ควรจะเป็นเรื่องที่ต้องเน้นอยู่เสมอว่า หากเราต้องการเข้าใจประวัติศาสตร์ของภูมิภาคสแกนดิเนเวียให้รอบด้านนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภูมิภาคนี้กับยุโรปภาคพื้นทวีปและรัสเซียด้วยอย่างสำคัญ
โดยเฉพาะเมื่อทะเลบอลติคเข้ามามีอิทธิพลในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกยุโรปในศตวรรษที่ 16 การเปลี่ยนแปลงสำคัญของสถาบันฟิวดัลส่งผลต่อการขยับปรับเปลี่ยน และการกำเนิดศูนย์กลางทางอำนาจและการค้าทั่วภูมิภาค ประเด็นหลักในที่นี่คือความสัมพันธ์และความขัดแย้งระหว่างสถาบันกษตริย์และทุน
หน้าร้อนนี้ ผมเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟผ่านเมืองฮัมบูร์ก (Hamburg) และลือเบกค์ (Lübeck) จึงขอนำเรื่องเก่ามาเรียนเล่าว่า บริเวณเยอรมนีตอนเหนือ สำคัญต่อประวัติศาสตร์สแกนดิเนเวียเช่นไร
สันนิบาตฮันซา (Hanseatic League)

มีองค์กรทางการค้าหนึ่งซึ่งกลายเป็นผู้คุมการค้าในทะเลเหนือและบอลติคอย่างมีอิทธิพลสูงสุดเกือบ 300 ปี ซึ่งมีอิทธิพลมากจนถึงขนาดกำหนดการขึ้นและลงของกษัตริย์ได้ และพร้อมๆ กันนั้นก็เป็นแรงผลักให้เกิดการร่วมมือของสถาบันกษัตริย์ในสแกนดิเนเวียเพื่อทวงคืนผลประโยชน์
ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 12-13 เกิดการรวมตัวกันของกลุ่มพ่อค้า โดยเฉพาะพ่อค้าเยอรมันที่ค้าขายในบริเวณทะเลเหนือและทะเลบอลติค แรกเริ่มเดิมทีเป็นการรวมตัวกันอย่างหลวมๆ เพื่อการแลกเปลี่ยนสินค้าและข้อมูล
เมืองหลักที่เป็นเสมือนเมืองหลวงของสันนิบาตฮันซาคือเมืองลือเบกค์ เนื่องจากเชื่อมโยงการค้าไปทั้งสองทิศ ลากยาวมาตั้งแต่ตะวันตกจากลอนดอน (London), บรูจ (Bruges), ฮัมบูร์ก สตรัลซุนด์ (Stralsund), ดันท์ซิช (Danzig), วิสบี (Visby), รีกา (Riga), รีวัล (Reval) และนอฟโกรอด (Novgorod) ฝั่งตะวันออก รวมไปถึงอีกหลายต่อหลายเมืองไปตลอดเส้นทาง เช่น เบอร์เกน (Bergen) ของนอร์เวย์

จะเห็นได้ว่าเมืองอย่างวิสบี ซึ่งเป็นเกาะของสวีเดน ถือเป็นเมืองฮันซาที่สำคัญในเส้นทางการค้าฮันซานี้ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สวีเดนมีส่วนร่วมกับสันนิบาตฮันซาอย่างมาก โดยเฉพาะเส้นทางการค้ากับรัสเซีย
สินค้าที่เดินทางผ่านเส้นทางฮันซานี้มีหลากหลายเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอาหารและวัตถุดิบ ตั้งแต่ ผ้าขนสัตว์ ลินิน หนังสัตว์ ปลาแห้ง เกลือ แวกซ์ ธัญพืช ของป่า อำพัน เหล็ก ไปจนกระทั่งถึงไวน์และเบียร์
เมื่อมีอิทธิพลทางการค้ามากขึ้น ช่วงกลางศตวรรษที่ 14 มีการตั้งสภาฮันซา (Hanseatic Diet) ซึ่งทำให้องค์กรนี้ไม่ได้เป็นเพียงการรวมตัวอย่างหลวมๆ อีกต่อไป แต่เป็นองค์การทางเมืองด้วย เพราะเรื่องการเมืองกับเรื่องการค้าย่อมเป็นเรื่องเดียวกันเสมอไป
สภาฮันซ่าจะได้รับการสนับสนุนจากเมืองที่เป็นสมาชิกสันนิบาต พวกเขาจะมีกฎหมายร่วมกันเพื่อปกป้องการค้าเสรี และแน่นอนว่า ย่อมจะมีข้อตกลงร่วมกันในการร่วมปกป้องผลประโยชน์ด้วยกำลังทางการทหาร ในกรณีที่ผลประโยชน์ของสมาชิกเป็นอันตรายหรือถูกคุกคาม
เมื่อภัยคุกคาม

ภัยที่ว่า ก็คืออำนาจของกษัตริย์ที่ต้องการผลประโยชน์จากเส้นทางการค้าอันมีมูลค่ามหาศาลนี้
เหตุการณ์สำคัญ คือ ในปี 1360 กษัตริย์วัลเดอร์มาที่สี่ (Valdemar IV, 1320-1375) ของเดนมาร์ก ดำเนินนโยบายรุกเข้าไปยึดผลประโยชน์ในเส้นทางการค้าบอลติค เข้ายึดภูมิภาคสแกเนีย (Skåne) และเกาะกอตแลนด์ (Gotland) ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองวิสบี
นอกจากนี้ก็ขึ้นอัตราภาษีกับเหล่าพ่อค้าฮันซาทั้งหมดหากใครจะมาค้าขายในเขตอิทธิพลของเดนมาร์ก พร้อมๆ กับเข้าคุมช่องแคบเออระซุน (Øresund) ไม่ยอมให้เชื่อมไปค้าขายกับเมืองดัชต์ ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าของตน เหล่านี้เป็นการโจมตีเข้าไปที่กล่องดวงใจของสันนิบาตฮันซา
ผลคือ เกิดการระดมกองกำลังจำนวนมากจากสภาฮันซาเข้ารบกับเดนมาร์ก ตามมาด้วยการยอมแพ้ของเดนมาร์ก และสินธิสัญญาสตรัลซุนด์ (Treaty of Stralsund, 1370) ซึ่งเดนมาร์กต้องยอมให้การค้าผ่านเดนมาร์กได้อย่างเสรี แถมยังต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าเสียหาย
สนธิสัญญานี้ทำให้สันนิบาตฮันซามีอิทธิพลถึงขนาดว่า มีอำนาจยอมรับหรือปฏิเสธกษัตริย์เดนมาร์กองค์ต่อไปด้วย
เหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดสูงสุดของอำนาจสันนิบาตฮันซาทีเดียว
อำนาจทางการเมือง

สันนิบาตฮันซาดำรงต่อมา แต่ก็จะค่อยๆ เสื่อมอำนาจลงไปพร้อมๆ กับการขึ้นมามีอำนาจมากขึ้นของสถาบันกษัตริย์ในยุโรปเหนือ พร้อมๆ กับบทบาทของกษัตริย์และพ่อค้าดัชต์และอังกฤษที่จะเข้ามาท้าทายผลประโยชน์
นี่จะเป็นฉากเปิดของกำเนิดทุนนิยมโลกยุโรปของศตวรรษที่ 16 ที่กำลังจะมาถึง ที่จะดำเนินพลวัตด้วยการค้าทางไกล
ในเวลานี้สวีเดนกำลังก้าวขึ้นมามีอำนาจในบอลติคมากขึ้น กษัตริย์นาม กุสตาฟ วาซา (Gustav Vasa, 1496-1560) เข้าทำสงครามปลดปล่อยสวีเดน (Befrielsekriget) ออกจากอิทธิพลของเดนมาร์ก
กุสตาฟ วาซา หันไปหาอิทธิพลจากศัตรูของศัตรู นั่นคือลือเบกค์ เมืองศูนย์กลางสันนิบาตฮันซ่าซึ่งยังทรงอิทธิพลอยู่ เพื่อมาสนับสนุนสงครามของเขา ลือเบกค์นี้เป็นคู่แข่งทางการค้าและการเมืองของเดนมาร์กมายาวนาน จึงส่งทั้งอาวุธและกำลังมาช่วยสวีเดน
จนในที่สุดก็สามารถปลดปล่อยอำนาจของสวีเดนออกจากเดนมาร์กได้ในปี 1523 และประกาศอิสรภาพ ซึ่งในพิธีราชาภิเษกของกุสตาฟ วาซานั้นมีตัวแทนจากลือเกค์เข้ามาด้วย
นักชาตินิยมสวีเดนเขาถือเอาปีนั้นเป็นกำเนิดประเทศอย่างเป็นทางการ จนถึงปีนี้ก็ครบ 500 ปี*
ศัตรูของศัตรูจึงคือมิตรด้วยประการฉะนี้
อ้างอิง
* กระนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงลือเบกค์ในการเฉลิมฉลองเท่าใด อาจจะเป็นเพราะลือเบกค์คือเยอรมนี และใครจะมาพูดว่าเยอรมนีช่วยสร้างประเทศสวีเดน โดยเฉพาะตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา แต่นี่คงจะต้องว่ากันไปอีกเรื่องหนึ่ง
– Michael North, The Baltic: A History (2015), 54-63