายที่ออกมาจะมีความชัดเจนกว่าและมีความต่อเนื่อง แต่ถ้าเป็นทรัมป์อาจมีอะไรเซอร์ไพรส์มากกว่า เราอาจไม่แน่ใจว่าอยู่ๆ เขาจะเพิ่มรายการสินค้าที่จะเก็บภาษีนำเข้าไหม หรือจะเลือกเก็บแค่กับจีนหรือเปล่า เพราะทรัมป์ก็ประกาศว่าเขาจะเก็บภาษีสินค้านำเข้ากับทุกประเทศด้วย และทรัมป์เองก็น่าจะจับตาประเทศเรามากกว่าแฮร์ริสในฐานะที่เราเป็นฐานการส่งออกให้กับจีนเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจากสหรัฐฯ และอีกข้อหนึ่งที่แฮร์ริสน่าจะดีกว่าคือเขายังเปิดเวทีคุยกับต่างชาติมากกว่า ขณะที่ทรัมป์ค่อนข้างปิดมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อสงครามการค้า-เทคโนโลยียังอยู่ไม่ว่าทรัมป์หรือแฮร์ริสจะขึ้นมา ก็ยังมีโอกาสที่สหรัฐฯ จะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นเหมือนกัน โดยเฉพาะในส่วนเซมิคอนดักเตอร์ เพราะตอนนี้ FDI ของสหรัฐฯ ในส่วนอิเล็กทรอนิกส์ก็เข้ามาไทยเยอะระดับหนึ่ง ฉะนั้นถ้านโยบายเราชัดเจน ก็คิดว่าจะสามารถดึงดูดการลงทุนของสหรัฐฯ เข้ามาได้ แต่เราก็ต้องสู้กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและเวียดนามซึ่งมีนโยบายชัดเจนกว่า และมีการเร่งพัฒนาคนชัดเจน อย่างมาเลเซีย นายกฯ อันวาร์ อิบราฮิม ก็บอกชัดเจนว่าต้อนรับการลงทุนในเซมิคอนดักเตอร์มาก และมีความพร้อมที่จะผลิตวิศวกรป้อนเข้าไปในอุตสาหกรรม เวียดนามก็เหมือนกัน เขาบอกว่าถึงแม้เขาจะยังผลิตในส่วน back-end อยู่ แต่เขาก็พร้อมจะผลิต front-end และต้อนรับบริษัทข้ามชาติที่จะมาลงทุนตั้งโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ

นอกจากนี้สิ่งที่น่ากังวลสำหรับทรัมป์คือเรื่องนโยบายกีดกันผู้อพยพ เพราะจากที่ได้อ่านบทวิเคราะห์ของ The Economist มา เขาประมาณการว่าถ้านโยบายผู้ลี้ภัยของทรัมป์ประสบความสำเร็จ จะมีการเนรเทศคนออกจากสหรัฐฯ ประมาณ 7.5 ล้านคน ซึ่งจะทำให้ GDP ของสหรัฐฯ ลดลงไปสะสม 12% ในสองปี แม้หลายคนในสหรัฐฯ จะมองว่านโยบายนี้เป็นเรื่องจำเป็น เพราะผู้อพยพเข้ามาแย่งงานคนอเมริกัน แต่ถ้ามีการเนรเทศเกิดขึ้นจริงแล้วไม่ได้มีนโยบายอื่นเข้ามาชัดเจน เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็จะถดถอยลงไปมหาศาล และถ้าตอนนี้ประเทศไทยมีการส่งออกไปสหรัฐฯ ในประเภทสินค้าจำนวนมากขึ้น การมีนโยบายนี้ของทรัมป์ก็จะเป็นเรื่องน่าห่วงสำหรับประเทศเราด้วย

ส่วนตัวคิดว่าประเทศไทยควรกระจายความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน เพราะในการส่งออกสินค้าบางตัว เราไปพึ่งพาสหรัฐฯ เยอะ เช่น อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ที่เราส่งออกไปสหรัฐฯ สูงถึง 70% ของการส่งออกจากไทยทั้งหมด ถือว่าเยอะมาก แล้วสมมติว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับสหรัฐฯ จนทำให้เศรษฐกิจถดถอยขึ้นมา เราก็จะเหนื่อย

มีภาคการผลิตสินค้าไหนไหมที่เราต้องจับตาเป็นพิเศษว่าจะได้รับผลกระทบจากการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้

ถามว่าสินค้าไหนจะเสียประโยชน์ มันอาจจะไปขึ้นกับจีนมากกว่า ด้วยความที่ระดับห่วงโซ่อุปทานของเรากับจีนใกล้กัน ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น กล้อง ไมโครเวฟ หรืออุปกรณ์กึ่งตัวนำ แม้สินค้าเหล่านี้ของเราจะไปแทนที่จีนได้ในตลาดสหรัฐฯ แต่ในตลาดอื่น เราจะสู้จีนได้ไหม และสิ่งที่น่ากังวลคือถ้าอุปทานสินค้าจากจีนออกมาในตลาดโลกเยอะ มันจะแทนที่สินค้าจากไทยได้ระดับหนึ่งเลย ฉะนั้นเราเองก็ต้องเร่งปรับตัวเหมือนกันในการที่จะทำให้สินค้าเรามีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น

หากว่าปัญหาใหญ่ของไทยคือการต้องรับมือสินค้าทะลักจากจีนเสียมากกว่า แล้วคุณคิดว่าเราจะมีแนวทางรับมือเรื่องนี้อย่างไรได้บ้าง

มันคงต้องทำไปหลายๆ ทางพร้อมกัน หนึ่งคือเราใช้มาตรการทางการค้าได้ โดยส่วนตัวเห็นด้วยกับการที่รัฐบาลเก็บ VAT (ภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากสินค้านำเข้าจากจีน เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกะทันหัน และสินค้าก็ไหลเข้ามาค่อนข้างแรง แม้การเก็บ VAT ในส่วนนี้จะจบในเดือนธันวาคม แต่คิดว่ามันอาจสามารถขยายออกไปได้ เพื่อให้เราเตรียมพร้อมในการที่จะสู้กับสินค้าทะลักเข้ามาได้

สองคือรัฐบาลต้องเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการร้องเรียน ถ้าผู้ประกอบการบ่นเฉยๆ แล้วไม่ร้องเรียน มันจะทำให้รัฐบาลทำงานได้ยาก และเมื่อผู้ประกอบการร้องเรียน สิ่งที่รัฐบาลจะทำได้คือการเข้าไปดูว่ามันมีการทุ่มตลาดจากจีนจริงไหม และจะทำให้รัฐสามารถหาแนวทางออกมาตรการตอบโต้ที่เหมาะสมได้ ซึ่งตอนนี้ก็มีหลายสินค้าที่รัฐบาลกำลังจะเข้าไปตรวจสอบ แต่กระบวนการตรวจสอบของรัฐก็ต้องรวดเร็วด้วยเหมือนกัน

สามคือการใช้ non-tariff barriers (นโยบายกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี) โดยใช้วิธีการตรวจสอบสินค้าอย่างเข้มงวด ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยด้วย เพราะสินค้าจีนที่เข้ามาจำนวนหนึ่งเป็นสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ อย่างเช่นพลาสติกที่มีสารปลอมปน ฉะนั้นแทนที่จะสุ่มตรวจครั้งเดียวต่อล็อตอย่างที่ทำมา อาจต้องสุ่มตรวจเพิ่มเป็น 3-4 ครั้งต่อล็อต เพื่อให้ยากขึ้นในการที่สินค้าเขาจะเข้ามา และขณะเดียวกันจะเป็นการช่วยรักษามาตรฐานของสินค้าให้เหมาะกับผู้บริโภคในประเทศเราด้วย

อีกข้อหนึ่งคือชาติอาเซียนต้องร่วมมือกัน ใช้กลไกอาเซียนที่เรามีให้เป็นประโยชน์ เพราะชาติอื่นในอาเซียนก็เจอปัญหานี้เหมือนกับเรา ฉะนั้นถ้าอาเซียนผนึกกันให้แข็งและตั้งโต๊ะเจรจาในเรื่องนี้ โดยอาจจะอยู่ภายใต้ FTA อาเซียน-จีนที่มีอยู่แล้ว มันก็น่าจะช่วยให้หาทางออกกันอย่างสันติได้ เพราะถ้าเราไปใช้มาตรการอะไรรุนแรงกับจีน ก็มีโอกาสสูงที่เขาจะตอบโต้และทำให้เราเจ็บ

สุดท้ายนอกจากตัวมาตรการ มันก็ต้องย้อนกลับมาที่ตัวเราด้วยเหมือนกันในการจะสู้กับเรื่องนี้ ซึ่งก็คือเราต้องปรับตัวด้วย โดยรัฐอาจมีการให้แหล่งเงินทุนเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าจีน และขณะเดียวกัน นโยบายอุตสาหกรรมก็ต้องเดินไปอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เราผลิตสินค้าที่มีคุณภาพได้มากขึ้นและราคาถูกลง โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยรวมถึงเพิ่มกำลังคน มันอาจฟังดูนามธรรมไปนิด แต่มันก็ต้องเดินหน้าแนวทางเหล่านี้ไปพร้อมๆ กัน เพราะไม่อย่างนั้นถ้าเราสู้ด้วยการใช้มาตรการและการเยียวยาอย่างเดียว ในระยะกลางถึงยาว เราจะสู้ลำบาก

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

18 Oct 2022

รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นได้อย่างไร?: จากสงเคราะห์คนยากไร้ สู่สิทธิสวัสดิการที่ขาดไม่ได้

โกษม โกยทอง เขียนถึง เส้นทางการกำเนิดรัฐสวัสดิการในโลกตะวันตกและข้อถกเถียงในการสร้างรัฐสวัสดิการในแต่ละรูปแบบ

โกษม โกยทอง

18 Oct 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save