1
การก้าวข้ามความขัดแย้ง สมานฉันท์ สามัคคี และความยุติธรรม ทุกคนบอกว่าแคร์สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แต่เราให้น้ำหนักสิ่งเหล่านี้ต่างกัน (ยังไม่นับคนที่ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นแค่ข้ออ้างอย่างมักง่าย) คำถามคือเราจะคิดกับปัญหานี้อย่างไร
หลักการสำคัญที่ต้องตระหนักและยึดให้มั่นก็คือ ถ้าหากเป็นความขัดแย้งระหว่างบุคคลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะหรือมีน้อยมาก ความขัดแย้งเช่นนั้นจะก้าวข้ามเมื่อไหร่ก็เป็นเรื่องระหว่างบุคคล ไม่เกี่ยวกับสาธารณะ แต่สำหรับความขัดแย้งที่เป็นเรื่องของสาธารณะ เกี่ยวข้องกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ การมาบอกให้ก้าวข้ามจึงเป็นเพียงการพูดพล่อยๆ เพราะต้องจัดการให้เกิดความยุติธรรมและเกิดประโยชน์สาธารณะก่อน เมื่อเกิดความยุติธรรมแล้ว หลังจากนั้นจึงค่อยมาพูดว่า “เราควรจดจำไว้ แต่มูฟออนกันเถอะ”
เท่าที่เกิดขึ้นในสังคมไทยที่ผ่านมา กลับมีการเรียกร้องให้ก้าวข้ามความขัดแย้งที่กระทบต่อสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งที่เจ้าหน้าที่รัฐ อภิสิทธิ์ชน และคนมีอำนาจกระทำผิดต่อประชาชน ต่อชีวิตของประชาชน มักเรียกร้องกันอย่างมักง่าย ไม่รับผิดชอบ ขอให้ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขอให้สมานฉันท์ ลืมๆ เสียเถิด นี่เป็นเหตุหนึ่งของการลอยนวลพ้นผิด ไม่ใช่ก้าวข้ามความขัดแย้ง
แต่ครั้นเป็นความขัดแย้งในหมู่อภิสิทธิ์ชนคนมีอำนาจด้วยกันเอง เป็นเรื่องการแย่งหรือจัดสรรอำนาจ บางเรื่องก็สมานฉันท์กลบเกลื่อนจับมือยิ้มแย้มกัน บางเรื่องกลับไม่ยอมก้าวข้าม เช่น ความขัดแย้งระหว่างนายใหญ่กับบ้านป่าเป็นความแค้นที่สำคัญกว่าความตายของประชาชนคนเสื้อแดง 99 คนมากนัก
2
จากประเด็นแรกนั้นเกี่ยวข้องไปถึงอีกประเด็นหนึ่ง นั่นคือมักมีการกล่าวหากันอย่างพล่อยๆ ว่าการเรียกหาความยุติธรรมและการเรียกร้องไม่ให้ลืม เป็นเพราะยังหมกมุ่นคั่งแค้นกับอดีต
กลายเป็นว่าคนที่พูดถึงความยุติธรรมก็เพราะยังแค้นอยู่ การเรียกร้องความยุติธรรมกลายเป็นเรื่องลบ อันที่จริงทั้งโลกมีการพูดถึงการก้าวข้ามความขัดแย้ง ในสังคมที่มีอารยธรรมเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์เขาจะเรียกร้องว่าให้มูฟออน-ก้าวข้ามความขัดแย้งก็ต่อเมื่อจัดการให้เกิดความยุติธรรมขึ้นเรียบร้อยแล้ว มิใช่ก่อนเกิดความยุติธรรมอย่างที่ทำกันในเมืองไทย
ชาวพุทธน่าจะคุ้นเคยกับภาวะของจิต อารมณ์ เพราะพร่ำท่องถึงรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณว่าก่อให้เกิดเป็นสังวรณ์สารพัดอย่างไร แต่ชาวพุทธกลับไม่เข้าใจเลยว่าการจะเรียกร้องความยุติธรรมนั้นไม่ต้องเจ็บปวดเองก็ได้ และความเจ็บปวดเองก็มิได้นำไปสู่การเรียกร้องความยุติธรรมก็ได้ และความเจ็บปวดเองก็มิได้นำไปสู่ความคั่งแค้น เพราะเป็นคนละเรื่องกัน
คำพูดเช่นนั้นจึงเป็นความเลอะเทอะทั้งในทางกฎหมายและศีลธรรม คนที่พูดเช่นนั้นบางคนอวดอ้างตัวเองเป็นปราชญ์ชาวพุทธด้วยซ้ำไป ผมขอแนะนำว่าหยุดพูดพล่อยๆ เช่นนั้นเสียเถิด เพราะยิ่งพูดยิ่งเป็นการประจานตัวเองว่าไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์เลย และยังเป็นการประจานสังคมไทยด้วยว่าเป็นพุทธพรรค์ไหนกันจึงไม่มีความเข้าใจเรื่องนี้เลย กลับเทศนาสั่งสอนอย่างมักง่ายให้หมกความหมักหมมสกปรกเอาไว้ใต้พรม
3
อีกประเด็นซึ่งอยากจะฝากให้คิดก็คือ อาชญากรรมสาธารณะนั้นถือว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล หรือเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับเครือข่ายองค์กร หรือเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบันทางสังคมหรือไม่
หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่สองผ่านมาแล้วหลายทศวรรษทำไมรัฐบาลและผู้นำเยอรมนีจึงต้องขอโทษต่อเหยื่อของเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิวหรือ holocaust ในช่วงสงคราม ทำไม ‘ประเทศ’ เยอรมนีจึงถือว่าอาชญากรรมซึ่งเกิดขึ้นในอดีตเป็นความรับผิดชอบ ทั้งๆ ที่รัฐบาลและผู้นำหลายทศวรรษต่อมาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับอาชญากรรมนั้นแต่อย่างใด ประเทศเยอรมนีหลังสงครามก็ต่างจากยุคนาซี เป็นคนละรัฐกัน ประชากรแทบทั้งหมดก็เป็นคนเกิดหลังสงครามโลกหรือเป็นเพียงเด็กเล็กๆ ในช่วงสงครามโลก
ถ้าหากอาชญากรรมของรัฐเป็นเรื่องส่วนบุคคลของผู้นำไม่กี่คน แล้วลูกหลาน สังคมเยอรมัน หรือประเทศเยอรมนีจะไปขอโทษให้กับบุคคลซึ่งกระทำผิดเหล่านั้นทำไม คำตอบก็คืออาชญากรรมดังกล่าวเป็นสาธารณะ เกิดขึ้นจากสถาบัน องค์กร หรือรัฐด้วย ไม่ใช่แต่เพียงการกระทำผิดส่วนบุคคลของคนไม่กี่คน
แต่ในประเทศไทย ถ้าหากเป็นชนชั้นนำเรามักถือว่าอาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยรัฐและกระทำต่อสาธารณะด้วยเหตุที่เกี่ยวข้องกับการเมืองสาธารณะนั้นเป็นความผิดส่วนบุคคล สถาบันองค์กรและรัฐไม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบ นี่เป็นการบอกปัดอย่างมักง่าย สิ้นคิด เมื่อเร็วๆ นี้เราก็ได้ยินการพูดแบบโง่ๆ กันว่า ผู้นำพรรคการเมืองหนึ่งในปัจจุบันไม่เกี่ยวข้องกับการสังหารคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 แล้ว ถึงแม้พรรคการเมืองนั้นจะเกี่ยวข้องกับการสังหารคนเสื้อแดงก็ตาม เราคงไม่มีวันเห็นพรรคการเมืองดังกล่าวออกมาขอโทษและยิ่งไม่มีวันเห็นกองทัพออกมาขอโทษกับอาชญากรรมครั้งนั้นหรือกรณีตากใบ
หรือว่าพุทธศาสนาแบบไทยๆ สอนให้เราเอาตัวรอดแบบศรีธนญชัยกันไปหมด หรือว่าพุทธศาสนาไม่เคยสอนให้คนไทยรู้จักแยกแยะความผิดพลาดส่วนบุคคลกับความผิดพลาดที่เกี่ยวข้องกับสาธารณะที่เกิดจากองค์กรและสถาบัน คนไทยรู้จักหาข้ออ้างแก้ตัวเพื่อปัดภาระความรับผิดชอบให้พ้นไปจากตัวโดยเฉพาะผู้มีอำนาจ เจ้าหน้าที่รัฐ และอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย โดยเฉพาะถ้าหากเป็นอาชญากรรมต่อประชาชนผู้ไร้อำนาจ
4
หรือว่าสภาวะทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเอกลักษณ์ของไทย
ช่วงหลังๆ มานี้เราจะเห็นได้ว่าการกระทำหลายอย่างซึ่งดูจะผิดแปลกจากที่อารยธรรมของมนุษย์ในโลกนี้เขาทำกัน เรากลับมีข้ออ้างว่าเพราะนั่นเป็นเอกลักษณ์ของไทย เป็นประวัติศาสตร์ไทยที่มีมายาวนาน จึงละเมิดหลักกฎหมายก็ได้ ตัดสินโดยไร้เหตุผลก็ได้ เพราะกฎหมายและจารีตนิติศาสตร์ต้องสอดคล้องกับสังคมไทย ข้ออ้างนี้ฟังขึ้นจริงหรือ หรือเป็นข้ออ้างมักง่ายเพื่อปัดทิ้งหลักเกณฑ์ เหตุผล ความเคารพในวิชาชีพ และความเคารพในศักดิ์ศรีของตัวเองออกไป ด้วยข้ออ้างครอบจักรวาลว่านี่เป็นเอกลักษณ์ไทย
เป็นเพียงข้ออ้างของทุจริตชนที่เป็นอภิสิทธิ์ชนที่มีอำนาจเท่านั้น
หมายเหตุ – เขียนขึ้นเพื่อกล่าวในวาระครบรอบ 48 ปี 6 ตุลาฯ ในวงสนทนาหัวข้อ ‘ตุลา MEMO’ งาน OCTOBERFEST เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร