ย้อนรอยพิพาทพรมแดนในยุค ฮุน เซน: อะไรคือวาระซ่อนเร้นและเกมการเมืองเบื้องหลังในฝั่งกัมพูชา?

“เหมือนหนังที่วนฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า” คือวลีที่อาจอธิบายสถานการณ์พิพาทชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชาตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้อย่างดี โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา เสียงปืนก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง เริ่มจากบริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งกำลังเป็นหนึ่งในจุดพิพาทสำคัญ ก่อนกลายเป็นการโจมตีอย่างรุนแรงระหว่างกองทัพสองฝ่ายที่ลุกลามออกไปหลายพื้นที่

ระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น การเผชิญหน้าทางการทหารอันเป็นเหตุจากความขัดแย้งเรื่องพรมแดนเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ถ้าย้อนไปก่อนหน้านี้ไม่นาน กล่าวคือเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาก็เพิ่งเกิดเหตุปะทะที่ช่องบก แถบจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างสองชาติระลอกใหม่ อันเป็นต้นทางนำมาสู่เหตุการณ์ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา หรือไกลกว่านั้นเมื่อย้อนไปในช่วงปี 2551-2554 การปะทะก็เกิดขึ้นต่อเนื่องตามแนวชายแดน สืบเนื่องจากกรณีพิพาทเขาพระวิหาร ที่เป็นเหตุของความบาดหมางระหว่างสองชาติมายาวนานร่วมหลายทศวรรษ

หากจะสืบสาวหารากเหง้าแห่งความขัดแย้ง ก็ต้องย้อนไปไกลถึงยุคอาณานิคมที่ชาติตะวันตกเข้ามาปกครองดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทิ้งมรดกหนึ่งไว้คือเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ ทว่าด้วยความสับสนคลุมเครือของเส้นสมมตินี้ บวกกับความเจ็บแค้นทางประวัติศาสตร์ที่แต่ละชาติมีต่อกันมาตั้งแต่ยุคก่อนอาณานิคม ทำให้เส้นเขตแดนกลายเป็น ‘ระเบิดเวลา’ ที่พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อในทุกชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีเขตแดนอยู่ติดกัน

เหตุการณ์ที่ผ่านมาบ่งชี้ให้เห็นความจริงข้อหนึ่งว่า การที่ระเบิดเวลาจะทำงานขึ้นมาได้นั้น ชนวนของมันมักเป็นเรื่อง ‘การเมืองภายใน’ ของแต่ละประเทศคู่ขัดแย้งเอง และกรณีเขตแดนของกัมพูชาก็อาจเป็นตัวอย่างของความจริงข้อนี้ที่ชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะในยุคสมัยภายใต้การปกครองของ ฮุน เซน ที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ มายาวนานตั้งแต่ปี 2528 ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามักมีข้อสังเกตว่ากรณีพิพาทพรมแดนของกัมพูชาต่อเพื่อนบ้านรอบข้างเกิดขึ้นในจังหวะที่เหมาะเหม็งกับสถานการณ์ทางการเมืองบางอย่างในประเทศกัมพูชาเองเสมอ

พิพาทเขาพระวิหารกับไทย 2551-2556

กรณีพิพาทพรมแดนใหญ่สุดที่เกิดขึ้นในยุคฮุน เซน คือประเด็นเขาพระวิหาร ที่มีจุดเริ่มต้นจากการที่รัฐบาลกัมพูชายื่นคำขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกในปี 2550 ก่อนได้รับการขึ้นทะเบียนในปี 2551 จนเกิดเป็นกระแสต่อต้านในประเทศไทยอย่างรุนแรง ก่อนที่สถานการณ์จะลุกลามไปสู่การปะทะทางการทหารระหว่างกันหลายระลอกระหว่างปี 2551-2554

ข้อพิพาทเขาพระวิหารระหว่างไทย-กัมพูชาเกิดสืบเนื่องมานานนับตั้งแต่กัมพูชาเพิ่งได้รับเอกราชใหม่ๆ ในปี 2496 ภายใต้การปกครองของเจ้านโรดม สีหนุ ภายใต้บริบทของกระแสชาตินิยมที่มาแรงทั้งในฝั่งกัมพูชาและไทย ก่อนที่รัฐบาลกัมพูชาจะยื่นข้อพิพาทสู่ศาลโลก และมีคำพิพากษาในปี 2505 ให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในอาณาเขตของกัมพูชา กระทั่งความขัดแย้งโหมแรงขึ้นอีกครั้งในช่วงปี 2551-2554 รัฐบาลกัมพูชาภายใต้ฮุน เซนก็ได้ยื่นคำขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาเดิมอีกครั้ง ก่อนที่ในปี 2556 ศาลโลกจะมีคำพิพากษาให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดนทั้งหมดบริเวณปราสาทพระวิหาร และให้ไทยถอนกำลังออกจากบริเวณใกล้เคียง ซึ่งถือได้ว่าเป็นชัยชนะครั้งที่สองของกัมพูชาในศาลโลก

นี่คือสรุปสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น แต่หากย้อนกลับไปว่าข้อขัดแย้งเรื่องเขาพระวิหารถูกจุดติดขึ้นมาอีกครั้งได้อย่างไรในตอนนั้น ก็หนีไม่พ้นความพัวพันกับการเมืองภายในของแต่ละฝั่ง ขณะที่ในฝั่งไทยนั้นมีปัจจัยเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองเสื้อเหลือง-เสื้อแดงเข้ามามีอิทธิพล ในฝั่งกัมพูชาก็พบว่าจังหวะเวลาที่เกิดสถานการณ์นี้เหมาะเจาะกับการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2551 โดยมีการวิเคราะห์กันว่ารัฐบาลฮุน เซนในตอนนั้น ใช้กรณีการยื่นจดทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อปลุกกระแสชาตินิยมและเรียกคะแนนให้พรรครัฐบาล CPP (Cambodia People’s Party หรือพรรคประชาชนกัมพูชา) ก่อนการเลือกตั้งครั้งนั้นจะมาถึง

ประเด็นเขาพระวิหารได้กลายเป็นกระแสร้อนแรงในหมู่คนกัมพูชาในตอนนั้นจริง และเชื่อว่านี่คือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้พรรค CPP คว้าชัยชนะถล่มทลาย โดยได้สัดส่วนคะแนนเสียงราวร้อยละ 58 และได้ที่นั่งในสภาทั้งสิ้น 90 จาก 123 ที่นั่ง ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงสุดเท่าที่ CPP เคยลงสนามเลือกตั้งมาก่อนหน้านั้น

พิพาทดินแดนกับลาว 2560-2562

นี่ไม่ใช่ครั้งเดียวที่ประเด็นพิพาทพรมแดนเกิดขึ้นในจังหวะใกล้เคียงกับการเลือกตั้งใหญ่ เพราะหลังจากที่ความขัดแย้งเรื่องเขาพระวิหารกับไทยซาลงไปในปี 2556 นั้น ข้อพิพาทครั้งใหม่ก็เกิดขึ้นกับประเทศลาวในปี 2560 ที่ชายแดนฝั่งจังหวัดสตึงแตรง ตรงข้ามกับแขวงจำปาสักของลาว

สถานการณ์เริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 เมื่อลาวส่งกองกำลังเข้าไปขัดขวางการสร้างถนนของกัมพูชาที่บริเวณชายแดนในส่วนที่ลาวอ้างสิทธิเป็นเจ้าของ ขณะที่ฝั่งกัมพูชาก็อ้างว่ากองทัพลาวรุกล้ำเข้ามาในดินแดนตน ก่อนที่สถานการณ์จะทวีความเข้มข้นขึ้นตามลำดับจนถึงจุดตึงเครียดสุดในเดือนสิงหาคม 2560 เมื่อกองกำลังของแต่ละฝ่ายต่างปักหลักอยู่ที่พื้นที่พิพาทและไม่มีฝ่ายใดยอมถอนกำลังออก แต่ผ่านไปไม่กี่วันในที่สุดสถานการณ์ก็คลี่คลายแบบงงๆ เมื่อฮุน เซนเดินทางไปเจรจากับทองลุน สีสุลิด ประธานาธิบดีลาวในตอนนั้น ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะยอมถอนกำลังออกจากพื้นที่

ท่ามกลางสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มีการวิเคราะห์ว่าฮุน เซนกำลังอาศัยจังหวะนี้ตีฟูเหตุการณ์ แสดงท่าทีแข็งกร้าวขึ้นมา เพื่อหวังผลปลุกคะแนนนิยม เฉกเช่นที่เคยจุดประเด็นเขาพระวิหารต่อไทยก่อนหน้านั้นเพื่อเรียกคะแนนในการเลือกตั้ง 2551 ขณะที่ในตอนเกิดปัญหากับฝั่งลาวนั้นเอง กัมพูชาก็กำลังจะเกิดการเลือกตั้งใหญ่ขึ้นในปี 2561 ซึ่งในครั้งนั้น ฮุน เซนไม่ค่อยไม่มั่นใจนัก เนื่องจากในการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้าปี 2556 ปรากฏว่าคะแนนเสียงของพรรค CPP ร่วงมาอยู่ที่ราว 49% ขณะที่พรรคคู่แข่งอย่าง CNRP (Cambodia National Rescue Party หรือพรรคสงเคราะห์ชาติ) ที่นำโดยหัวเรือใหญ่อย่างสม รังสีได้คะแนนขึ้นมาจ่อคอหอยสูงถึงราว 44% ความรู้สึกไม่มั่นคงของรัฐบาลฮุน เซนนี้ยังนำไปสู่การกดปราบฝ่ายค้านอย่างหนักในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับเหตุขัดแย้งกับลาว ส่งผลให้ให้ผู้นำฝ่ายค้านหลายคนถูกจับกุม คุกคาม หรือต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ ตามมาด้วยการตัดสินยุบพรรค CNRP ในเดือนพฤศจิกายน 2560 จึงกลายเป็นว่าในการเลือกตั้งปี 2561 พรรค CPP กวาดที่นั่งในสภาได้ 100% แบบไร้คู่แข่ง

แม้รัฐบาล CPP จะกุมอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ความขัดแย้งกับลาวก็ปะทุขึ้นอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2562 เมื่อฝั่งกัมพูชากล่าวหาว่าทหารลาวรุกล้ำเข้าไปในเขตแดนของตนในแถบพื้นที่พิพาทมอมเบ (สามเหลี่ยมมรกต) ใกล้จังหวัดพระวิหารของกัมพูชา จนนำไปสู่การเผชิญหน้าการระหว่างสองฝ่าย ก่อนที่เรื่องราวจะลงเอยอย่างรวดเร็วคล้ายความขัดแย้งครั้งก่อนหน้า เมื่อฮุน เซนต่อสายตรงเจรจาถึงผู้นำลาว จนกองทัพทั้งสองประเทศยอมถอนกำลังออกจากพื้นที่

เฉกเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผ่านมา การปะทุขึ้นของความขัดแย้งระลอกนั้นถูกวิเคราะห์ว่าส่วนหนึ่งเป็นวาระซ่อนเร้นทางการเมืองของรัฐบาลกัมพูชา เพื่อตั้งใจจะเบี่ยงเบนความสนใจของคนกัมพูชาออกจากกระแสข่าวของสม รังสีที่ประกาศกร้าวขึ้นมาในเดือนสิงหาคม 2562 ว่ามีแผนจะเดินทางกลับสู่มาตุภูมิกัมพูชาในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน เพื่อกลับไปฟื้นคืนประชาธิปไตยของประเทศ หลังจากที่เขาต้องลี้ภัยทางการเมืองอยู่ต่างประเทศจากความพยายามกดปราบของฝั่งรัฐบาลตั้งแต่ปี 2558 กระแสข่าวนี้ร้อนแรงมากในประเทศกัมพูชาขณะนั้นจนกลายเป็นแรงกดดันทางการเมืองต่อฝ่ายรัฐบาลอย่างหนัก แต่ที่สุดแล้วการเดินทางกลับกัมพูชาของสม รังสีก็ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อรัฐบาลไทยภายใต้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาในตอนนั้น ไม่อนุญาตให้สม รังสี บินเข้าไทยเพื่อเป็นทางผ่านเข้าสู่กัมพูชา   

พรมแดนฟากเวียดนาม: หนามตำใจ ฮุน เซน

ในประเด็นข้อพิพาทเขตแดนของกัมพูชานั้น ฝ่ายค้านก็ถือเป็นตัวแปรสำคัญไม่แพ้ฝั่งรัฐบาลฮุน เซน โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลกัมพูชามักหยิบยกปัญหาเขตแดนขึ้นมาโจมตีฮุน เซนอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเขตแดนทางด้านที่ติดกับประเทศเวียดนาม

ประเด็นเขตแดนระหว่างกัมพูชากับเวียดนามคือเรื่องที่จี้ใจดำของฮุน เซนมาตลอด โดยที่มาที่ไปต้องย้อนไปไกลถึงยุคเขมรแดง (2518-2522) ในตอนนั้น ฮุน เซนยังเป็นทหารภายใต้รัฐบาลเขมรแดง ก่อนเกิดความขัดแย้งภายในจนทำให้เขาตัดสินใจแปรพักตร์เข้าฝั่งเวียดนาม ซึ่งก็กำลังกระทบกระทั่งกับเขมรแดงอยู่ภายใต้บริบทสงครามเย็น ก่อนในที่สุดฮุน เซนจะกลายเป็นแนวหน้าพากองทัพเวียดนามบุกกัมพูชา โค่นเขมรแดงลงจากอำนาจได้สำเร็จ ทำให้ฮุน เซนมีตำแหน่งแห่งหนในรัฐบาลหุ่นเชิดของเวียดนามช่วงแรก ก่อนสั่งสมอำนาจบารมีขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในเวลาต่อมา พื้นเพของฮุน เซนเรื่องนี้เองที่ทำให้ตัวเขาถูกครหาเสมอมาว่าเป็นลิ่วล้อของเวียดนาม บวกกับความเจ็บแค้นทางประวัติศาสตร์ที่กัมพูชามีต่อเวียดนามมาตั้งแต่ยุคก่อนอาณานิคม ก็ทำให้วาทกรรมว่าฮุน เซนขายชาติให้ศัตรูของชาติเป็นที่แพร่สะพัด

ภาพลักษณ์ของฮุน เซนในฐานะคนขายชาติให้เวียดนามถูกตอกย้ำด้วยประเด็นการจัดการข้อพิพาทพรมแดนระหว่างสองประเทศ โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลกัมพูชาในยุคฮุน เซนนั้นไม่เคยมีปัญหาเรื่องพรมแดนปะทุขึ้นมากับฝั่งเวียดนาม เฉกเช่นที่เกิดกับไทยหรือลาว ขณะเดียวกันฝ่ายต่อต้านฮุน เซนก็ครหาว่ารัฐบาลโอนอ่อนต่อเวียดนามมากเกินไปในการเจรจาเรื่องเขตแดน เสมือนกำลังยอมรับการสูญเสียดินแดนบางส่วนแก่เวียดนาม ประเด็นนี้จึงเป็นเสมือนบาดแผลของฮุน เซนที่ฝ่ายค้านมักหยิบฉวยมาบั่นทอนความนิยมในตัวฮุน เซนอยู่เป็นระยะ

กรณีใหญ่ที่สุดที่เริ่มต้นจากฟากฝ่ายค้านเกิดขึ้นในปี 2552 เมื่อสม รังสีพาชาวบ้านจำนวนหนึ่งบุกเข้าไปถอนหลักเขตแดนในจังหวัดสวายเรียง ที่รัฐบาลกัมพูชากับรัฐบาลเวียดนามปักปันร่วมกันไว้ โดยสม รังสีอ้างว่าหลักเขตเหล่านี้รุกล้ำข้ามแดนเข้ามาในผืนนาของชาวบ้าน แม้ในตอนนั้นสม รังสีจะได้แรงหนุนไม่น้อยจะประชาชน โดยเฉพาะในฝั่งผู้ต่อต้านฮุน เซน แต่ในที่สุดก็โดนทางการกัมพูชาตั้งข้อหาหลายข้อ จนต้องตัดสินใจลี้ภัยการเมืองไปต่างประเทศเป็นรอบแรก และในเวลาต่อมาข้อหานี้ยังเป็นเหตุนำมาสู่การยุบพรรค CNRP ในปี 2560  

แม้ในวันนี้ฝ่ายค้านกัมพูชาจะแตกฉานซ่านเซ็น แต่ก็ยังคงถือโอกาสโจมตีรัฐบาลในเรื่องเขตแดน โดยเฉพาะทางฝั่งเวียดนามอยู่เรื่อยๆ อย่างล่าสุดเมื่อปี 2567 หลังรัฐบาลกัมพูชาเพิ่งผลัดใบจาก ฮุน เซนสู่ลูกชายคนโตอย่าง ฮุน มาเนตได้ไม่นาน ฝ่ายต่อต้านก็ได้ปลุกระดมมวลชนขึ้นมาประท้วงการทำข้อตกลงพื้นที่สามเหลี่ยมพัฒนากัมพูชา-ลาว-เวียดนาม (Cambodia-Laos-Vietnam Development Triangle Area หรือ CLV-DTA Agreement) ที่สามชาติทำร่วมกัน โดยมีการโจมตีว่าภายใต้ข้อตกลงนี้ กัมพูชากำลังเปิดโอกาสให้เวียดนามรุกล้ำดินแดนของกัมพูชา กระทั่งรัฐบาลฮุน มาเนตทนแรงกดดันไม่ไหว ต้องยอมนำกัมพูชาถอนตัวออกจากข้อตกลงในที่สุด

แต่พรมแดนฝั่งเวียดนามก็ไม่ใช่ด้านเดียวที่ฝ่ายค้านยกขึ้นมาโจมตีรัฐบาลกัมพูชา เพราะขณะเดียวกันก็มีหลายครั้งที่ข้อพิพาทฝั่งไทยถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็น ดังเช่นไม่นานนี้ในกรณีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลบริเวณเกาะกูดตั้งแต่ปี 2567 ระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชา ซึ่งฝ่ายค้านลุกขึ้นมาโจมตีพร้อมปลุกกระแสว่ารัฐบาลตระกูลฮุนกำลังขายชาติด้วยการยอมยกเกาะกูดให้ไทย หรือกระทั่งกรณีพิพาทล่าสุดในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต รวมถึงปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และตาควาย ในปีนี้ ซึ่งฝ่ายค้านกัมพูชา โดยเฉพาะสม รังสีก็เคยครหาว่ารัฐบาลกัมพูชาอาจไม่เอาจริงเอาจังกับการยื่นข้อพิพาทสู่ศาลโลก เพราะตระกูลฮุนยังมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนักการเมืองไทย

เมื่อหวยกลับมาลงที่ไทยใน พ.ศ. 2568: ฮุน เซน – ฮุน มาเนต ต้องการอะไร?

ความขัดแย้งเรื่องพรมแดนต่อไทยที่เวียนกลับมาปะทุใหม่ในปีนี้ นำมาสู่คำถามและการคาดคะเนต่างๆ นานาว่าปัจจัยทางการเมืองอะไรกันแน่ที่ผลักให้สถานการณ์ร้อนแรงขึ้นมาถึงจุดนี้

ข้อสันนิษฐานแรกที่มีการพูดถึงกันมาก คือเป็นเหตุผลของการปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อสร้างความนิยมให้รัฐบาลกัมพูชาเช่นเคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฮุน มาเนตเพิ่งรับตำแหน่งนายกฯ หมาดๆ เพียงไม่ถึงสองปี และอาจกำลังต้องการสั่งสมบารมีทางการเมืองโดยใช้ประเด็นพิพาทพรมแดนขึ้นมาเป็นเครื่องมือ

อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียง เนื่องจากนักวิเคราะห์บางส่วนก็มองว่าฐานความนิยมของฮุน มาเนตที่สืบทอดมาจากฮุน เซนแข็งแกร่งอยู่แล้ว จนอาจไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อเรียกคะแนนในตอนนี้ แต่ก็มีบางส่วนที่มองว่าตระกูลฮุนอาจไม่ได้แค่หาเสียงแบบเฉพาะหน้าเท่านั้น เช่น ธนเชษฐ วิสัยจร หัวหน้าสาขาวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่เพิ่งให้สัมภาษณ์กับวันโอวันว่า “เป็นไปได้ว่าฮุน เซนเองอยากถูกบันทึกชื่อไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชา ก็เคยมีข้อพิพาทกับไทยและได้ปราสาทเขาพระวิหารไป ดังนั้นผมคิดว่าส่วนหนึ่งเรามองเป็นเรื่องการอยากสร้างบารมีของฮุน เซนได้เช่นกัน เขามองเรื่องการเป็นผู้นำประเทศกับการมีปราสาทเป็นเรื่องของการสร้างบารมีขึ้นมา”

อีกข้อสันนิษฐานหนึ่งที่ถูกยกขึ้นมาก็คือการใช้ความขัดแย้งพรมแดนขึ้นมาเบี่ยงเบนความสนใจของคนกัมพูชาและประชาคมโลกจากปัญหาการขยายตัวของอุตสาหกรรมสีเทา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสแกมเซนเตอร์ในประเทศตัวเอง ซึ่งในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่ความขัดแย้งปะทุขึ้นมานั้น ก็มีข่าวเครือข่ายบังคับใช้กฎหมายอาชญากรรมทางการเงิน (FinCEN) ของสหรัฐฯ ประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทแพลตฟอร์มด้านการเงินดิจิทัลใหญ่ของกัมพูชา ‘ฮวยวันกรุ๊ป’ (Huione Group) จากการถูกตรวจสอบพบว่าเป็นช่องทางผ่านของการฟอกเงินของเครือข่ายอาชญากรรมในหลายประเทศ และประเด็นสำคัญคือฮวยวันกรุ๊ปนี้มีฮุน โต หลานชายของฮุน เซนนั่งอยู่ในบอร์ดบริหาร จึงคาดว่านี่อาจเป็นปัจจัยให้รัฐบาลกัมพูชาต้องพยายามจุดเรื่องอื่นขึ้นมากลบเกลื่อนเรื่องนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกังขาจากสาธารณชนถึงความสัมพันธ์ของตระกูลฮุนต่อธุรกิจสีเทา

ขณะเดียวกันก็มีการวิเคราะห์ว่าเหตุปัจจัยหลักของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นคือความต้องการของฮุน เซนในการปกป้องอุตสาหกรรมกาสิโนสีเทาตามแนวชายแดน โดยเฉพาะในฝั่งติดกับประเทศไทย ที่รัฐบาลไทยกำลังมีมาตรการปราบปรามอย่างหนัก โดยคนหนึ่งที่พูดถึงประเด็นนี้ก็คือสม รังสีที่ชี้ว่าการปราบปรามธุรกิจสีเทาตามแนวชายแดนกัมพูชานั้นกำลังกระเทือนถึงผลประโยชน์อันมหาศาลของฮุน เซนที่อุ้มชูธุรกิจเหล่านี้อยู่ จนอาจทำให้ระบอบถึงขั้นล่มสลาย นอกจากนี้ ยังมีอีกกระแสที่ชี้ว่าฮุน เซนอาจไม่พอใจในการผลักดันกฎหมายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของรัฐบาลไทย ที่อาจแย่งลูกค้าไปจากกิจการกาสิโนของกัมพูชา จนเป็นเหตุของการปลุกความขัดแย้งขึ้น

อีกปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามได้คือความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลผู้นำสองชาติ กล่าวคือตระกูลฮุนและตระกูลชินวัตรที่ต้องขาดสะบั้นลงหลังเป็นมิตรต่อกันมายาวนาน โดยเฉพาะนับจากกรณีการปล่อยคลิปเสียงสนทนาระหว่างฮุน เซนและแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยที่กำลังอยู่ระหว่างถูกศาลสั่งหยุดการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยบรรดาสื่อและนักวิเคราะห์ต่างชาติมองว่าความขัดแย้งระหว่างสองตระกูลนี้เองก็คือหนึ่งในปัจจัยหลักที่นำมาสู่การปะทะครั้งใหม่เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา[1]

ที่สุดแล้ว เหตุผลเบื้องหลังที่แท้จริงคืออะไรคงมีเพียงตระกูลฮุนเองเท่านั้นที่รู้ดีกว่าใคร แต่ขณะเดียวกันก็คงไม่ถูกนักหากบอกว่าความตึงเครียดของสถานการณ์ชายแดนรอบนี้มีที่มาจากการเมืองกัมพูชาด้านเดียว เพราะมีการวิเคราะห์เช่นกันว่าสถานการณ์การเมืองไทยที่กำลังอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งและขับเคี่ยวระหว่างกลุ่มต่างๆ ก็ถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลเช่นกัน ซึ่งนับว่าคล้ายกับกรณีพิพาทเขาพระวิหารเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว[2]

เมื่อการเมืองระดับชาติของแต่ละฝ่ายยังไม่อาจก้าวไปข้างหน้า ผสมกับความบาดหมางทางประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ได้รับการชำระสะสาง ความขัดแย้งเรื่องพรมแดนจึงยังคงหมุนวนเป็นกงล้อที่รอระเบิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยที่ชนวนเหตุล้วนถูกจุดขึ้นจากวาระซ่อนเร้นทางการเมืองของชนชั้นนำ ทว่าคนรับเคราะห์กรรมคือประชาชนตาดำๆ ไม่ว่าจะในฝั่งไหนก็ตาม


ชวนอ่านหรือฟังข้อมูลเพิ่มเติมที่

ASEAN บ่มีไกด์ EP.43: ‘พิพาทพรมแดน’ ไพ่การเมืองกัมพูชา?

ASEAN บ่มีไกด์ EP.23: เผด็จการหรือวีรบุรุษ? ‘ฮุน เซน’ แบบไหนที่กัมพูชาจดจำ

The Role of Preah Vihear in Hun Sen’s Nationalism Politics, 2008-2013

What’s behind Cambodia-Laos’ border flare-up?

Cambodia and Laos’ Border Disputes and Irredentism

Cambodia Playing up Border Tensions With Laos to Distract From Sam Rainsy Return: Analysts

How Cambodian nationalism is driving border disputes with Vietnam

Troops from Laos and Cambodia in Cross-Border Standoff Over Road Construction

The Real Reasons for the Thai-Cambodia Conflict

เขตแดนกัมพูชา-เวียดนาม: จากการแบ่งแยกเพื่อปกครองในยุคอาณานิคมสู่เส้นเขตแดนรัฐชาติปัจจุบัน

หนังสือ ‘ลัทธิชาตินิยมไทย/สยามกับกัมพูชา: และกรณีศึกษาปราสาทเขาพระวิหาร‘ โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (พฤศจิกายน 2552)

MOST READ

World

1 Oct 2018

แหวกม่านวัฒนธรรม ส่องสถานภาพสตรีในสังคมอินเดีย

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก สำรวจที่มาที่ไปของ ‘สังคมชายเป็นใหญ่’ ในอินเดีย ที่ได้รับอิทธิพลสำคัญมาจากมหากาพย์อันเลื่องชื่อ พร้อมฉายภาพปัจจุบันที่ภาวะดังกล่าวเริ่มสั่นคลอน โดยมีหมุดหมายสำคัญจากการที่ อินทิรา คานธี ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก

1 Oct 2018

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save