เมื่อนักประวัติศาสตร์มองย้อนไปจากปัจจุบันเพื่อพยายามทำความเข้าใจอดีต สิ่งที่สั่งสอนกันอยู่ในห้องเรียนวิชาวิธีวิทยา คือการระมัดระวังมิให้ทัศนคติ ค่านิยม ความเห็น และอุดมคติของปัจจุบันเข้าไปตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต นักประวัติศาสตร์ฝึกฝนวินัยในการศึกษาหลักฐานเพื่อให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นท่ามกลางข้อจำกัดและบริบทแวดล้อมของเหตุการณ์นั้นๆ เอง
ทว่า มิใช่เพียงแต่อดีตเท่านั้น ปัจจุบันเองก็เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดและบริบทแวดล้อม นักประวัติศาสตร์อาชีพจะระมัดระวังการใช้ทัศนคติ ค่านิยม ความเห็น และอุดมคติของปัจจุบันในการทำความเข้าใจอดีตได้เช่นไรเล่า คำถามเช่นนี้จึงนำมาสู่ข้อเสนอว่า ไม่มีประวัติศาสตร์ใดปราศจากอคติ ฉะนั้น ประวัติศาสตร์ย่อมเป็นบทสนทนาอันไม่รู้จบกับอดีต เมื่อปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปฉันใด อดีตก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปฉันนั้น ข้อเสนอเช่นนี้ย่อมเป็นข้อถกเถียงของวิธีวิทยาในสาขาวิชาเอง
วันนี้ผมจะขอนำมาเล่าเพียงเฉพาะเรื่อง ว่าด้วยบทบรรยายทางประวัติศาสตร์เฉพาะหนึ่งๆ ที่สถาปนาขึ้นและเป็นที่เข้าใจกันทั่วไป ว่าด้วยเรื่องกำเนิดอุตสาหกรรมนม และผลิตภัณฑ์จากนมของเดนมาร์ก จากหนังสือที่อ่านสนุกคือ A Land of Milk & Butter: How Elites Created the Modern Danish Industry (2018) โดย มาร์คัส แลมป์ (Marcus Lampe) และ พอล ชาร์ป (Paul Sharp)

ความเข้าใจโดยทั่วไป
หนังสือเริ่มต้นด้วยความเข้าใจโดยทั่วไปของการกำเนิดประเทศเดนมาร์กสมัยใหม่ ซึ่งมีคุณลักษณะเด่นประการหนึ่ง คือการเกิดขึ้นของการรวมหมู่เป็นสหกรณ์ของเกษตรกรขนาดกลางและขนาดเล็ก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันทั้งประเทศในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เรื่องราวการรวมตัวของชาวนาชาวไร่นี่แทบจะเป็นเรื่องเล่าหลักของการกำเนิดชาติเดนมาร์กสมัยใหม่ทีเดียว
การกลายเป็นสมัยใหม่ของเศรษฐกิจเดนมาร์ก จึงเป็นเรื่องเล่าที่ต่างจากที่อื่นโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ในแง่ที่ว่า เรื่องเล่านี้มีเกษตรกรอยู่ตรงใจกลาง วีรบุรุษและวีรสตรีของการกลายเป็นสมัยใหม่มิใช่โรงงานอุตสาหกรรมขนาดยักษ์ใหญ่ในเมือง แต่เป็นคนธรรมดาที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มขนาดไม่ใหญ่นักในชนบท และต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือผลักดันประเทศเข้าสู่สมัยใหม่ พัฒนาเกษตรกรรมและเศรษฐกิจ รวมทั้งก่อร่างสร้างชาติด้วยกัน เป็นฐานของการก่อร่างสร้างระบอบประชาธิปไตย เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มาจากเบื้องล่าง เป็นฉันทามติของประชาชน
บุคคลสำคัญที่เป็นสัญลักษณ์แทนความเคลื่อนไหวของเรื่องเล่านี้คือ สาธุคุณ นิโคไล กรุนดท์วิก (N. F. S. Grundtvig, 1783-1872) ซึ่งเป็นบุคคลใจกลางการเกิดและพัฒนาการของโรงเรียนราษฎร (Folkeskolen)
ความเคลื่อนไหวของคนธรรมดาเข้าร่วมกัน จนในที่สุดก็ก่อร่างสร้างประเทศสมัยใหม่ กลายเป็นต้นแบบของการ ‘ฮุกกะ’ ที่นานาประเทศทึ่งและใฝ่ฝันจะมี

ตั้งคำถาม
แต่ใน A Land of Milk & Butter แลมป์และชาร์ปตั้งคำถามตรงไปตรงมาว่า กระบวนการก่อตัวของสหกรณ์ทั่วประเทศอย่างฉับพลันและเข้มข้นในช่วงเวลาปลายศตวรรษที่ 19 นั้นเป็นไปได้อย่างไร การรวมตัวเป็นสหกรณ์นี้มีรูปแบบมาจากที่อื่นที่ใดหรือไม่ และเหตุใดจึงแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
นำมาสู่การตั้งข้อสังเกตว่า นี่อาจจะเป็นประวัติศาสตร์ที่เขียนกันขึ้นมาใหม่ เป็นประวัติศาสตร์ชาตินิยมที่สะท้อนสภาวะการสูญเสียขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นหลังจากเดนมาร์กพ่ายแพ้สงครามแก่ปรัสเซียในปี 1864 และสูญเสียดินแดนชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์ (Scheleswig-Holstein) ไป
เป็นเรื่องเล่าประวัติศาสตร์เสียดินแดน ที่ต้องเขียนเรื่องเล่าขึ้นมาใหม่เพื่อเยียวยาความสูญเสียของตนเอง นำมาสู่ประโยคจับใจชาวเดนมาร์กว่า ‘อะไรที่สูญเสียไปข้างนอก ย่อมจะต้องได้มาจากข้างใน’ (Hvad udad tabes, skal indad vindes)
และไม่มีอะไรจะเหมาะสมไปกว่าเรื่องเล่าของการก่อร่างสร้างสหกรณ์ของเกษตรกรเดนมาร์ก ที่ช่วยสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจากความสูญเสียครั้งใหญ่นั้น
การสนทนากับอดีต
หนังสือเสนอเรื่องเล่าที่กลับกันกับความเข้าใจเดิม ใช้วิธีการทางปริมาณเพื่อชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงอาจจะไม่ฉับพลันทันทีเท่าที่เข้าใจกันมาก่อน แต่มีบทบาทของขุนนางพูดภาษาเยอรมันจำนวนมาก รวมทั้งผู้มีองค์ความรู้และเทคโนโลยีการเกษตรจากเยอรมนีตอนเหนือที่ย้ายเข้ามาอยู่ในเดนมาร์ก ซึ่งเป็นดินแดนที่ล้าหลังกว่าและมีโอกาสทางเศรษฐกิจ คนเหล่านี้เป็นผู้วางรากฐานริเริ่มการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 ซึ่งต่อมาทำให้การเคลื่อนไหวของระบบสหกรณ์โดยเกษตรในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 นั้นเป็นไปได้ และแพร่กระจายอย่างรวดเร็วมากขึ้น
รากฐานที่ว่านี้มีหลายประการ หนึ่งในนั้นคือการนำเข้าเทคโนโลยี เรียกว่าระบบฮ็อลชไตน์ (Holstein system ในภาษาเยอรมันคือKoppelwirtschaftและในภาษาเดนมาร์กคือ kobbelbrug) ในการทำฟาร์มนมเข้ามา ซึ่งทำให้มีการเพิ่มผลผลิตได้จำนวนมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ระบบและเทคโนโลยีแบบใหม่
ระบบที่ว่านี้เริ่มต้นขึ้นในฮ็อลชไตน์ตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 16 จากเหล่าเจ้าที่ดินทั้งหลายที่ต้องการแก้ปัญหาว่า ทำการเกษตรประณีต ผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่ในอัตราสูง ย่อมต้องการปุ๋ยคอกจำนวนมากพร้อมๆ ไปกับอาหารสัตว์ การผลิตมักติดขัดหยุดชะงักเพราะปริมาณปุ๋ยและอาหารสัตว์ไม่เพียงพอ
จากเดิมมีระบบเกษตรหมุนเวียนสามแปลงสามปี (three-field crop rotation) ซึ่งไม่สามารถให้ผลอย่างต่อเนื่องได้ ก็ขยายออกไปเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนและสามารถผลิตได้อย่างเข้มข้น และในที่สุดสามารถมีปริมาณปุ๋ยและพร้อมๆ กันไปอาหารสัตว์ได้ตลอด
นอกจากนี้ เจ้าที่ดินจะให้เช่าวัวนมกับผู้เช่าที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ ผู้มีความเชื่อมต่อกับตลาดและจะนำนมออกไปขายในตลาดเอง นี่รวมถึงผลิตภัณฑ์จากนมที่สำคัญยิ่ง คือ เนย ด้วย

จากระบบเกษตรหมุนเวียน การผลิตภายใต้ผู้มีองค์ความรู้นี้ก็จะมีระบบการทำบัญชี พร้อมๆ ไปกับความคิดเรื่องการทำการเกษตรแบบทันสมัย
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการทำการเกษตรในยุโรปในช่วงเวลาศตวรรษที่ 18 ซึ่งมุ่งไปสู่การผลิตตอบรับอุปสงค์มหาศาลของตลาด พร้อมๆ ไปกับการกลายเป็นเมืองอย่างรวดเร็วซึ่งย่อมต้องการอาหาร และบนโต๊ะอาหารของชาวยุโรปก็ย่อมมีนมและเนยเป็นส่วนสำคัญ
ข้อเสนอของ A Land of Milk & Butter จึงพยายามที่จะเน้นให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงของเกษตรกรรมเดนมาร์กสมัยใหม่เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงจากเบื้องบน มากกว่าจะเป็นการริเริ่มเพียงฝ่ายเดียวของเกษตรกร กระนั้นเองหนังสือยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการลดความสำคัญของการเคลื่อนไหวรวมตัวเป็นสหกรณ์ของเกษตรกรเดนมาร์กแต่อย่างใด
แต่เน้นตรงที่ว่า ไม่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ใดที่เกิดขึ้นลอยๆ ย่อมมีที่มาอย่างยาวนานเสมอ
อ้างอิง
– Markus Lampe and Paul Sharp, A Land of Milk and Butter: How Elites Created the Modern Danish Industry (2018)
– Mats Olsson, Review in Scandinavian Economic History Review 69(3), 2021, 326-7.