ถ้าหลับตาแล้วลองนึกถึงความเป็นสแกนดิเนเวีย คงจะมีจินตนาการจำนวนมากที่เห็นว่า แสนจะเข้ากับสุนทรียะของความเป็นญี่ปุ่นอย่างน่าพิศวง ไม่ว่าจะความเรียบเกลี้ยง มินิมอล การเข้าไปข้างใน ความว่าง อาการสโลวไลฟ์ น้อยแต่งาม สัมพันธ์กับธรรมชาติ และคำคุณศัพท์อื่นๆ ที่เติมกันไปได้อีกมาก
ดูเหมือนว่าคู่มือการอยู่ในโลกปัจจุบันในฐานะชนชั้นเฉพาะหนึ่งๆ คงจะต้องมีคุณสมบัติที่สุนทรียะความเป็นญี่ปุ่นและสแกนดิเนเวียได้มอบให้แก่โลกสมัยต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อจะได้ไม่ว้าวุ่นทางจิตใจเกินไป
แต่ก็ไม่เป็นไรนัก เพราะบรรษัทเภสัชภัณฑ์ข้ามชาติมาช่วยอีกแรงหนึ่งอยู่แล้ว เบาใจลงได้ ขอเพียงมีปัญญาจะจ่าย มีรัฐที่มีระบบเศรษฐกิจเสรีเพียงพอ เพื่อช่วยออกกฎหมายให้เหมาะสมต่อกระบวนการทุนนิยมเภสัชภัณฑ์ พร้อมๆ ไปกับสนับสนุนบรรษัทประกันข้ามชาติอย่างแนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกัน ไร้รอยต่อ
ที่มา
ทว่า อาการที่เข้ากันแสนจะเหมาะเจาะนี้ย่อมจะต้องมีที่มาครับ และที่มานี้เองก็ถูกกำหนดด้วยความสัมพันธ์ทางวัตถุ ทางการเคลื่อนย้ายข้ามรัฐชาติ สงคราม และรวมถึงการแผ่ขยายอำนาจของจักรวรรดิ ไม่ว่าจะจักรวรรดิยุโรปหรือจักรวรรดิเอเชียก็ตาม พูดอย่างรวบรัดสักหน่อยก็คือ สิ่งเหล่านี้ย่อมจะต้องถูกสร้างขึ้น
คตินิยมศิลปะญี่ปุ่น (japonisme) เป็นอิทธิพลของศิลปะและสุนทรียะจากญี่ปุ่นที่ไปมีอิทธิพลอยู่ในยุโรปเหนือช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เป็นกระแสที่เกิดขึ้นหลังจากญี่ปุ่นต้องเปิดประเทศในช่วงกลางศตวรรษ นำไปสู่การรู้จักและหลั่งไหลพรั่งพรูของสุนทรียะจากญี่ปุ่นบางประการที่เข้าไปในยุโรปเหนือ คตินิยมที่ว่านี้ดำรงอยู่ต่อเนื่องไป ทั้งเปลี่ยนรูปแบบไปเนืองๆ ตามข้อถกเถียงของนักวิจารณ์ศิลปะและนักวิชาการ
เมื่อว่าตามท่านผู้รู้ ในภาพรวม คติเช่นนี้ไปเริ่มกันที่ฝรั่งเศส ผ่านผลงานของศิลปินระดับโลกหลายต่อหลายคน แต่ในที่นี้ผมขอถือวิสาสะข้ามมาที่สแกนดิเนเวีย ภูมิภาคของชายขอบยุโรป เพื่อไล่เรียงให้เห็นถึงบางเส้นทางของการเดินทางความคิด รสนิยม และสุนทรียะครับ
เข้าสแกนดิเนเวีย
ความรู้จักญี่ปุ่นในสแกนดิเนเวียแรกๆ มาจากข้อเขียนของนักธรรมชาติวิทยชาวสวีเดน คาร์ล ปีเตอร์ ทุนเบิร์ก (Carl Peter Thunberg, 1743-1828) ที่เดินทางไปญี่ปุ่นในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 และเขียนบันทึกการเดินทางของตน จากนั้นหนังสือหลายเล่มของเขาก็แพร่ไปในภูมิภาค พร้อมๆ กับการกระจายไปของหนังสือว่าด้วยญี่ปุ่นของนักเดินทาง พ่อค้า นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ โดยชาวยุโรปต่างๆ ที่ชาวสแกนดิเนเวียได้ผ่านหูผ่านตา นอกจากนี้ งานนิทรรศการนานาชาติที่จัดกันในเมืองใหญ่ของยุโรปช่วงศตวรรษที่ 19 ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่รสนิยมเหล่านี้เผยแพร่ด้วย
เดนมาร์ก
ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษนี้เอง นิตยสาร Kunstbladet ของเดนมาร์กมีส่วนสำคัญ และในปี 1888 มีการจัดนิทรรศการศิลปะญี่ปุ่นในโคเปนเฮเกน พร้อมทั้งพิพิธภัณฑ์ออกแบบเดนมาร์กก็ซื้องานศิลปะญี่ปุ่นมาเก็บมากขึ้น
จิตรกรและศิลปินนักออกแบบชาวเดนมาร์ก พิเอโตร โครห์น (Pietro Krohn, 1840-1905) มีส่วนสำคัญ เขารู้จักกับคนในวงการสะสมและในตลาดศิลปะมากมาย และเขาออกแบบชุดถ้วยโถโอชามที่ได้รับอิทธิพลจากคตินิยมญี่ปุ่นนำไปแสดงในงานนิทรรศการนานาชาติในปารีส และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสถาปนาเดนมาร์กให้เป็นแหล่งออกแบบเครื่องกระเบื้องที่เป็นที่รู้จัก
นอกจากนี้ อาร์โนลด์ ครูก (Arnold Krog, 1856-1931) ผู้อำนวยการศิลปะของ Royal Copenhagen เป็นบุคคลที่ทำให้แนวทางของบริษัทถ้วยชามระดับโลกแห่งนี้เน้นไปในทางที่ดำรงอยู่มาถึงในปัจจุบัน
ถ้าไปดูผลงานของศิลปินเดนมาร์กระดับโลกอย่าง วิลเฮล์ม ฮัมเมอร์เชย (Vilhelm Hammershøi) ก็มีการวิเคราะห์ว่าหลายงานของเขาได้รับอิทธิพลจากคตินิยมญี่ปุ่นเช่นกัน เช่น Interior with potted plant on card table (1910-11)
สวีเดน
ข้ามไปทางฝั่งสวีเดน เจ้าชาย ยูจีน (Prince Eugen, 1865-1947) เป็นนักสะสมศิลปะ และด้วยการเป็นชนชั้นนำ เขาก็ทำให้รสนิยมเรื่องศิลปะญี่ปุ่นแพร่ไปอย่างรวดเร็วมากขึ้นในสวีเดน
พร้อมๆ ไปกับบริษัทเครื่องกระเบื้องเรอสตรันด์ (Rörstrand) ก็ทุ่มความสนใจไปในทางคตินิยมญี่ปุ่น และงานกระเบื้องของบริษัทนี้ก็ก้าวเข้าสู่จุดสุงสุดในงานแสดงนิทรรศการนานาชาติที่สตอคโฮล์มในปี 1897
นอร์เวย์
เส้นทางคตินี้ปรากฏในนอร์เวย์เช่นกัน และเด่นชัดจากการรวมตัวของศิลปินชาวนอร์เวย์หกคนรวมกลุ่มกันและไปทำงานศิลปะช่วงหน้าร้อนหนึ่ง เป็นที่รู้จักในชื่อ Fleskum Summer ของปี 1886 งานของพวกเขาถือเป็นจุดตั้งต้นหนึ่งของคตินิยมญี่ปุ่นในประวัติศาสตร์ศิลปะของนอร์เวย์
ในปี 1897 เกิดความคึกคักในวงการศิลปะนอร์เวย์เมื่อมีการจัดนิทรรศการศิลปะญี่ปุ่น พร้อมๆ ไปกับการจัดปาฐกถาสาธารณะในเรื่องนี้
การเดินทางหลายทาง
ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างเพียงเสี้ยวเดียวเพื่อนำมาเล่าไล่เรียงให้ผ่านผู้อ่าน ให้เห็นถึงการเดินทางของรสนิยมและความคิด รวมทั้งสุนทรียะ ที่ปรากฏขึ้นในชั่วขณะหนึ่งๆ ของประวัติศาสตร์ เป็นกระแสการเดินทางของความคิดซึ่งไม่ได้เป็นทางเดียว หรือเส้นเดียวมุ่งจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง
พร้อมๆ กันไปกับการต้องย้ำให้เห็นว่า การเดินทางเหล่านี้ไม่ได้ปราศจากแรงตึงเครียด ขัดแย้ง และไม่ใช่การเดินทางที่เท่าเทียมแต่อย่างใด
และเกิดขึ้นตลอดมาตั้งแต่เรากำลังเป็นสมัยใหม่
อ้างอิง
Gabriel P. Weisberg, Anna-Maria von Bonsdorff and Hanne Selkokari (eds), Japanomania in the Nordic Countries, 1875-1918 (2016).