การเลือกตั้งวุฒิสมาชิกญี่ปุ่น 2025: เมื่อความพ่ายแพ้ของรัฐบาล ก่อเกิดอนุรักษนิยมใหม่

วันที่ 20 กรกฎาคม 2025 ญี่ปุ่นมีการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก (参院選挙) นับเป็นครั้งที่ 27 โดยในครั้งนี้ นายชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคแอลดีพี (自民党) ไม่สามารถนำชัยชนะเกินกึ่งหนึ่งมาได้ ต้องพ่ายแพ้แก่พรรคฝ่ายค้านรวมกันหลายพรรค ทั้งนี้ ก็ไม่ได้ผิดไปจากการคาดการณ์ก่อนการเลือกตั้งเลย

วุฒิสมาชิกของญี่ปุ่นมีจำนวน 248 คน อยู่ในตำแหน่งคราวละ 6 ปี กำหนดให้สมาชิกจำนวนกึ่งหนึ่งต้องออกตามวาระทุกๆ 3 ปี การเลือกตั้งแบ่งเป็นสมาชิกที่มาจากแบบแบ่งเขต (選挙区) 45 เขตทั่วประเทศ จำนวน 75 คน และสมาชิกที่มาจากแบบสัดส่วนหรือแบบเลือกพรรค (比例代表) 50 คน มีสมาชิกครบวาระที่ต้องเลือกใหม่รวม 125 คน (รวมการเลือกตั้งซ่อมของเขตโตเกียว 1 คน)

ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกต้องมีอายุ 30 ปีขึ้นไป และเลือกลงสมัครแบบแบ่งเขตหรือแบบสัดส่วนได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่เหมือนกับผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนที่ต้องมีอายุ 25 ปีขึ้นไป และมีสิทธิลงสมัครได้ทั้ง 2 แบบในคราวเดียว 

ในครั้งนี้มีผู้สมัครรับเลือกตั้งรวม 522 คน ลดลงจากครั้งที่แล้ว 27 คน แบ่งเป็นแบบแบ่งเขต 350 คน สำหรับ 75 ที่นั่ง และแบบสัดส่วน 172 คน สำหรับ 50 ที่นั่ง ในจำนวนนี้เป็นผู้สมัครหญิงรวม 152 คนนับเป็นเกือบ 30% ของผู้สมัครทั้งหมด

พรรครัฐบาลอย่างพรรคแอลดีพี (自民党) มีจำนวนวุฒิสมาชิกที่ยังคงอยู่ในวาระต่อไป (非改選) 62 ที่นั่ง และพรรคเล็กร่วมรัฐบาล คือพรรคโคเม (公明党) มี 13 ที่นั่ง รวมกัน 75 ที่นั่ง ดังนั้นเป้าหมายของพรรครัฐบาลคือต้องให้ได้ 50 ที่นั่งเป็นอย่างต่ำ เพื่อให้มีเสียงในสภาเกินกึ่งหนึ่ง คือ 125 ที่นั่งให้ได้ ส่วนพรรคฝ่ายค้านทั้งพรรคใหญ่และเล็ก มีวุฒิสมาชิกที่ยังคงอยู่ในวาระรวมกัน 48 ที่นั่ง เป้าหมายที่ต้องทำให้ได้ คือ 77 ที่นั่ง

การเลือกตั้งวุฒิสมาชิกภายใต้การนำของ ‘นายคิชิดะ’ อดีตนายกรัฐมนตรี

การที่พรรครัฐบาลมีวุฒิสมาชิกเกินกึ่งหนึ่งอย่างลอยลำก่อนการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกครั้งที่ 27 นั่นเป็นผลงานของอดีตนายกรัฐมนตรี นายฟูมิโอะ คิชิดะ การเลือกตั้งวุฒิสมาชิกวันที่ 10 กรกฎาคม 2022 พรรคแอลดีพีเพียงพรรคเดียวก็ได้ 63 ที่นั่ง เกินกึ่งหนึ่งของ 125 ที่นั่งแล้ว รวมกับอีก 56 ที่นั่งของสมาชิกที่ยังอยู่ในวาระรวมเป็น 119 ที่นั่ง ส่วนพรรคโคเมได้ 13 ที่นั่ง รวมกับที่นั่งเดิมเป็น 27 ที่นั่ง รวมสองพรรค 146 ที่นั่ง เกินเป้าหมายไปไกล และทิ้งห่างพรรคฝ่ายค้านที่มีรวมกันเพียง 102 ที่นั่ง

ก่อนหน้าการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก นายคิชิดะ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2021 หลังจากเข้ารับตำแหน่งเพียง 10 วัน และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป (衆議院選挙) เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2021   ผลการเลือกตั้งไม่ผิดจากที่คาดหมายกัน พรรคแอลดีพีของรัฐบาลได้ที่นั่งรวม 261 ที่นั่ง พรรคโคเมซึ่งร่วมรัฐบาลได้ 32 ที่นั่ง รวมกัน 293  ที่นั่ง กล่าวคือมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของทั้งหมด 465 ที่นั่งแบบไร้ความกังวลใดๆ ถือเป็นชัยชนะครั้งที่หนึ่ง และตามติดด้วยชัยชนะในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก

รัฐบาลนายคิชิดะจึงคุมเสียงข้างมากเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทั้ง 2 สภา สามารถบริหารงานได้อย่างมั่นใจตั้งแต่นั้นมา จนต้องมาเผชิญกับปัญหาสั่นคลอนอย่างหนักตั้งต้นปี 2024 เรื่อง ‘เงินทอน’ หรือ ‘เงินซุก’ (裏金問題) หรือการลงบัญชีรายรับ-รายจ่ายของแต่ละ ‘มุ้ง’ (派閥) ภายในพรรคแอลดีพีอย่างไม่โปร่งใส และนำไปสู่การสลายมุ้ง เหตุการณ์นี้ยังทำให้ความเชื่อมั่นพรรคแอลดีพีตกต่ำลงอย่างมากที่สุด และยังไม่อาจเรียกความนิยมกลับคืนมาได้เลยจนบัดนี้ นายคิชิดะจึงต้องพยายามประคองตัวเองจนครบวาระและไม่ลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีก

การเลือกตั้งวุฒิสมาชิกภายใต้การนำของ ‘นายอิชิบะ’

เมื่อนายชิเงรุ อิชิบะ (石破茂) เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2024 และกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 27 ตุลาคม 2024 พรรคแอลดีพีต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่หลายเรื่องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องการเงินไม่โปร่งใสภายในพรรค เรื่องนักการเมืองพรรคแอลดีพีมีส่วนพัวพันกับ ‘โบสถ์แห่งความเป็นเอกภาพ’ ที่เป็นเหตุให้เกิดการลอบสังหารนายชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรี รวมถึงเรื่องปากท้องของประชาชนหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผลการเลือกตั้งจึงเป็นไปตามที่หลายสำนักข่าวทำนายไว้

พรรคแอลดีพี ได้รับเลือก 191 ที่นั่ง ลดลง 56 ที่นั่ง พรรคโคเม 24 ที่นั่ง ลดลง 8 ที่นั่ง รวม 215 ที่นั่ง ซึ่งถือว่าไม่ถึงกึ่งหนึ่ง! (233 ที่นั่ง) คะแนนส่วนใหญ่เทไปที่พรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่ง คือพรรครัฐธรรมนูญเพื่อประชาธิปไตย (立憲民主党) โดยได้มากถึง 148 ที่นั่ง (เพิ่มขึ้น 98 ที่นั่ง)

อย่างไรก็ตาม นายอิชิบะได้จัดตั้งรัฐบาลที่มี ‘เสียงปริ่มน้ำ’ ต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพสูงขึ้นแต่ค่าจ้างไม่ขยับเพิ่ม สังคมผู้สูงวัยและเด็กเกิดน้อย และปัญหาใหญ่ขณะนี้คือความสามารถในการเจรจาภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลต่ออุตสาหกรรมและเศรษฐกิจทั้งระบบของญี่ปุ่น

ไม่น่าแปลกใจ ที่ความนิยมพรรคแอลดีพีตกต่ำอย่างมากจนประชาชน ‘เซย์โน’(ノー)

ผลการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกครั้งล่าสุด (20 กรกฎาคม 2025) พรรคแอลดีพีทำได้เพียง 39 ที่นั่ง รวมกับพรรคโคเม 8 ที่นั่ง  เป็น 47 ที่นั่ง ถือว่าไม่ถึงเป้าหมายอย่างน้อย 50 ที่นั่ง เมื่อรวมกับ 75 ที่นั่งเดิม เท่ากับ 122 ที่นั่ง ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของวุฒิสภาคือ 125 ที่นั่ง เรียกได้ว่า แพ้อีกแล้ว! 

ส่วนผู้ชนะคือพรรคฝ่ายค้านหลายพรรคและผู้สมัครที่ไม่สังกัดพรรค ซึ่งรวมกันได้ 126 นั่ง เสียงในวุฒิสภาจึงตกไปอยู่ในมือของฝ่ายค้านเสียแล้ว

ก่อนการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาโตเกียว (都議選) เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาหรือหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้เอง พรรคแอลดีพีก็พ่ายแพ้อีก ได้เสียงน้อยลงกว่าเดิมมาก

พรรคแอลดีพีจึง ‘แพ้แล้ว แพ้อีก และแพ้ซ้ำอีก’ รวม 3 แพ้ ติดๆ กัน!

ทางเลือกของนายอิชิบะหลังผลการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก

มีการคาดการณ์กันก่อนการเลือกตั้งแล้วว่า หากพรรคแอลดีพีพ่ายแพ้ นายอิชิบะ ในฐานะผู้นำรัฐนาวาลำใหญ่ที่ไม่แข็งแรงลำนี้ ควรจะทำอย่างไร? 

ทางเลือกหนึ่งคือลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ ซึ่งก็มีความเสี่ยง คือ ผู้ชนะจะได้รับการรับรองให้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลมีเสียงไม่ถึงครึ่งทั้งสองสภา

ทางเลือกที่สองคือแสดงความรับผิดชอบด้วยการประกาศยุบสภา จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ ให้ประชาชนได้ตัดสินใจ ทางนี้เสี่ยงยิ่งกว่าทางแรก เนื่องจากความนิยมพรรคแอลดีพีลดต่ำลงต่อเนื่อง จนแพ้มาแล้ว 3 สนาม ยิ่งไปกว่านั้น มีตัวเลข exit poll ของสำนักข่าวเกียวโดว่าคนวัยหนุ่มสาว 20 – 30 ปี ต่างเทคะแนนให้ 2 พรรคฝ่ายค้าน คือ พรรคประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (国民民主党) และพรรคซันเซ (参政党) พรรคเล็กแต่กำลังมาแรง

ทางเลือกสุดท้ายคือ ‘ไปต่อ’ ไม่สนใจเสียงประชาชน ซึ่งนายอิชิบะเลือกทางนี้!

นายอิชิบะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันรุ่งขึ้นเมื่อทราบผลอย่างเป็นทางการว่า ขออภัยพี่น้องประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาล แต่จะไม่ยอมให้ผลการเลือกตั้งทำให้การบริหารงานของรัฐบาลต้องสะดุดหยุดชะงักอย่างเด็ดขาด พรรคแอลดีพียังเป็นพรรคที่ได้รับคะแนนอันดับหนึ่ง (39 เสียง) ของการเลือกตั้งครั้งนี้ และมีความรับผิดชอบที่จะต้องแก้ปัญหาต่างๆ ตนเองยืนยันจะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป แม้ว่าจะมีเสียงข้างน้อยทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก็ตาม โดยจะขอความร่วมมือกับพรรคฝ่ายค้านในแต่ละนโยบายที่มีเป้าหมายตรงกัน แต่ยังไม่มีความคิดจะปรับพรรคร่วมรัฐบาลเพิ่มขึ้น 

เมื่อนายอิชิบะตัดสินใจ ‘ไปต่อ’ ความไม่พอใจผู้นำคนปัจจุบันก็ขยายวงกว้างขึ้น

พรรคฝ่ายค้านมาแรง!

ในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกครั้งล่าสุดก็เป็นที่น่าผิดหวัง เมื่อพรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่งอย่างพรรครัฐธรรมนูญเพื่อประชาธิปไตย ได้มาเพียง 22 ที่นั่งเท่านั้น โดยเสียที่นั่งให้กับพรรคประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (国民民主党) ที่ได้ 17 ที่นั่ง ส่วนพรรคน้องใหม่มาแรงกลับกลายเป็นพรรคซันเซ (参政党) ได้ 14 ที่นั่ง มีสมาชิกที่อยู่ในวาระ 1 ที่นั่ง รวมเป็น 15 ที่นั่ง ซึ่งทำให้สามารถเสนอร่างกฎหมายได้เอง

ทั้งนี้ ทั้งสองพรรคถือเป็นพรรคที่คนหนุ่มสาวเทคะแนนให้ในการลงคะแนนเสียงแบบเลือกพรรค โดยพรรคซันเซแซงหน้าพรรครุ่นพี่อื่นๆ ผงาดขึ้นเป็นพรรคฝ่ายค้านอันดับสามแล้ว

พรรคซันเซ(参政党)พรรคอนุรักษนิยมขวาจัดผู้จุดประเด็น ‘คนญี่ปุ่นมาก่อน’(日本人ファースト)

นายโซเฮ คามิยา (神谷宗幣) วัย 48 ปี นักกฎหมายผู้เป็นหัวหน้าพรรค ได้ก่อตั้งพรรคซันเซเมื่อเดือนเมษายน ปี 2020 ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาเคยได้ 2 ที่นั่งในการเลือกวุฒิสมาชิกในปี 2022 และได้ 3 สส.แบบสัดส่วนในการเลือกตั้งเมื่อเดือนตุลาคม 2024 ที่ผ่านมานี้เอง 

นายคามิยาชูนโยบายการหาเสียงครั้งนี้คือ ‘คนญี่ปุ่นมาก่อน’ หรือ ‘Japanese First’ จุดกระแสให้คนญี่ปุ่นเริ่มคิดว่า คนต่างชาติเข้ามาในชีวิตประจำวันของตัวเองมากเกินไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นมากินมาใช้ และก่อความเดือดร้อน แรงงานต่างชาติที่เพิ่มขึ้นมาก จนพาให้คิดว่ามาแย่งงาน มาทำให้ค่าจ้างของคนญี่ปุ่นไม่เพิ่มขึ้น คนต่างชาติก่ออาชญากรรม เป็นภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนญี่ปุ่น คนต่างชาติที่เลี่ยงภาษีประกันสังคม ตลอดจนถึงงบประมาณก้อนใหญ่ที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาต่างชาติเป็นมูลค่าต่อคนสูงมาก ขณะที่นักศึกษาญี่ปุ่นต้องทำงานหาเงินเรียนเอง หรือต้องกู้หนี้เพื่อการศึกษา ทำให้เกิดคำถามว่าความเหลื่อมล้ำนี้เป็นสิ่งที่นักศึกษาญี่ปุ่นต้องก้มหน้ารับกรรมหรือ?  

ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนการเลือกตั้ง ประเด็นเกี่ยวกับคนต่างชาติถูกนำมาโพลต์บน X (ทวิตเตอร์) เป็นจำนวนมากจนน่าตกใจ มีทั้งที่เป็นความจริงและไม่จริง ไม่อิงข้อมูล และเป็นความเกลียดชังก็มีไม่น้อย จนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง

ข้อสังเกตผลจากการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกญี่ปุ่น ปี 2025 ครั้งนี้ นอกจากพรรคแอลดีพีอ่อนแรงลงมากแล้ว ยังก่อให้เกิดกระแสอนุรักษนิยมในหมู่คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่อย่างรวดเร็วอีกด้วย

                                                                   


เกร็ดน่าสนใจ: เป็นที่น่าสังเกตว่าในครั้งนี้มีผู้หญิงได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิกถึง 35 คน

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save