ในข้อถกเถียงของกลุ่มศึกษายุคสมัยโรแมนติก (ประมาณครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19) ใจกลางของการถกเถียงคือ ด้านหนึ่ง เราจะอธิบายว่าปรากฏการณ์ทางภูมิปัญญาและศิลปะของสมัยดังกล่าวนั้นเป็นปรากฏการณ์ทั่วไปของยุโรปทั้งหมด หรือในอีกด้านหนึ่ง เราจำเป็นจะต้องเห็นปรากฏการณ์ดังกล่าวในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของชาตินิยมในรัฐชาติแต่ละแห่งของยุโรปเอง
กล่าวคือ ระหว่างความเห็นที่ว่ายุคโรแมนติกนั้นเป็นเอกพจน์ ข้ามขอบเขตรัฐชาติไปได้ทั้งหมด กับความเห็นว่ายุคโรแมนติกเป็นพหูพจน์ แต่ละที่ก็มีโรแมนติกเป็นของตนเอง
มิพักต้องกล่าวว่า นักประวัติศาสตร์วัฒนธรรมชาวดัชต์อย่าง โยเอป เลียร์ส์เซ็น (Joep Leerssen) เสนอว่า ประวัติศาสตร์ของชาตินิยมนั้นเริ่มต้นที่ชาตินิยมโรแมนติก (Romantic nationalism) ก่อน ชาติจึงเป็น “การจัดประเภทหนึ่งของมนุษย์โดยธรรมชาติ กำหนดอัตลักษณ์ด้วยตัวของตัวเอง” ผ่าน “การแผ่ขยายและการทำให้ภาพลักษณ์รวมหมู่ ที่ได้มาจากการเปรียบเทียบกับชาติที่ต่างออกไปจากตน” ซึ่งคงจะเป็นข้อเสนอที่ถูกวิจารณ์อย่างถึงพริกถึงขิงแน่ๆ แต่คงไม่ใช่ประเด็นที่เราจะคุยกันในวันนี้
ยุคโรแมนติกในภูมิภาคเหนือไกล
ยุคสมัยที่อุดมไปด้วยสงครามการปฏิวัติและสงครามนโปเลียนเช่นยุคโรแมนติกนี้ เป็นดินแดนอันไกลโพ้นที่นักประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาของนอร์ดิกเข้าไปศึกษากันอย่างคึกคักมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
มีการพยายามเชื่อมโยคยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงใหญ่ อย่างเช่น ยุคทองของเดนมาร์ก (Den danske guldalder) ถูกวิเคราะห์ว่าเป็นปรากฏการณ์เดียวกับยุคสมัยเสรีภาพของสวีเดน (Frihetstiden) ในแง่ที่ว่า ทั้งสองปรากฏการณ์ต่างเกิดการพิจารณาถึงยุคสมัยของตัวเองอย่างเข้มข้น ผ่านผลงานทางปัญญาทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นบทกวี ปรัชญา ศิลปะ ฯลฯ ซึ่งเป็นผลจากการสูญเสียสถานะการเป็นมหาอำนาจยุโรปของทั้งเดนมาร์กและสวีเดน ในกรณีหลังนี้คือการสิ้นสุดของยุคจักรวรรดิสวีเดนสองศตวรรษก่อนหน้าลงอย่างไม่มีวันกลับมาได้อีก
งานวาดของศิลปินอย่าง โยฮัน โธมัส ลุนด์บาย (Johan Thomas Lundbye, 1818-1848), ดังค์วาร์ต เดรเยอร์ (Dankvart Dreyer, 1816-1852) และคนอื่นๆ ถูกนำมาเป็นตัวแทนของยุคเช่นนี้ในเดนมาร์ก
งานวิชาการในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ก็เริ่มตามยุคตามสมัย หันไปสู่การพยายามอธิบายยุคโรแมนติกว่ามีลักษณะร่วมกันไปทั่วภูมิภาค
แต่ประเด็นที่สำคัญคือ ยุคโรแมนติกในภูมิภาคเหนือไกลนี้ เป็นจุดตั้งต้นของจินตนาการต่อ ‘โลกทางเหนือ’ ต่อมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งเป็นจุดตั้งต้นของความเข้าใจสมัยใหม่ถึงสแกนดิเนเวียอันมีอิทธิพลต่อมา ไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ ภูมิประเทศ ผู้คน หรือกระทั่งความเข้าใจอันพลิกไพล่ที่ระบอบทางการเมืองสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนำไปใช้ (อนุสรณ์สถานวัลฮัลลา หรือ Walhalla memorial เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนโจ่งแจ้ง)
การแปลและการเผยแพร่
ปรากฏการณ์ทางความคิดในภูมิภาคนอร์ดิกทั้งหลายเหล่านี้ เป็นไปได้ด้วยกระบวนการแปลและการเผยแพร่ มีข้อเสนอว่ายุคโรแมนติกในภูมิภาคนอร์ดิกนั้นเริ่มตั้งแต่การพิมพ์บทกวี Digte ของ อดัม เออห์เลนชลาเกอร์ (Adam Oehlenschläger, 1779-1850) กวีชาวเดนมาร์กในปี 1802 และในอีกหกปีถัดมา มีการตีพิมพ์บทกวี Edda ในภาษาเดนมาร์กใหม่อีกครั้งหนึ่ง
แต่เครื่องมือที่สำคัญของกระบวนการนี้เป็นภาษาฝรั่งเศส เพราะเมื่อถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ภาษาฝรั่งเศสก้าวขึ้นมาเป็นภาษากลาง (lingua franca) ในการเผยแพร่ความคิดทางวิทยาศาสตร์ การเมือง และวัฒนธรรมในยุโรป ตัวอย่างของสำนักพิมพ์ Société typographique de Neuchâtel แสดงให้เห็นประเด็นนี้
สำนักพิมพ์นี้มีส่วนสำคัญในการทำให้วัฒนธรรมสแกนดิเนเวียคลาสสิกเข้าไปอยู่ในที่รับรู้ของสาธารณะยุโรป และเป็นพลังหนึ่งของการพัฒนาไปของยุคโรแมนติกโดยรวม นั่นคือประวัติศาสตร์เดนมาร์กที่รวมรวมโดย พอล อองรี มิลเล็ต (Paul Henri Millet, 1730-1807)
มิลเล็ตเองยังได้แปลบทกวี Edda และนิทานสวีเดน ออกเป็นภาษาฝรั่งเศสในปี 1756 และนี่เป็นครั้งแรกที่บทกวี Edda ถูกแปลออกเป็นภาษาหลักสมัยใหม่ของยุโรป (ก่อนหน้านี้มีเป็นภาษาละติน) ต่อมาก็ถูกแปลออกเป็นภาษาเยอรมันและอังกฤษตามลำดับ
นอกจากนี้ ก็ยังมีการแปลมหากาพย์ Ossian โดยชาวสกอต เจมส์ แม็กเฟียร์สัน (James Macpherson, 1736-1796) เป็นภาษาอังกฤษ และต่อมาเป็นภาษาอื่นๆ ซึ่งเมื่อพิมพ์ออกมาแล้วก็กลายเป็นที่นิยมในทันที และแฟนนักอ่าน Ossian นี่ก็มีตั้งแต่เกอเธยันนโปเลียนเลยทีเดียว
นอกจากภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมันก็เป็นอีกภาษาหนึ่งที่ทำให้บทกวีนอร์ดิกเข้าไปอยู่ในยุคโรแมนติก อย่างเช่น โยฮันน์ ก็อตต์ฟริด เฮอร์เดอร์ (Johann Gottfried Herder) เขียนถึงบทกวีเหล่านี้ในปี 1773 และตีพิมพ์ใจความบทกวี Ossian ในหนังสือ Volkslieder (1778-1779) ของเขา
นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ ของการเคลื่อนไหวทางภูมิปัญญาและวัฒนธรรมขนาดใหญ่ ซึ่งหลายครั้งถูกมองว่าข้ามรัฐข้ามชาติ และบางครั้งก็ถูกมองว่าเป็นของชาตินั้นชาตินี้
ปัจจุบันเป็นอย่างไร ดินแดนอันไกลโพ้นก็จะเป็นเช่นนั้น
อ้างอิง
Cian Duffy and Robert W. Rix, Nordic Romanticism: Translation, Transmission, Transformation (2022)